ความเห็นชอบ = สัมมาทิฏฐิ

แสดงธรรมกลุ่ม Natural Mind เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2559
ท่านทรงกลด : วันก่อน น้องผู้พิพากษาที่ทำงานท่านหนึ่งเอาหนังสือไปอ่าน พออ่านจบ เดินมาบอกว่า พี่ ผมขอทำบุญเพิ่มหน่อยได้ไหม บอกว่า ไม่ต้อง พอแล้ว ให้คนอื่นเขาทำบ้าง ถ้าไม่อ่านก็ไม่รู้นะ จึงขอโมทนากับทุกท่านที่ได้ช่วยกันริเริ่มจัดทำหนังสือฉบับแรกสุด เพราะถ้าไม่มีฉบับแรก ก็คงไม่มีการจัดพิมพ์ต่อมาๆ สิ่งที่เราช่วยกันทำ ได้ส่งผลดีงามขึ้นมาแล้ว นั่นคือทำให้คนจำนวนมากพบแนวทางที่ถูกต้อง อดนึกถึงหลวงปู่บุญส่งไม่ได้ ท่านบอกว่า หนังสือเล่มนี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้คนหันมาปฏิบัติธรรมกันเยอะมาก หลวงปู่ท่านมีญาณรู้เห็นเหตุการณ์ได้แม่นยำจริงขอกราบนมัสการแทบเท้าหลวงปู่ไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ
หนังสือเล่มนี้ก็แปลกดีเหมือนกัน คนในกลุ่มนี้บางคนยังไม่เคยได้จับเลยนะ หรือบางคนไลน์มาขอ ก็เอาไปวางๆ ไว้ อ่านไปสองสามหน้า ของใครของมันจริงๆ มันไม่มีอะไร ออกมาจากใจ จากที่รู้เห็น ไม่รับรองนะว่าถูกหรือผิด ไม่รู้จริงๆ เห็นอย่างไรก็ตอบไปตามที่เห็น ไม่ได้ใช้ความคิดอะไร ธรรมที่ผมแสดง ทำไมมันง่าย ไม่รู้เหมือนกัน มันก็ไม่ดีนะ ทำให้คนติดตำรา ติดปริยัติเขาไม่เชื้อถือ ไม่มีอ้างบาลีหลักธรรมอะไรเลย เรื่องศรัทธานี้ก็สำคัญเหมือนกัน ใครมาเจอผม เออ ! ไม่น่าศรัทธาเลย รูปร่าง หน้าตา กิริยา ท่าทาง
มีเรื่องขำๆ เรื่องหนึ่ง จะเล่าให้ฟัง มีน้องคนหนึ่งเคยอยู่ด้วยกันที่อเมริกา พอกลับมาเมืองไทย ก็นัดกินข้าวกัน เขาก็สนใจธรรมะอยู่เหมือนกัน ไปปฏิบัติแนวนั้นแนวนี้ น้องคนนี้ผมให้หนังสือไปอ่าน เขาก็อ่านลวกๆ ผ่านๆ สั่วๆ ไป (เขาบอก) ไม่ได้สนใจให้ความสำคัญอะไรมาก บังเอิญนัดกินข้าว น้องชายเขาก็มาก็คุยปรกติไม่มีอะไร ผมกลับมาภาวนา ก็เห็นอะไรบางอย่างเลยโทรกลับไปหา เขาก็ไม่รู้ พอไปคาดคั้นน้องชาย ๆ ยอมรับ เท่านั้นแหละ เขาเกิดศรัทธาขึ้นมา กลับไปอ่านหนังสือใหม่อีก คราวนี้อ่านแบบตั้งใจ อ่านเสร็จโทรกลับมา บอก โห ! พี่ หนังสือพี่นี้สุดยอดเลย ผมขอใช้เป็นแนวทางการปฏิบัติเลยนะ บางทีกลับจากทำงาน (เขามีตำแหน่งใหญ่โตในบริษัทใหญ่แห่งหนึ่ง) ปวดหัว กลุ้มเรื่องงาน เปิดหนังสือ เจอประโยควรรคทอง ใจก็โล่งเลย คุยไปคุยมา ก็ไม่พ้นความดีของหนังสือเล่มนี้ แต่คุณงามความดีทั้งหมด ขอให้ยกให้สมาชิกทุกๆ ท่าน ที่ได้ช่วยกันก่อร่างสร้างหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา ตอนทำหนังสือใหม่ๆ ท่านที่เป็นผู้ริเริ่มทำภาวนาเห็นบทสวดธัมมจักกัปปวัตนสูตร หมายถึงอะไรไปตีความเอาเอง
