ถาม-ตอบ

การปฏิบัติธรรมนี้ท่านสอนให้แก้ไขที่ตนเองด้วยสติ ปัญญา

แสดงธรรม กลุ่ม Natural Mind เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2559

 

ท่านทรงกลด : ธรรมใดที่มิได้เป็นไปเพื่อความสงบระงับ ธรรมนั้นมิใช่ธรรมที่ตถาคตกล่าว ไม่ใช่ธรรมคำสอนของพระพุทธองค์  เร่งความเพียร ภาวนากันเยอะๆ นะ จงพากันเร่งความเพียรอย่างที่ผมเตือนเถิด ใครเล่าจะล่วงรู้ถึงความตายที่จะมาในวันพรุ่ง จิตที่ไม่ “จับ” อารมณ์ทั้งปวงเพราะ “รู้เท่า” นี่แหละเป็นสุขแท้ เมื่อวานมีท่านหนึ่งเอารูปหญิงโป๊มาลง ซึ่งหลายท่านอาจจะมองว่า เป็นเรื่องไม่เหมาะสมในกลุ่มไลน์ธรรมเช่นนี้ แต่ในทางธรรมก็ถือเป็นบททดสอบที่ดีสำหรับนักปฏิบัติธรรมที่เป็นบุรุษเพศ

ดังมีเรื่องเล่าว่า ในสมัยพุทธกาล มีพระภิกษุห้าสิบรูปปลีกวิเวกปฏิบัติธรรมจนเข้าใจว่า ตนบรรลุอรหัตผลกันหมดแล้ว (แท้จริงไปติดในฌานโลกีย์) จึงพากันกลับจะมาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงรู้ด้วยญาณจึงบอกว่า อย่าเพิ่งมาหาตถาคต ให้แวะไปที่ป่าช้าก่อน พอดีวันนั้นมีคนนำศพหญิงสาวสวยเพิ่งตายมาไว้ที่ป่าช้า พระเหล่านั้นพอเห็นภาพหญิงงามแม้จะเป็นศพ แต่ก็เพิ่งตาย ยังสดอยู่ กามราคะก็กำเริบ จึงรู้ว่า ตนยังไม่ได้บรรลุธรรมวิเศษอะไรเลย จึงพากันพิจารณาศพหญิงนั้น ที่ค่อยๆ เน่า น้ำเหลืองเยิ้ม มีหนอนชอนไชตามทวารต่างๆ มี ตา หู ปาก เป็นต้น จนเห็นเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จิตก็เบื่อหน่ายคลายกำหนัด วิมุตติ หลุดพ้นไปในที่สุด เป็นพระอรหันต์จริงๆ ขึ้นมา ไม่ใช่อรหันต์ปลอมอีกต่อไป

อย่างไรก็ตาม ในกลุ่มนี้มีนักปฏิบัติรุ่นแม่หรือเป็นสตรีอยู่หลายท่าน ขอให้เข้าใจเจตนาท่านที่ไม่มีเจตนาเป็นอย่างอื่นคงอยากทดสอบคนอื่นๆ เท่านั้นเอง แต่ก็อดเป็นห่วงอีกท่านหนึ่งไม่ได้ซึ่งตอนนี้บวชเป็นพระ หากมาเห็นภาพหญิงโป๊ ไม่รู้ว่า ตอนนี้ราคะกำเริบ ถึงขนาดสึกหาลาเพศไปหรือยัง หรือเดิมตั้งใจว่า จะบวชสักสามเดือน หนึ่งเดือน แต่พอเห็นภาพโป๊ กามราคะกำเริบ นึกถึงที่เคยส้องเสพ เอ ! สึกเสียพรุ่งนี้ดีกระมัง ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นก็คงจะเป็นบาปเป็นกรรมเหมือนกัน 

