ถาม-ตอบ

ติดอยู่ในความว่าง

แสดงธรรม กลุ่ม Natural Mind เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2559

 

ท่านทรงกลด : ตอนนี้ได้ส่งหนังสือแก้ไขคำผิดไปให้อี๊แจ๋วแล้ว มีท่านต้นได้ช่วยตรวจให้อีกรอบหนึ่ง ส่วนยอดพิมพ์ได้แจ้งไว้ประมาณสามพันเล่ม แต่ก็ดูยอดเงินก่อน ได้แค่ไหนแค่นั้น ตามกำลังนะครับ เป็นเรื่องน่าแปลกว่าหนังสือที่เราทำ นอกจากจะเป็นประโยชน์กับพวกเราด้วยกันเองแล้ว ยังเป็นประโยชน์กับนักปฏิบัติข้างนอกกลุ่มเป็นจำนวนมากมายทีเดียวอย่างน่าตกใจเหมือนกัน 

เมื่อวานมีนักปฏิบัติท่านหนึ่งเป็นนักธุรกิจใหญ่ไปทำมาหากินและอาศัยอยู่ที่ประเทศเพื่อนบ้าน ดั้นด้นมาตามหนังสือกว่าจะถึงกระแสธรรม พอดีผมเอาธรรมะที่ลงตอนเช้าๆ ในกลุ่มเรา ไปลงในกลุ่มธรรมะกลุ่มใหญ่สองสามกลุ่ม เขาอ่านแล้วบอกว่า มันไปแก้อะไรเขาได้ คงเรียกว่า ธรรมะโดนใจกระมัง  เขาบอกว่า ชอบทำบุญพิมพ์หนังสือธรรมะแจกเหมือนกัน แต่ผมไม่ได้บอกบุญอะไรเขาหรอก

ผู้พิพากษารุ่นน้องบอกว่า มีคนอ่านธรรมที่ผมลงทุกๆ วัน เขาอ่านแล้วเข้าใจว่าผมเป็นพระ และเขาบอกกับผู้พิพากษาท่านนั้นว่า หากไปกราบเมื่อใดช่วยชวนเขาไปด้วย ดูจะเข้าใจผิดกันไปใหญ่ทีเดียว จริงๆ ความเป็นพระนี่ เขาไม่ได้ดูที่ชุดจีวรสวมใส่นะ เขาดูที่ข้างในกันมากกว่า 

อีกท่านหนึ่งน่าสนใจมากทีเดียว คอยตามโพสต์ ตามเก็บธรรมะที่ผมลงในกลุ่มใหญ่กลุ่มนั้น เห็นเขาศรัทธาอย่างนั้น เลยส่งหนังสือไปให้อ่าน เขาบอกว่า อ่านไปยิ้มไป มีกำลังใจในการปฏิบัติ เพราะมีร่องรอยให้เดินตามได้แล้ว ผมไม่แน่ใจว่า ท่านนี้เป็นอัยการอยู่ที่ไหน เป็นผู้หญิงแต่เก่งมาก ภาวนาเก่งมากๆ  เธอเล่าว่า ไปเรียนภาวนากับหลวงพ่อทอง ที่วัดอโศการาม ท่านก็สอนให้พิจารณากายนี่แหละ 

ท่านนี้เขียนมาเล่าว่า กราบขอบพระคุณท่านมากค่ะ ขออนุญาตเรียกท่านว่าอาจารย์นะคะ อ่านแล้วก็พอจะเข้าใจมากขึ้นค่ะ หนูไม่แน่ใจว่าหนูตกกระแสหรือยังค่ะ เป็นคำถามที่หนูเคยหาคำตอบอยู่ช่วงหนึ่ง ปฏิบัติไปหาคำตอบไปค่ะ หาจนเหนื่อยค่ะ 

เมื่อหลายปีก่อนหนูขับรถไปทำงาน วันนั้นบังเอิญไปเช้า อยู่ๆ โลกก็หายวับไป อาคารตึกแถวต่างๆ ไม่มี ตอนนั้นรู้สึกว่า “ไม่มีโลก” แล้วรู้สึกว่า มีอะไรบางอย่างวิ่งลงท่อไปแล้ววิ่งขึ้นมา เกิดความรู้สึกว่าไม่มีเราแล้วบางอย่างก็วิ่งลงท่อไปแล้ววิ่งกลับขึ้นมา เกิดความรู้สึกว่าไม่มีเรารวม 3 ครั้ง จากนั้นก็กลับสู่เหตุการณ์ปกติค่ะ 