คำว่านิมิตนี้อย่าหลงไปมากนัก เพราะมีหลายแบบเหลือเกิน เป็นวิปัสสนูปกิเลสก็มาก โดยเฉพาะสมาธิที่เกิดจากการบริกรรมภาวนา จะมีนิมิตมาก จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่นิมิตของคนที่แยกจิตกับอารมณ์ได้เด็ดขาดแล้ว ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่นิมิต เป็นการหยั่งรู้ของจิต นิมิตแบ่งเป็นภาพฝันกับภาพจริง พระพุทธเจ้า เวลาเช้าพระองค์จะกำหนดจิตดูว่า วันนี้สมควรจะไปโปรดใครก็ปรากฏภาพผู้นั้นขึ้นในจิต นี่ก็เรียกว่า นิมิต นิมิตแปลว่า Image แต่ Image กับ Imagination นี้ต่างกันนะ อย่างหลังเราไปแปลว่า จินตนาการ จริงๆ แล้วจินตนาการคือ ความคิดปรุงแต่งต่างหาก เรียกว่า Thought วันนี้ ไม่ได้สอนภาษาอังกฤษวันละคำนะ เผื่อเอาไว้สอนธรรมะพวกฝรั่ง ให้เข้าใจหลักการปฏิบัติที่ถูกต้อง
เคยได้ยินไหมที่ไอสไตน์บอกว่า จินตนาการสำคัญกว่าความคิด ไอสไตน์กำลังพูดถึงนิมิต หรือ Image Imagination เพราะเขาเจริญสมาธิ (เขาสนใจพุทธศาสนา) จิตสงบ ก็เข้าไปเห็นปรมาณูในสสารที่เขาเห็นนั่นแหละคือ นิมิต เขาเลยบอกว่า จินตนาการสำคัญกว่าความคิด ที่พูดนี้ ผมเข้าใจของผมเองนะ ผิดถูกไม่รับรอง ก่อนตาย ไอสไตน์จึงบอกว่า ศาสนาของมวลมนุษยชาติหรือศาสนาที่จะตอบวิทยาศาสตร์ได้ (ประมาณนี้นะ) คือ ศาสนาพุทธ ถ้าเขาจะนับถือศาสนา เขาบอกว่า ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแรกที่เขาจะนึกถึง เห็นไหม ขนาดฝรั่งระดับรางวัลโนเบล คนที่ฝรั่งนับถือว่า ฉลาดที่สุดในโลกยังคิดจะนับถือพุทธศาสนาเลย นี่เราคนไทยแท้ๆ ยังไม่ค่อยเห็นค่ากันเท่าไร ดีได้หลวงปู่ชา หลวงปู่วิริยังค์ ไปช่วยเผยแผ่ให้ฝรั่งเห็นค่า ผมขอทำนายไว้ตรงนี้เลยว่า ศาสนาพุทธจะกลับมาเป็นศาสนาของคนทั่วโลกในอนาคตอันใกล้นี้แหละ
