อารมณ์ที่มากระทบใจเรียกว่า ธรรมารมณ์

แสดงธรรม กลุ่มสายธารธรรม เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2560
ผู้ปฏิบัติ : อารมณ์กับธรรมารมณ์ ใช้แทนกันได้ไหมคะ
ท่านทรงกลด : อารมณ์ทางโลกกับทางธรรมนี้ต่างกัน อารมณ์ทางโลกคนทั่วไปจะหมายถึงความรู้สึกฉุนเฉียวไม่พอใจ แต่อารมณ์ทางธรรมมีความหมายกว้างกว่าอารมณ์ทางโลกมาก
อารมณ์ทางธรรม หมายถึง อะไรก็ตามที่เป็นที่อยู่ของใจ ที่ที่ใจเข้าไปกำหนดหมายมั่น ล้วนแล้วแต่เป็นอารมณ์ทั้งสิ้น ไม่ว่าสุข ไม่ว่าทุกข์ ไม่ว่าจะเป็นความจำ ความคิด ทั้งปวงล้วนเป็นอารมณ์ เมื่อเจริญสติรู้เท่าทันอารมณ์ทั้งปวงอยู่เนืองๆ จนอารมณ์ขาดสะบั้นออกจากใจเมื่อไหร่ ก็จะพบใจเมื่อนั้น จะเห็นว่า อารมณ์ทั้งปวงเกิดเป็นธรรมดา และดับเป็นธรรมดาของเขาอยู่อย่างนั้น จะถือเป็นสัตว์ บุคคลตัวตน เรา เขาอะไรไม่ได้เลย ตรงนี้เรียกว่า ดวงตาเห็นธรรม โสดาปัตติผลเกิดตรงนี้
นักภาวนาจึงต้องแยกแยะให้ถูก ระหว่าง อารมณ์ สติ จิต เมื่ออายตนะภายนอกกับภายในกระทบกัน เช่น ตาเห็นรูป เรียกว่า ผัสสะ เมื่อมีผัสสะย่อมเกิดเวทนา คือยินดีบ้าง (สุขเวทนา) ไม่ยินดีบ้าง (ทุกขเวทนา) เฉยๆ บ้าง (อทุกขมสุขเวทนา) ตรงนี้เรียกว่า อารมณ์
ส่วนธรรมารมณ์เป็นความนึกคิดทางใจ มาสัมผัสใจ เช่น นั่งๆ อยู่ ภาพที่เกิดเมื่อวาน (สัญญาขันธ์) เกิดขึ้นผ่านมากระทบใจ (ธรรมารมณ์กระทบใจ เหมือนตาเห็นรูป) พอกระทบกันก็เกิดเวทนา แต่แทนที่จะจบแค่นั้น จิตเราด้วยความไม่รู้เท่าทัน เข้าไปฉวยเวทนามาปรุงแต่งต่อ สุขเวทนาก็ปรุงแต่งเป็นราคะ ทุกขเวทนาก็ปรุงแต่งเป็นโทสะ โทสะคือ วิภวตัณหา เมื่อจะละกิเลส ท่านจึงให้ละที่เวทนา ดูที่เวทนา
หลวงปู่เทียนบอกว่า เมื่อโซ่คล้องกลางขาด จะเอาตัณหา เอาภพมาจากไหน โซ่คล้องกลางก็คือเวทนานี่เอง ลองไปดูปฏิจจสมุปบาท เวทนาอยู่ตรงกลางพอดี
จะให้เข้าใจง่ายก็คือ อะไรที่เป็นนามธรรม นอกเหนือจากรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ก็เป็นธรรมารมณ์หมด อารมณ์ที่มากระทบใจเรียกว่า ธรรมารมณ์ พอกระทบก็เกิดเวทนา จิตไปยึดเวทนาเรียกว่า เอาเวทนามาเป็นอารมณ์ ไปยึดสัญญาเรียกว่า เอาสัญญามาเป็นอารมณ์ ไปอยู่กับความคิดฟุ้งซ่าน เรียกว่า เอาสังขารมาเป็นอารมณ์ แม้วิญญาณขันธ์ (ตัวรู้ ผู้รู้) ก็เป็นอารมณ์คือที่อยู่ของใจได้เหมือนกัน ไปยึดผู้รู้ เอาวิญญาณมาเป็นอารมณ์ เมื่อละวิญญาณขันธ์ วิญญาณก็ไม่อาจจะเจริญเติบโตได้ ดับลงตรงนั้น บรรลุอรหัตผล