ปลายปี พ.ศ. 2558 ขณะส่งไลน์คุยกับเพื่อนเรื่องสมาธิตามตำรา ที่ว่าเข้าอุปจารสมาธิ จนเข้าอัปปนาสมาธิแล้วออกมาอธิษฐานจิต แล้วเข้าอัปปนาสมาธิอีกครั้งจนจิตถอนก็จะทราบเรื่องที่อยากรู้ ระหว่างนั้นจิตเกิดอาการสะเทือน หัวใจเต้นแรงรัวจนรู้สึกเหมือนตัวสั่น สักพักก็หาย ตอนนั้นแค่สงสัยว่า จิตทำไมสะเทือน 

พอดีช่วงหลายเดือนก่อนหนูเห็นความว่างชั่วขณะ แว็บหนึ่ง ในช่วงตื่นนอนจะรู้สึกเหมือนจิตวิ่งออกจากท่อมาตื่นว่างชั่วแว็บหนึ่ง ซึ่งตอนนั้นความคิดยังไม่ทำงาน บางทีนอนกลางวันลืมตาตื่นมามันว่างชั่วขณะ ตาเห็นต้นไม้เห็นใบไม้แต่ยังไม่มีภาษา ชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นจึงจะเริ่มมีสัญญาว่านั่นคือต้นไม้ ใบไม้ เคยเดินอยู่ในที่โล่ง อยู่ๆ ก็ว่างชั่วขณะ เคยนอนเอาแขนวางที่พุง ตื่นมาก็ว่างไม่มีภาษา  รู้แค่อะไรแข็งๆ ไม่มีชื่ออยู่กับอะไรนิ่มๆ ไม่มีชื่อค่ะ อันนี้เกิดช่วงที่เห็นว่า ไม่มีโลก ไม่มีเราค่ะ

เคยถามพระเกี่ยวกับอาการที่เดินแล้วเกิดความว่างชั่วขณะ พระท่านตอบว่าความว่างเปล่าในขณะจิตนั้นคือ ความว่างเปล่าจากการปรุงแต่งด้วยใจเป็นกลาง แต่ครั้นพบใจที่ว่างเปล่าจากความปรุงแต่งกลับไปยึดถือใจจะให้ว่างก็เลยไม่รับรู้ด้วยใจเป็นกลางเพราะมีกิเลส ตัณหามาปน คือ อยากให้ใจว่าง จึงมีอุปาทาน ชาติ และทุกข์  หนูเลยเดาว่า ความว่างชั่วขณะที่พบมาข้างต้นน่าจะแบบเดียวกันค่ะ 

ส่วนปัญหาของหนูตอนนี้คือ เมื่อปลายเดือนมีนาคม พ.ศ. 2559 หนูเห็นความฟุ้งซ่านจนตกใจแก้ไม่ถูก ยิ่งจะหยุดความฟุ้งซ่าน ยิ่งฟุ้งซ่านหนักมาก ยังแก้ไม่ได้ค่ะ ต่อมาเห็นความฟุ้งซ่าน เห็นจิตตัวเองลงไปดู ดูแล้วมันจะเข้าภวังค์ เลยไปดึงไว้ไม่ให้เข้าภวังค์ เพราะอยู่ต่อหน้าคนหลายคน พอดึงจิตไม่ให้ตกภวังค์ก็ฟุ้งซ่านหนักเหมือนเดิมค่ะ บางทีมีสติดีตามดูและยอมรับ มันก็ค่อยๆ หายไป ก็จะพยายามต่อไปค่ะ 

หนูอ่านประสบการณ์ธรรมของอาจารย์ไปหนึ่งจบแล้วค่ะ อ่านไปยิ้มไปรู้สึกดีใจค่ะ ที่ในทางเดินนี้ยังมีผู้ทิ้งร่องรอยให้เราแกะรอยเดินตามได้  กราบขอบพระคุณอาจารย์มากๆ ค่ะที่เมตตา  ถ้าอาจารย์มีข้อแนะนำหรือข้อธรรมอะไรดีๆ ส่งมาอีก หนูก็ยินดีอย่างยิ่งค่ะ ขอน้อมรับไว้เพื่อปฏิบัติตามค่ะ 