เช้าวันหนึ่งผมนั่งตรึกอยู่ว่า ทำไมคนในสมัยนี้ จึงรู้เห็นธรรมกันยากเย็นแสนเข็ญ ต้องเข้าป่าลึก เขาสูง หนีหายไปจากสังคม เร่งความเพียรขนาดหนัก ทำไมมันยากเข็ญอะไรเพียงนั้น ที่พูดนี้ ประมาณสามปีกว่าแล้วกระมั้ง คำตอบก็ออกมาว่า เพราะสมัยนี้เราสอนธรรมกันไม่ถูกต้อง เราไปเอาหางมาสอนก่อนหัว ไปเอาท้ายขบวนมาสอนกันก่อน เราสอนสมาธิกันก่อน เราไม่สอนสัมมาทิฏฐิกันก่อน พระที่สอนเรื่องสัมมาทิฏฐิก่อนที่เด่นชัดที่สุดคือ หลวงปู่ชา แต่น่าเศร้าที่พระลูกศิษย์ไม่ค่อยมีใครเดินตามท่าน ความเห็นชอบเป็นบ่อเกิดของปัญญา นี่ท่านก็กล่าวไว้ ในธรรมที่แสดงเรื่อง สัมมาทิฏฐิที่เยือกเย็น
แต่ก่อนผมก็ไม่เชื่อท่านหรอก เอะอะก็จะนั่งหลับตาภาวนาอย่างเดียว นั่งได้สามสี่ชั่วโมง แหม ! มันตัวพอง ปิติ เรานี่แน่เหลือเกิน หารู้ไม่ โง่เหมือนเดิม เผลอ ๆ จะโง่กว่าเดิม เพราะไปติดตรงนั้นเสียแล้ว พอมารู้เห็นว่าอะไรเป็นอะไร โอ้ ! กราบขอขมาท่านอยู่นั้นแหละ นี่คือเรื่องจริงที่สุด พระพุทธเจ้าสอนให้คนเห็นถูกก่อน เห็นไหม เวลาพระองค์ไปสอนปัญจวัคคีย์ ท่านบอกไหมว่า อ้าว ! หลับตา เข้าสมาธิก่อนนะ แล้วตถาคตจะสอนไหม ไม่เลย
ยสะกุลบุตรก็เหมือนกัน เดินมาบ่นว่า ที่นี่วุ่นวายหนอ ๆ พระพุทธเจ้าบอกว่า ที่นี่ไม่วุ่นวาย ๆ ท่านก็นั่งลง พระพุทธเจ้าบอกไหม อ้าว ! ยสะ หลับตาเข้าสมาธิก่อนนะ ก็เปล่าอีก พระองค์ไม่ได้บอกอย่างนั้น พระองค์แสดงให้ยสะเห็นโทษของกาม เห็นความจริงของกาม ตอนนั้นพระยสะเขาเบื่อกามมาก ตื่นมาเห็นนางรำนอนน้ำลายยืดเหมือนเห็นศพ อันนี้เป็นอานิสงส์จากที่การที่ชาติหนึ่ง เขาเกิดเป็นคนชอบเก็บศพมาเผา บังเอิญมีศพหนึ่ง เขาดูแล้วปลงสังเวช จิตทรงตัวขึ้นมา เขาก็เลยไปชวนเพื่อนอีกห้าสิบคนมาดูด้วย ทุกคนเห็นแล้วก็รู้สึกเหมือนกัน เลยติดตัวข้ามภพข้ามชาติมา จนพบพระพุทธเจ้า พระยสะพอได้ฟัง จิตก็เห็นโทษของกาม จิตก็ออกจากกาม ตั้งมั่นขึ้นมาเป็นสัมมาสมาธิ แยกจิตออกจากกาม (อารมณ์ยินดีในกาม) และอารมณ์ทั้งปวงได้ ดวงตาเห็นธรรมเกิดเป็นพระโสดาบันก่อน พอพระพุทธเจ้าเทศน์ให้บิดาพระยสะฟัง บิดาก็บรรลุโสดาบัน ส่วนพระยสะจิตหลุดจากอาสวะกิเลสทั้งปวง บรรลุอรหัตผล
อย่างผมเอาข้อธรรมมาลงทุกๆ เช้า นี่ ถ้าคนสมัยพุทธกาลผ่านมาอ่านเข้า ป่านนี้คงมีคนบรรลุโสดาบันไปเยอะแล้ว เพราะเป็นการแสดงให้เห็นความจริงของรูป นาม ขันธ์ห้า อารมณ์ทั้งนั้น เห็นความจริง คือเห็นชอบ ถ้าเกิดแล้ว จิตก็คลายความยึดมั่นถือมั่นออกมา ถ้าคลายออกเยอะ ถึงขนาดตั้งมั่นได้ เกิดสัมมาสมาธิ จะเห็นธรรมตรงนั้นแหละ พูดได้ เพราะเคยทำ เคยเห็นแล้วมา ถึงได้กราบหลวงปู่ชาอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกอยู่นี่ไง และผมเชื่อว่า พวกเราหากเจริญตาม ต้องเห็นเหมือนผมเห็นอย่างแน่นอน เหมือนคนหลงทาง มาพบทางที่ถูกต้อง ยังไงๆ ก็ต้องได้กลับบ้านแน่นอน ช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับว่าท่านจะเร่งเดินหรือจะเดินแบบทอดน่อง