ทางที่ดีถ้าพระย่องเข้ามาเห็นภาพแล้ว ให้พิจารณาให้เห็นเป็นอสุภะเสียเหมือนพระภิกษุห้าสิบรูปนั้น ชีวิตในร่มผ้ากาสาวพัสตร์ก็จะอยู่รอดปลอดภัยต่อไปได้ รวมทั้งบุรุษเพศในกลุ่มทั้งหลายก็ต้องพิจารณาให้เห็นเป็นอสุภะ เป็นอนิจจังเพราะนี้คือ การทดสอบที่รุนแรงพอควร ไม่ใช่เห็นภาพโป๊นี้แล้วจิตที่กำลังจะสงบเพราะสติ ปัญญา กลับปรากฏราคะเกิด ไม่เอาแล้วโว้ย ไม่ไหวแล้วโว้ย ไปเสพกามดีกว่า แล้วติดกาม ท้อถอยในการปฏิบัติ หรือเลิกปฏิบัติไปเลย ซึ่งเป็นไปได้สูงเพราะคนปฏิบัติยังเป็นปุถุชน ไม่ใช่พระอนาคามีที่ละกามได้แล้ว  ถ้าอย่างนี้ ผลก็เป็นตรงข้าม 

อีกประการหนึ่ง การเห็นภาพโป๊ครั้งแรกของพระไม่น่าเป็นอาบัตินะ แต่การย่องกลับมาดูเป็นครั้งที่สองเพราะจิตเกิดนันทิ (ความยินดี) อันนี้ ไม่แน่ใจว่าเป็นอาบัติหรือไม่ หรือดูครั้งแรกก็เป็นแล้ว (อาบัติบางอย่างไม่มีเจตนาก็เป็น) ลองปรึกษาพระที่เคร่งวินัยดู จะได้ปลงอาบัติก่อนสึกให้เรียบร้อย เพราะเห็นมาเยอะแล้ว พระสมัยใหม่บวช อาบ่งอาบัติอะไรไม่สำคัญ สึกไป นอกจากชีวิตจะวิบัติแล้ว ตายไป โน่น นรก พระสมัยนี้จึงลงนรกกันเยอะมากๆ  อย่าเห็นเป็นเรื่องเล่นๆ นะ พระสมัยนี้ เล่นไลน์ ดูรูปโป๊กัน ดูหนังโป๊ในมือถือกัน นี่ มันนรกทั้งนั้น ใครไม่เชื่อก็แล้วแต่นะ จะมาบอกว่า ดูเพื่อทดสอบจิตใจ ผมว่ามันไม่ใช่ ร้อยทั้งร้อยดูแล้วเสร็จกิเลสทุกราย  ถ้าอยากดูจริงๆ พระพุทธเจ้าก็บอกทางไว้แล้ว โน่น ป่าช้าโน่น ไปนั่งปักกลดสักสองสามคืนดูเถิด เรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนสำหรับพระนะ พระเล่นไลน์ก็เหมือนกัน ถ้าคุยสองต่อสองกับสีกาก็เป็นอาบัติแล้วรู้ไหม เพราะถือว่า เป็นการสนทนากับสตรีสองต่อสอง  

อย่างหลวงปู่ชานี่ สมมติว่า ท่านเดินไปตรวจกุฏิพระ (ท่านจะทำบ่อย) เข้าไปเห็นหนังสือโป๊เต็มห้อง ท่านก็ถามว่า หนังสืออะไรนี่ พระรูปนั้นก็บอกว่า หนังสือโป๊ครับหลวงพ่อ หลวงปู่ชาก็ถามว่า เอาไว้ทำไม พระตอบว่า “เอาไว้ทดสอบจิตใจครับ” ท่านว่า หลวงปู่ชาจะทำอย่างไรกับพระรูปนี้ ชม ตำหนิ ไล่ให้ไปอยู่ป่าช้า หรือไล่ออกจากวัดเลย  

การเอารูปโป๊มาลงในไลน์ธรรม ในแง่ธรรมถือเป็นบทสอบจิตใจที่ดีสำหรับนักปฏิบัติธรรมชาย แต่ถ้าบอกว่า โอย ! แค่นี้เด็กๆ ทำอะไรผมไม่ได้หรอก แล้วถ้าเขาเอารูปแรงกว่านี้มาลง เพื่อทดสอบหนักขึ้น หรือคนอื่นมีภาพโป๊อื่นเด็ดกว่ามาลงบ้าง จะเกิดอะไรขึ้นกับสภาวะจิตคนส่วนใหญ่ในกลุ่มซึ่งเป็นสตรีเพศ หรือถ้าพรุ่งนี้เกิดมีผู้หญิงกลัวน้อยหน้า ไปเอารูปชายเปลือยมาลงทดสอบจิตนักปฏิบัติธรรมหญิงบ้าง ศาลาธรรมแห่งนี้จะเป็นอย่างไร มันก็จะร้อนแล้ว ไม่สงบ เยือกเย็นเหมือนเก่าก่อนแล้ว และท้ายสุดมันก็จะเผาไหม้ตัวมันเองทั้งศาลาและคนในศาลาเป็นจุณไปด้วยกัน  