ท่านทรงกลด : สำหรับคำถามนี้ ผมได้ตอบส่วนตัวไปพอสมควร เขาปฏิบัติยังไม่ถูกทางเท่าที่ควร การพิจารณากายแล้วโลกหายวับไป นั่นคือจิตเริ่มเห็นโลก เห็นกายตามความเป็นจริงบ้างแล้ว แต่ยังไม่จบเพียงนั้น อันที่สองคือ ความว่าง เธอติดอยู่ในความว่าง ทำไมรู้ว่าติดอยู่ในความว่าง เห็นอะไรก็ว่างๆ ๆ ว่างไปหมด ปัญญาอยู่ตรงไหน ไม่มีเรื่องปัญญาเลย พอไม่มีปัญญาตามรู้ทัน  สิ่งที่เกิดตามมาก็คือพอจิตออกจากความว่างก็มาเจอความฟุ้งซ่านอย่างหนัก แก้ไม่ได้ พยายามจะดูความฟุ้งซ่าน จิตก็ไปเพ่ง เลยตกภวังค์ไปอีก 

พวกเราอ่านแล้วลองวิเคราะห์ดูว่า ทำไมการปฏิบัติของท่านนี้จึงตลบหน้าตลบหลัง พลิกหัวพลิกหางไปได้ ทั้งๆ ที่เริ่มต้นเหมือนจะถูกแล้วคือ เธอเริ่มต้นปฏิบัติด้วยการพิจารณากายตามที่พระสอนให้ภาวนาพุทโธ แล้วให้พิจารณา ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง แต่เรื่องความว่าง เธอยังผิดอยู่ ความว่างนี้คนส่วนใหญ่ก็ตามหากันจัง จะให้มันว่างให้ได้ คิดว่ามันดีกระมัง ความว่างไปบังคับกำหนดหรือเพ่งอะไรไม่ได้เลย มันต้องวางให้ได้ก่อนจึงจะว่าง ถ้าว่างแล้ววางไม่ได้ก็ไร้ประโยชน์ กลับจะฟุ้งซ่านอยู่อย่างนี้เอง วาง “มาก่อน” ว่าง ที่พระท่านสอนนั้นก็ถูก ที่สอนให้พุทโธๆ ไปพอจิตสงบก็ให้พิจารณากาย ซึ่งพระป่าสายหลวงปู่มั่นจะเดินแนวนี้มาโดยตลอดจนรู้เห็นธรรม 

ผมบอกพวกเราเสมอตั้งแต่ตั้งกลุ่มว่า การปฏิบัติใดก็ตามหากขาดสติปัญญาเป็นบาทฐานแล้วมักจะไปไม่รอด  พระพุทธเจ้าจึงบอกว่า สตินี่คือธรรมใหญ่ หากเปรียบเป็นรอยเท้าสัตว์ก็คือ รอยเท้าช้างซึ่งรอยเท้าสัตว์อื่นที่เล็กกว่าจะต้องมาลงในรอยเท้าช้างนี้ 

การพิจารณากายแล้วทิ้งกายไปอยู่กับความว่างและติดอยู่ในนั้นโดยเข้าใจว่า บรรลุธรรมแล้ว อย่างนี้อันตรายมาก ที่ถูกต้องพิจารณากายเพื่อให้มีสติรู้เท่าทันกายว่า กายนี้มันไม่ใช่เรา ของเรา จึงบอกเสมอว่า ให้ใช้กายเป็นเพียงเครื่องระลึกรู้ อย่าไปยึดอาศัยอยู่  จะกลายเป็นเพ่งกายไป เห็นกระดูก เห็นฟันเป็นแก้วใส เป็นนิมิต แล้วติดอยู่ พอนึกปุ๊บก็สงบปั๊บแล้วนึกว่ากิเลสหมดอย่างนี้ก็ไม่ต่างจากเพ่งดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่เกิดปัญญาแต่อย่างใด ให้เอานิมิตที่เห็นมาเดินด้วยไตรลักษณ์ ฟาดฟันด้วยอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จนจิตเบื่อหน่ายคลายตัวออกมา นั่นแหละจึงจะรู้ธรรม เห็นธรรม