อย่าคิดว่า ต้องบวชเป็นพระเท่านั้นจึงจะรู้เห็นธรรม อันนี้ผิดอย่างมาก พระปัจจุบันนี้ก็ปฏิบัติผิดกันมากทีเดียว เราเป็นฆราวาสจะไปบอกก็ใช่ที่ บอกคนที่พอจะบอกได้อย่างพวกเรานี่แหละ ความเห็นชอบจึงเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด อย่าเพิ่งไปคาดหวังจะหมดกิเลสอะไรเลย เอาแค่เห็นชอบก่อน เห็นว่าอะไรเป็นอะไรนี่ก็ไม่เสียทีที่เกิดมาพบพุทธศาสนาแล้ว เห็นแล้ว จะอยู่ในโลกต่อไป อยู่กับลูกกับสามี ภรรยาก็อยู่ได้ตามปกติ แบบนางวิสาขานั่นไง บางทีเห็นชอบขึ้นมา มันทำให้หมดทุกข์ไปเลยก็มี
ยกตัวอย่างตอนตั้งกลุ่ม Natural Mind แรกๆ ซึ่งไม่รู้ว่าจะมีใครเก็ทบ้างไหม ทำไมความเห็นชอบทำให้พ้นทุกข์ได้ยกตัวอย่าง เราไปกินข้าว จอดรถไว้ริมถนน เข้าไปนั่งในร้าน มากับเพื่อนสองสามคน สั่งอาหารยังไม่ทันเสร็จ เด็กเสิร์ฟก็วิ่งมาบอกว่า รถทะเบียนนี้ถูกสิบล้อชนเสยท้ายพังไปครึ่งคัน เผอิญทะเบียนรถนั้น มันตรงกับทะเบียนรถเราพอดี โอ้ ! ทุกข์เกิดทันทีเลย รถของเราถูกชนๆ เพื่อนบอก เฮ้ย ! กินข้าวก่อนเถิด รถมีประกัน เดี๋ยวเรียกประกันก็จบเรื่อง หายทุกข์ไหม ไม่หรอก เพื่อนอีกคนบอก ไม่เป็นไร ชนแล้วก็ซื้อใหม่สิ ไม่เห็นยากเลย เพื่อนบอกอย่างนี้ ก็ไม่หายหรอก ทุกข์นะ พอเดินออกไปดู อ้าว ! รถที่ถูกชนอีกคัน เด็กเสิร์ฟจำทะเบียนผิด เพราะรถของเรากับรถที่ถูกชนอยู่ใกล้กัน พอเห็นว่า รถที่ถูกชนไม่ใช่รถของเรา เป็นไงคราวนี้ ทุกข์หายเป็นปลิดทิ้ง นี่แหละสัมมาทิฏฐิล่ะ สุดท้ายแล้วเมื่อเราเจริญสติ เกิดปัญญาเห็นอย่างแจ่มแจ้งว่า รูป นาม ขันธ์ห้า อารมณ์ทั้งปวงไม่ใช่เรา ของเรา จิตมันก็วาง ปล่อยวางลงเองโดยอัตโนมัติ จิตที่วางอารมณ์ ออกจากอารมณ์ทั้งปวง มันก็ว่างเท่านั้นเอง จิตที่ออกจากอารมณ์ทั้งปวงนี่แหละคือจิตเป็นอิสระ ตั้งมั่นอยู่ ไม่หวั่นไหว จิตของพระอริยะเจ้า (ชั้นอนาคามีขึ้นไป) จึงเป็นสมาธิอยู่ตลอดเวลา สมัยนี้ไม่ค่อยมีใครสอนมรรคแปดที่ถูกต้องกันเลย ถ้าเราเห็นตามจริง เห็นชอบ จิตจะสงบ จิตที่สงบจากสุข จากทุกข์ จากอารมณ์ทั้งปวง นี่แหละสมาธิล่ะ