แต่อย่าเพิ่งไปไกลขนาดนั้น เอาง่ายๆ แค่นี้ก่อน รู้เท่าทันอารมณ์หยาบๆ ก่อน รู้ทันกิเลสหยาบๆ เช่น โทสะก่อน หน้าที่เราก็คือ เพียงรู้เท่า อย่างพวกเพ่งกสิณ เพ่งน้ำ จนมีอารมณ์เดียว เอกัคคตารมณ์คือ เอาน้ำมาเป็นอารมณ์ จนใจกับน้ำเป็นอันเดียวกัน กิเลสหายไปหมด แต่พระพุทธเจ้ามาสอนใหม่ ให้เอาใจมาอยู่กับสติ เพื่อจะแยกขันธ์ห้าออกจากจิต เห็นตามจริงว่า ขันธ์ห้าไม่ใช่เรา ของเรา จึงจะพ้นทุกข์ไปได้เพราะวางขันธ์ห้าได้ เพ่งกสิณก็ยังพ้นทุกข์ไม่ได้
สรุปสั้นๆ คือ อะไรที่มากระทบใจคือ ธรรมารมณ์ทั้งสิ้น มันเป็นคู่ๆ กัน ตากับรูป หูกับเสียง ธรรมารมณ์กับใจ แต่ธรรมารมณ์เป็นฝ่ายนามเท่านั้นเอง อย่างเช่น ความรู้สึกไม่ดี (เวทนา) อยู่ๆ ก็โผล่ๆ ขึ้นมากระทบใจ โดยทั่วไปจึงหมายถึง ความรู้สึกนึกคิดทั่วไปที่กระทบใจเรียกว่า ธรรมารมณ์ แต่ตรงนั้นไม่ใช่ปัญหา ปัญหาคือ เมื่อกระทบแล้ว จะวางอย่างไร เราห้ามไม่ให้มันโผล่ไม่ได้หรอก มันทำหน้าที่ของมัน ไปห้ามไม่ได้หรอก แต่เมื่อกระทบแล้วเกิดเวทนา ตรงนี้ต่างหากที่หลวงปู่ชาหรือพระพุทธเจ้าสนใจ
การรู้เท่าทันเวทนา จึงเรียกว่า เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน ถ้าวางเวทนาได้ ที่เหลือก็วางได้เอง เพราะเวทนาเป็นตัวแทนฝ่ายทุกข์ ที่เราทุกข์ก็เพราะทุกขเวทนา ทำอย่างไรจึงจะมีทุกข์แล้วไม่ทุกข์ตาม นี่ต่างหากที่พระพุทธเจ้าสอน ถ้าไปจับอย่างอื่นมากมาย ยุ่งตาย ไม่มีทางสำเร็จ มีแต่ความฟุ้งซ่าน ตอนนี้คิดให้ตายก็ไม่เห็นหรอก ได้แค่คิดๆๆ ที่หลายคนบอกว่า เห็น ยังไม่เห็นจริงหรอก
คำว่าอารมณ์จึงกว้างมาก จริงๆ ก็คือ ขันธ์ห้านั่นแหละ อารมณ์ทั้งปวงที่มากระทบ เมื่อรู้เท่าทันด้วยสติ ด้วยปัญญาว่า จะถือเป็นเรา ของเราไม่ได้ จิตก็ไม่ส่ายแส่เข้าไปรับ เข้าไปเสวย จิตจะหยุดคิด หยุดปรุงแต่ง จิตที่หยุดคิด หยุดปรุงแต่งเป็นจิตที่สงบ นัตถิ สันติปะรัง สุขัง สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบ ไม่มี จิตที่ไม่พัวพันข้องแวะในอารมณ์ทั้งปวง พ้นจากอารมณ์ทั้งปวง เป็นจิตที่สงบ เยือกเย็น เป็นสุขที่สุด เมื่อมีสติที่แท้จริงก็จะเห็นอารมณ์ทั้งปวงดับลง เมื่ออารมณ์ทั้งปวงดับลงก็ไม่มีอะไรเหลือให้ยึดถือปรุงแต่งอีกต่อไป จบกันเพียงนั้น
จิตวางเฉยต่ออารมณ์คือ จิตที่ไม่เสวยอารมณ์ใด เห็นสักแต่ว่าเห็น ไม่ต้องทำอะไร ไม่ปรุง ไม่แต่ง หยุดคิด หยุดปรุงแต่ง ดับเสียซึ่งสังขาร จิตว่าง จิตว่างงาน เหล่านี้เป็นเรื่องเดียวกัน