ส่วนเรื่องความว่าง ถ้าไม่ออกมาก็จะตายไปเป็นพรหมลูกฟัก  และที่เกิดความฟุ้งซ่านก็เพราะขาดสติ ถ้าปฏิบัติถูกต้องจริงๆ สติจะต้องมีกำลังเติบโตจึงเรียกว่า เจริญสติ ยิ่งสติมาก ความฟุ้งซ่านก็ต้องน้อยลงไป มันสัมพันธ์เป็นผกผันกันอยู่ในตัว  ที่เคยสอนว่า จิตมีราคะก็ให้รู้ จิตมีโทสะก็ให้รู้ จิตฟุ้งซ่านก็ให้รู้ รู้นี่แหละคือสติ ถึงบอกว่า การปฏิบัตินี้ไม่ต้องเอาอะไรกันมากหรอก สติตัวเดียวนี่แหละ 

หลวงปู่แหวนจึงบอกหลวงพ่อพุธว่า ท่านเจ้าคุณไม่ต้องไปดูอะไรมากหรอก สติตัวเดียวนี่แหละ เมื่อมีสติ ปัญญาก็จะตามมา ปัญญาคือ การรู้เห็นรูป นาม ขันธ์ห้า อารมณ์ตามความเป็นจริงว่า ไม่เที่ยง ทนอยู่ไม่ได้ หาแก่นสารตัวตนไม่ได้ จะยึดหมายมั่นอะไรไม่ได้ จะยึดว่า กายก็ดี อารมณ์ก็ดี เป็นเรา ของเราไม่ได้ เอาแค่นี้แหละการปฏิบัติ ไม่ต้องไปอ่านตำราอะไรมากหรอก ไม่ต้องคิดมาก อ่านมาก ยืน เดิน นั่ง นอน ให้มีสติคือ ความรู้สึกตัวทั่วพร้อม (ลองกลับไปอ่านทำความเข้าใจเรื่องสติในหนังสือกว่าจะถึงกระแสธรรมอีกครั้ง) หายใจเข้าก็ให้รู้สึกตัวทั่วพร้อมขึ้นมา หายใจออกก็เช่นกัน 

ก่อนนอนก็พิจารณากาย ผม ขน เล็บ ฟัน หนังบ้าง ระหว่างวันก็ให้มีสติรู้เท่าทันอารมณ์ที่เกิดบ้าง ไม่ว่าดีหรือร้าย พยายามให้รู้เท่าทันอยู่เสมอเชียว รู้ว่า ไม่มีอารมณ์ไหนเที่ยงแท้ไปได้หรอก ถ้าเห็นว่า อารมณ์ไหนก็ไม่เที่ยง มันก็จะเกิดสติ และถ้ามีสติก็จะเห็นทำนองเดียวกัน ทำอยู่แค่นี้แหละการปฏิบัติ ไม่ต้องไปนั่งตามหาผู้รู้ ตามหาจิตว่างอะไรเลย เมื่อเปลี่ยนที่อยู่ของใจได้สำเร็จ จากอารมณ์ จากกายนั้น กายนี้ มาอยู่กับสติได้อย่างมั่นคง เรียกว่า สัมมาสมาธิ เมื่อนั้นผู้รู้ก็ดี จิตก็ดี มันจะปรากฏออกมาให้เรายลโฉมเอง ผู้ใดเห็นจิต ผู้นั้นเห็นธรรม 

ที่ผ่านมา ผมก็แสดงเรื่องสติอยู่แค่นี้แหละ ธรรมที่ออกมามากมายก็เป็นผลจากการที่เห็นธรรม รู้ธรรมแล้วเท่านั้นเอง ผมก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่า ธรรมที่แสดงไปมากมายในรอบสองปีมาจากไหน มาจากใจเรานี่แหละ อย่างหนังสือกว่าจะถึงกระแสธรรมที่เขียน บอกตามตรง ไม่ได้ไปค้นคว้าอะไรเลย เขียนไปตามที่ออกมาจากจิตทั้งนั้นแหละ 