ไม่เชื่อลองเอาภาพโป๊ไปแปะติดไว้ตามต้นไม้ต่างๆ ในวัดป่าวัดหนึ่ง แม้ข้างล่างภาพจะเขียนคำว่า “อนิจจัง” ไม่นาน วัดป่านั้นก็คงจะกลายเป็นวัดร้างอย่างไม่ต้องสงสัย ทำไมเป็นอย่างนั้น มันเหมือนเด็กชกกับผู้ใหญ่นั่นแหละ ไม่มีวันชนะหรอก “พละกำลัง” มันต่างกัน ต่อเมื่อเด็กบำรุงตนเองจนเติบโต นั่นแหละจึงจะหักโค่นผู้ใหญ่เกเรนั้นได้

พละคือ พละห้า ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา นี่แหละจะทำให้เด็กโตล่ะ  แต่ยังไงก็นึกขอบคุณเพื่อนว่า ไม่เอาภาพโป๊มาลงแทรกระหว่างที่ผมแสดงธรรม ลองนึกดู พระกำลังเทศน์ให้โยมฟังในศาลา มีผู้หญิงคนหนึ่งนึกอยากทดสอบทั้งพระทั้งโยม เดินแก้ผ้าโทงๆ เข้ามาในศาลา จะเกิดอะไรขึ้น ขณะที่พระแสดงธรรมจิตท่านเป็นสมาธิอยู่ในธรรม ส่วนโยมทั้งหลาย บางคนจิตทรงตัวเป็นสมาธิในขณะฟัง หรือโยมคนอื่นจิตที่กำลังจะสงบเป็นสมาธิเพราะส่งกระแสจิตตามไปขณะฟังธรรม เกิดกระเจิงขึ้นมา  ผู้หญิงคนนั้นย่อมไม่พ้นมหานรกแหงๆ ถึงตอนนั้นพระก็คงช่วยอะไรไม่ได้เหมือนกัน เรื่องนี้จึงไม่ใช่เรื่องสนุก มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนจริงๆ นะ 

อย่างไรก็ตาม กลุ่มไลน์ธรรมแห่งนี้ ก็ไม่หวงห้ามการลงภาพ ลงข้อความอะไร คนที่ลงก็ต้องรับผิดชอบตัวเอง และทุกอย่างก็เป็นบททดสอบจิต ภาพทุกภาพ คำทุกคำ เป็นธรรมะทั้งนั้น ถ้ารู้เท่าทันมันก็ทำอะไรจิตคนดู คนอ่านไม่ได้หรอก จึงขอให้คนอ่าน คนดู ต่างเฝ้าดูอารมณ์ เฝ้าดูจิตใจตนเองไป ชอบ ไม่ชอบ ยินดี ไม่ยินดีให้มีสติรู้เท่าทันอารมณ์ ไม่ใช่ไม่ชอบปุ๊บ กดออกจากกลุ่มไปปั๊บ  ซึ่งผมก็พูดบ่อยว่า การปฏิบัติธรรมนี้ ท่านสอนให้แก้ไขที่ตนเอง อย่าไปแก้ไขคนอื่น มันแก้ไม่ได้หรอก แต่ถ้าท่านที่ผมเชิญมาเห็นว่า ไม่ไหวแล้ว ก็ออกได้เลยนะครับ ไม่ต้องเกรงใจกัน ออกแล้วก็ยังคุยธรรมะในไลน์ส่วนตัวกับผมได้ตามปกตินะ แต่อยากให้สตินิดเดียวว่า อย่าปล่อยให้ภาพเพียงภาพเดียวหรือคำเพียงคำเดียวมาทำให้จิตที่มุ่งพระนิพพานต้องเสื่อมหลุดไปเลย