พระอาจารย์อนันต์สอนว่า ผู้หญิงผู้ชายนี้ ถ้าเราเห็นว่าสวยงาม จิตจะไม่สงบ จะก่อราคะ ฟุ้งซ่าน แต่ถ้าเห็นว่าไม่สวยงามคือ เห็นตามจริง จิตจะสงบ ลองพิจารณาดู ผมเห็นจริงดังที่ท่านสอนเลย ถ้าเราเห็นชอบ จิตมันจะสงบลงเรื่อยๆ แรกๆ จะไม่รู้หรอก กว่าจะรู้มันก็ตั้งมั่นให้เห็นเสียแล้ว ผู้ใดเห็นจิต ผู้นั้นเห็นธรรม จริงๆ นะ ผมเชื่อจริงๆ ว่า พวกเราต้องมีคนรู้ธรรมเห็นธรรมแน่ๆ
อย่างวันก่อน มีคนเข้ามาในสมาธิ พอถามว่า พิจารณาอะไร เขาตอบว่า พิจารณาอารมณ์อยู่ เมื่อสิบปีก่อนไปบวชปฏิบัติอยู่กับพระอาจารย์อนันต์ วัดมาบจันทร์ ศิษย์หลวงปู่ชา ท่านเล่าให้ฟังว่า วันหนึ่งเดินจงกรมอยู่ในป่า นึกในใจว่า ทำอย่างไรจึงจะรู้เห็นธรรมเร็วๆ คืนนั้น หลวงปู่ชาก็เทศน์เลยว่า การปฏิบัติที่จะรู้เห็นธรรมเร็วนั้น อยู่ที่อารมณ์ อารมณ์ยินดีก็ให้มีสติรู้เท่าทัน อารมณ์ยินร้ายก็ให้มีสติรู้เท่าทัน รู้ว่าไม่มีอารมณ์ไหนจริงแท้ ล้วนไม่แน่เป็นอนิจจังทั้งนั้น ไม่ควรหมายมั่น
คำสอนหลวงปู่ชาเหมือนพระพุทธเจ้าสอนพระโกณฑัญญะเลย (ทางสายกลาง) ครั้งแรกที่ฟัง เอ ! มันจะง่ายขนาดนั้นเลยหรือ ครั้นพอปฏิบัติดู ไม่ง่ายเลย เผลอให้อารมณ์มันกัดเอาทุกที แต่เมื่อทำจริงไม่ย่อท้อ จนสติต่อเนื่องไม่ขาดสาย จึงเห็นจริงดังที่หลวงปู่ชาสอน กราบพระพุทธเจ้า กราบหลวงปู่ชา ครูบาอาจารย์ทั้งหลายสนิทใจ ไม่สงสัยอีกต่อไป เอามาให้อ่านอีกที เห็นอารมณ์ยินดีก็ไม่เที่ยง ไม่แน่ เห็นอารมณ์ยินร้ายก็ไม่เที่ยง ไม่แน่ เห็นสักแต่ว่าเห็น ไม่เข้าไปวอแว ตอแยด้วย นี่แหละ เรียกว่า เห็นชอบ รู้ธรรม อาจจะเป็นความจำ เป็นสัญญาก็ได้ แต่เมื่อเห็นธรรม มันจะรู้ธรรมไปในตัว เป็นความรู้ ที่เรียกว่า ญาณ ญาณแปลว่าความรู้ รู้แรกยังเป็นปริยัติอยู่ รู้แล้วทำ เป็นปฏิบัติ พอทำแล้ว เห็นแล้วรู้ เป็นปฏิเวธ รู้หลังเห็น เรียกว่า รู้จริงเห็นแจ้ง หรือตรัสรู้ธรรม
ปีก่อน มีสมาชิกท่านหนึ่งหัวเราะผมว่า รู้แบบไม่คิด มันจะทำได้หรือ ผมก็บอกว่า มันทำได้จริงๆ นะเป็นความรู้ที่ออกมาในขณะจิตไม่คิด จิตหยุดคิด หยุดทำงาน จิตว่าง ที่ท่านพุทธทาสบอกว่า ทำงานด้วยจิตว่าง มันทำได้จิรงๆ