แม้ธรรมที่เอามาลงทุกเช้าก็เช่นกัน ได้มาจากการภาวนา มันออกมาก็เอามาลง บางทีก็ไปแก้อะไรที่ติดๆ อยู่ในใจคนอ่านได้เหมือนกัน ในเบื้องต้นเราอย่าเพิ่งไปคาดหวังการปฏิบัติถึงขนาดกำจัดกิเลส บรรลุอรหัตผลอะไรกันเลย เอาแค่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรแค่นี้ ท่านก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกว่าเมื่อก่อนมากมายมหาศาลแล้ว จริงๆ นะ จะบอกให้ ความสุขที่ว่านี้ แม้พระเจ้าจักรพรรดิก็ไม่อาจจะมี จะเป็นได้ นี่ไม่ใช่เล่นโวหารนะครับ เป็นเรื่องจริง  เอาแค่จิตเห็นว่า ขันธ์ห้า อารมณ์นี้ไม่ใช่เรา ของเรา แค่นี้ มันก็สุขกว่าเมื่อก่อนเป็นไหนๆ ใจมันก็ค่อยๆ วางทุกอย่างไปเอง พอวาง ก็ว่าง สงบ เห็นไหม ความว่างที่ถูกต้อง มันจะมาทีหลังการวาง มาทีหลังการเห็นรูป นามตามความเป็นจริง หรือที่เรียกว่า สัมมาทิฏฐินั่นเอง

สองปีทีผ่านมาก็แสดงแต่เรื่องนี้แหละ สัมมาทิฏฐิ สติ ปัญญา สติที่รู้เท่าทันอารมณ์ การพิจารณากาย ขันธ์ห้า อายตนะหก (รูป เสียง ตา หู ฯลฯ) สัมโพชฌงค์เจ็ด อันเป็นธรรมที่เป็นไปเพื่อการตรัสรู้ธรรม ซึ่งอย่าไปคิดว่าเป็นเรื่องสูงอะไร มันก็คือสติ ปัญญา ความเพียรนี่เอง แสดงเรื่องมรรคมีองค์แปด จริงๆ พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ได้สอนอะไรมากหรอก สอนเรื่องขันธ์ห้า เรื่องมรรคมีองค์แปด เรื่องทุกข์ อริยสัจจ์ แค่นี้แหละ นี่แหละคือใบไม้กำมือเดียว    จะสังเกตเห็นว่า เรื่องเจตสิก นิพพาน ปฏิจจสมุปบาท อิทัปปัจยตา ผมไม่ได้พูดถึงเท่าไรเลย ไม่ให้ความสำคัญด้วยซ้ำไป จิตจะมีกี่ดวงๆ อยากรู้ก็ไปเรียนพระอภิธรรมกันเอาเอง รู้แล้วก็แก้โรคทุกข์ไม่ได้หรอก หรือเรื่องฌาน เรื่องญาณนั้นญาณนี้ก็ไม่เคยได้พูดถึงเลย อ้อ ! เคยไปแสดงอย่างละเอียดเอาไว้ในกลุ่มธรรมกลุ่มหนึ่งเท่านั้นและไม่รู้มีใครเก็บไว้บางหรือเปล่า เรื่องฌานอะไรนี่ผมไม่สอน ไม่แสดงนะ ถ้าท่านเจริญสติได้ต่อเนื่อง จนจิตเป็นสมาธิอย่างถูกต้องจิตก็เป็นฌานอยู่ในตัว แถมเป็นโลกุตรฌานด้วยคือ ไม่มีวันเสื่อม แล้วจะเข้าไปเรื่องฌานอะไรไปเอง บอกไปตอนนี้ก็งงเปล่าๆ  แถมทำให้คนส่วนใหญ่พากันท้อใจเปล่าๆ อย่าไปฝึกเลยเรื่องฌานนี่ ขอบอกตรงๆ มันจะติดอยู่ ไปไหนก็ไม่ได้ เหมือนเด็กติดเกม วันๆ เอาแต่เล่นเกม

พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนเรื่องฌาน ท่านสอนเรื่องสมาธิอันเกิดจากการอบรมสติที่ถูกต้อง หลวงปู่เทสก์ก็สอนบ่อยเรื่องฌานกับสมาธิว่ามันต่างกัน ไม่เชื่อผมก็โปรดเชื่อครูบาอาจารย์เถิด ก็ขอให้เอาสติเป็นที่ตั้งในการปฏิบัติกันนะครับถ้าอยากจะก้าวหน้าในธรรม ถ้าเขียนอย่างนี้คนเรียนมากก็จะเถียงทันทีว่า ธรรมะเขาไม่ให้ทำด้วยความอยาก พระอานนท์เคยสอนสตรีนางหนึ่งว่า น้องหญิง เธอจงเอาตัณหาดับตัณหา หมายถึง เอาความอยากที่จะพ้นทุกข์เป็นแรงผลักดันไปสู่การดับทุกข์