อนึ่ง ถ้าเป็นคนเก่าๆ จะทราบดีว่า ข้อคิดข้อธรรมอะไรที่มาลง ถ้าเป็นข้อธรรมที่ถูกต้องตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ผมก็จะสาธุๆ ถ้าเป็นข้อคิดแบบโลกๆ หรือไม่ถูกต้องก็เฉยๆ และถ้าอันไหนไม่ถูกมากๆ หรือเพี้ยนมากๆ เห็นว่า จะทำให้คนเข้าใจผิด จนหลงทางไป ก็จะชี้บอก เตือนกัน ส่วนใครจะเชื่อไม่เชื่อก็แล้วแต่สติปัญญาของแต่ละคน ของใครของมัน ถือว่าผมทำหน้าที่แล้ว ไม่ไปบังคับ เว้าวอน หรือยกเหตุผลร้อยแปด เตือนแล้วก็วาง  ถ้าไม่เตือน เดี๋ยวไปพบพระพุทธเจ้าๆ จะตำหนิ (เหมือนตำหนิพระสารีบุตร) ว่า “ทรงกลด เธอเห็นคนบิดเบือนคำสอนของเรา ทำไมไม่บอกคำสอนที่ถูกต้องให้พวกเขา ทั้งๆ ที่เธอก็รู้ว่า คำสอนอันไหนถูก อันไหนผิด เพราะเธอได้แจ้งในคำสอนของเราแล้ว” 

ต้นมะม่วงต้นหนึ่ง ออกลูกออกผลมากมาย บางลูกก็กำลังสุกน่ากิน บางลูกก็เน่าคาต้น คนมีปัญญาก็จะเลือกเอาลูกที่สุกอร่อยไปกิน ส่วนคนเขลาก็จะเอาลูกที่เน่าไปกิน แม้คนมีปัญญาจะบอกว่า มะม่วงลูกนั้นมันเน่านะ เขาก็ไม่ฟังยังคงกินอยู่นั่นเอง ศาลาแห่งนี้ก็เหมือนกัน มีข้อคิดข้อธรรมมากมาย ทั้งที่สมาชิกต่างๆ ทยอยกันเอามาลงด้วยเจตนาดี และที่ผมแสดงก็มากมายก็จงเลือกเอา อันไหนดีมีประโยชน์ก็เอาไปพัฒนาจิตใจตนเองให้พ้นทุกข์เสียในชาติปัจจุบันนี้ อันไหนเห็นว่ามันไม่ดี ไม่มีประโยชน์ก็ไม่ต้องเอาไป ทิ้งไว้ในศาลาแห่งนี้แหละ ให้มันเน่าอยู่ตรงนี้ เหมือนคนมีปัญญาเลือกเอามะม่วงที่สุกดีไปกินนั่นแหละ กินแล้ว อร่อยอย่างไร คนอื่นไม่รู้หรอก รู้แต่คนกินจะบอกว่ามันอร่อยอย่างนี้ๆ นะ คนอื่นก็ไม่รู้รสด้วย จะรู้ต่อเมื่อกิน เพราะว่ามันเป็น “ปัจจัตตัง” นี่นา 

ต้นมะม่วงต้นหนึ่งออกลูก ออกผลมากมาย บางลูกก็กำลังสุกน่ากิน บางลูกก็เน่าคาต้น  คนกลุ่มหนึ่งต่างหิวโซเดินผ่านมาเห็นต้นมะม่วง  บ้างก็สอยมะม่วงลูกที่สุกดีลงมากิน  บ้างก็กลับสอยเก็บมะม่วงลูกที่เน่าคาต้นอยู่  บ้างก็เฝ้าลูบคลำผลมะม่วงอยู่  สองกลุ่มหลังถามคนที่กินอยู่ว่า “อร่อยไหม” คนกินตอบว่า “อร่อย” คนที่กินมะม่วงเน่าบอกว่า “ไม่เห็นอร่อยเลย” ส่วนคนที่ลูบคลำอยู่ก็เฝ้าแต่ถามว่า “มันอร่อยจริงหรือ อร่อยจริงหรือ” แต่ก็ไม่ยอมกินเสียที จนแก่ตายอยู่ใต้ต้นมะม่วงนั่นเอง ท่านล่ะ…   เป็นคนกลุ่มไหน                                                        

อาหารกายนี้คือ ข้าว ปลา หมู เห็ด เป็ด ไก่ แต่อาหารใจคือความสงบ  ที่ใจเราไม่เคยอิ่มเพราะเราให้อาหารมันผิด ไปเอารูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ มาเป็นอาหาร มันจึงไม่เคยอิ่มเสียที แต่ความสงบที่จะทำให้จิตอิ่มนี้ต้องเป็นความสงบอันเกิดจากการอบรมสติปัญญาด้วย จึงจะสงบได้อย่างแท้จริง