กลับมาเรื่องความเห็นชอบต่อ อย่างเราเห็นหญิงงามนางหนึ่ง แหม ! สวยเหลือเกิน ใบหน้าอ่อนหวาน ตานี้ค้ม คม หรือเห็นผู้ชายคนหนึ่ง หล่อมาก ดาร์ค แอนด์ ทอล แหม ! เห็นแล้ว มันเคลิ้ม นี่ตาเห็นรูป ธรรมะมันเป็นเหตุเป็นผลของมัน จริงๆ พระพุทธเจ้าท่านสอนดีมากเลยนะ แต่คนถ่ายทอดไม่ดี พอตาเห็นรูป เรียกว่าผัสสะ (ไม่ต้องจำก็ได้) พอผัสสะเกิด เวทนาจะทำงานทันที เวทนาคือ ความรู้สึกยินดีบ้าง (สุขเวทนา) ความรู้สึกไม่ยินดีบ้าง (ทุกขเวทนา) พอเห็นหญิงงาม ชายหล่อ เกิดความยินดี ซึ่งห้ามไม่ได้ แต่แทนที่จะหยุดอยู่ที่ความยินดี เห็นแล้วสักแต่ว่าเห็น จิตก็เข้าไปเสวยอารมณ์นั้น ปรุงแต่งเป็นราคะขึ้นมาทันที คือความอยากขึ้นมา หรือเรียกว่า ตัณหา กระบวนการที่ว่านี้ สำหรับปุถุชนจะเร็วมาก กว่าจะรู้ก็วิ่งเข้าไปขอเบอร์โทรศัพท์นางหรือหนุ่มนายนั้นแล้ว แต่พระอริยะเจ้าจะเห็นเป็นภาพสโลว์โมชั่นหรือคนที่ใกล้ความเป็นพระอริยะเจ้าก็จะเริ่มเห็นเป็นภาพสโลว์โมชั่น
ทำไมสองคนหลังจึงเห็นแบบนั้น คำตอบคือ “สติ” สติจะเป็นตัวเบรค พระพุทธเจ้าตรัสว่า สติเป็นเครื่องกางกั้นกิเลส สติ เตสัง นิวารณัง พอมีสติ มันก็จบแค่เวทนา ตัณหาคือ กิเลสจะมาจากไหน นี่คือกระบวนการเกิดกิเลส บางทีนั่งอยู่ ไม่มีใคร ทำไมเกิดกิเลสได้ ก็ภาพหรือเสียงที่มาปรากฏขึ้นในใจนั่นไงเล่า เรียกว่าธรรมารมณ์มากระทบใจ นั่น ผัสสะเกิดแล้ว เวทนาก็เกิดตามมาเป็นธรรมดา รูปดี เสียงชมผ่านเข้ามากระทบ อารมณ์ยินดีเกิด เสียงด่าที่เคยด่าเมื่อเดือนก่อน ผ่านมา นั่น กระทบใจเข้าแล้ว อารมณ์ยินร้ายเกิดแล้ว กว่าจะรู้ตัวก็ยกโทรศัพท์ไปด่าพ่อด่าแม่เขาแล้ว นี่ว่าสำหรับปุถุชนที่ไม่ได้ปฏิบัติธรรมทั้งหลาย ไม่รู้จักสติ พวกเรานี้ถ้ายังไม่เห็นธรรม เรียกว่า กัลยาณชน ผู้ใกล้ที่จะเห็นแล้ว ถ้าเราเจริญสติ อยู่กับความรู้สึกตัวตลอดเวลา พอเกิดอารมณ์ยินดี ยินร้าย ใจมันก็วิ่งมาอยู่กับสติ พอใจวิ่งมาอยู่ปั๊บ อารมณ์นั้นก็ไม่งอกงามเป็นตัณหา เป็นโทสะขึ้นมาได้หรอก มันก็ดับลงตรงนั้นจริงๆ กำลังสติต้องดีพอ การจะรู้ธรรม เห็นธรรมเร็ว สติอย่างเดียวไม่พอ ต้องใช้ปัญญาด้วย ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา พละห้าหรืออินทรีย์ห้าที่หลวงปู่มั่นสอนเน้นลูกศิษย์ท่านเสมอ ห้าอย่างนี้ต้องอบรมให้เสมอกัน ศรัทธาถึงไหม วิริยะคือความเพียรถึงไหม บางคนเริ่มข้อแรกก็ตกแล้ว ไม่มีศรัทธา หนังสือให้ไปก็ไม่เคยเปิดอ่าน อ่านแล้ว ก็ยังกลับไปใช้เส้นทางเดิมๆ หรือติดอยู่กับพระอภิธรรมเจ็ดคำภีร์ วางคัมภีร์ไม่ลง มันก็อยู่เท่าเดิม