เห็นกายในกาย เห็นเวทนาในเวทนา

แสดงธรรม กลุ่ม Natural Mind เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2559
ท่านทรงกลด : มีสมาชิกท่านหนึ่งได้ไปเที่ยววัดป่าสุทธาวาสที่จังหวัดสกลนคร และไปกราบรูปหล่อหลวงปู่มั่นที่วิหารพิพิธภัณฑ์ ท่านอธิษฐานว่า กลับไป ขอให้พบครูบาอาจารย์ทางธรรมที่รู้เห็นธรรมจริงหน่อยเถิด ที่จริงๆ ครูบาอาจารย์ของเราจริงๆ ก็คือ กายยาววา หนาคืบของเรานี่เอง อาจารย์ใหญ่ไม่ใช่ใครที่ไหน คือกายเรานี่แหละ
คำว่า ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน จริงๆ แล้ว ไม่ได้หมายถึงอย่างที่คนเข้าใจกัน มันลึกซึ้งกว่านั้นมากมาย ตนแรกคือ กาย ตนหลังคือ จิตเรานี่เอง พระพุทธเจ้าบอกว่า ให้เอากายตนนี่แหละเป็นที่ศึกษาแห่งจิต โอปนยิโก น้อมเข้ามา เมื่อเอาจิตมาพิจารณากาย กายนี้แหละเป็นที่พึ่งที่จะพาไปพบพระนิพพาน ศพคนตายนี่คือดอกไม้ของพระอริยะเจ้า ชาวโลกเห็นศพเบือนหน้าหนี โอ้ ! น่าขยะแขยงเหลือเกิน ไม่มีใครเอา แม้คนที่เรารัก เช่น สามี ภรรยา พอตายขึ้นอืด เรายังจะเอามากอดอยู่ได้เหมือนเดิมไหม
ผมเคยสอนสมาชิกท่านหนึ่งว่า คนที่เรานอนกอดอยู่ทุกวันนี้ ลองสมมติว่าเป็นตุ๊กตายาง แรกๆ ตุ๊กตามันยังสดใหม่อยู่ มันก็ไม่แสดงอาการอะไรออกมา น่ากอด น่าทะนุถนอม พอเวลาผ่านไป เราก็เห็นมีหยดน้ำอะไรไหลออกทางหู ก็สงสัย หาอะไรไปแหย่ดู พอแหย่เข้าไปในหูลึกๆ ก็ปรากฏเลือดทะลักออกมา พอแบะออกดู โอ้ ! มีแต่เลือด มีแต่หนอง เหม็นคลุ้งไปหมด พอรู้ความจริงอย่างนี้ เราจะนอนกอดอยู่ได้ไหม ท่านนั้นก็ตัดพ้อว่า แหม ! อย่ายกตัวอย่าง (ตุ๊กตายาง) ได้ไหม เมื่อคืนไม่กล้านอนกอดคนข้างๆ อีกเลย
การจะรู้ธรรม เห็นธรรม มันไม่ได้เห็นอะไรหรอก ไม่ได้เห็นนรก สวรรค์ วิมานอะไร ใครบอกว่า เห็นพระพุทธเจ้าเสด็จมาหา แล้วบอกเห็นธรรม นั่นของปลอม ใครบอกว่า นั่งสมาธิแล้วพระอาจารย์รูปนั้น รูปนี้มารับรองเป็นโสดาบันแล้วนะ สกิทาคามีแล้วนะ อนาคามีแล้วนะ นั่นของปลอม การเห็นแบบนั้นไม่ใช่เห็นธรรม ให้เห็นกายใจตามความเป็นจริง นี้ถูกต้องแล้ว
เห็นจริงกับฝันไม่เหมือนกัน บางทีพระอริยะเจ้าท่านเห็นในสมาธิ ท่านก็เรียกว่า สมาธินิมิต ทั้งๆ ที่เป็นจริงอย่างคนพิจารณากาย จนจิตสงบแล้วเห็นกายตามจริงปรากฏขึ้นในใจ นี่เรียกว่าเห็นจริง การเห็นกายภายนอกกับภายในนี่คนละเรื่องกัน
พระพุทธเจ้าสอนเรื่องสติปัฎฐานสี่ ภิกษุทั้งหลาย เธอจงเห็นกายในกาย แต่ก่อนเข้าใจว่า เห็นกายในกาย คือ ผ่าศพออกดู คนรู้ธรรม เห็นธรรม จะไม่ฆ่าใครเด็ดขาด (พระโสดาบัน ศีลห้าเป็นศีลวิรัติ คือมีศีลเป็นปกติ) เหตุที่หมอผ่าตัดกาย เห็นตับ ไต ไส้ พุง ยังฆ่าคนได้ เพราะเขาไม่ได้เห็นกายในกาย เขาใช้ “ตาเนื้อ” เห็น ตาเนื้อไม่ใช่ตัวปัญญา ตัวปัญญาจริงๆ คือ “ตาใน” มันบอด ตาในคืออะไร ใจเรานี่แหละคือ ตาใน ใจเรามันบอด เราจึงยังฆ่าคนได้อยู่แม้วันหนึ่งๆ จะผ่าตัดเห็นกาย ตับ ไต ไส้ พุง หัวใจ คนเป็นร้อยๆ คน
ตาในคือ ใจที่ประกอบไปด้วยปัญญาเมื่อเราพิจารณากาย ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง มันสะอาดไหม ตัดผมมาสักกระจุกหนึ่ง หย่อนลงไปในชามข้าวดูสิ ยังจะกินข้าวอยู่ได้ไหม ถ้าพูดอย่างนี้ คนหยาบๆ แบบโลกๆ ก็จะหนีไป ออกจากกลุ่มไปทันที แต่คนที่มีใจใฝ่ธรรม คนที่จะเป็นพระอริยะอันใกล้จะไม่ทำเช่นนั้น เล็บล่ะ ลองเอาใส่ชามแกงดูสิ ฟันล่ะ ไหนว่าสวยมากนัก ลองหักใส่แก้วน้ำดูสิ ลอกหนังมาใส่ถ้วยไอติมดูหน่อย ดีไหม นี่ มันจะกินเข้าไปได้ไหม ทำไมจึงกินไม่ได้ ก็มันโสโครก จะกินเข้าไปได้อย่างไร อ้าว ! แล้วข้าวเปล่า แกงเดิมๆ มันสะอาดของมัน น่ากิน น่าภิรมย์ แล้วทำไมพอผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ใส่ลงไป จึงไม่น่าภิรมย์อีกต่อไป นั่นแหละ ตัวกูมีที่ไหน มีแต่ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง นี่แสดงว่า ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง มันสกปรก น่ารังเกียจละสิ พอใส่ชามข้าว ชามแกง จึงพากันสกปรกปฏิกูลไปด้วยกันหมดอย่างนี้ สีเอย สัณฐานเอย กลิ่นเอย ที่อยู่เอย ที่เกิดของสิ่งเหล่านี้ มันสะอาดไหม นี่พากันพิจารณาสังเกตดู แล้วมันเที่ยงแท้ไปได้ไหม ลองดูผมวันนี้ มันหงอกขาวไปกี่เส้น อาบน้ำ ร่วงหล่นไปกี่เส้น เล็บตัดไปกี่ครั้ง ตอนนี้มันไปอยู่ไหนหมดแล้ว ฟันล่ะ ถอนไปกี่ซี่ เคยไปตามดูไหม ไปอยู่ที่ไหนหมดแล้ว โน่น เน่าเปื่อยสลายไปเป็นดินหมดแล้ว ไหนล่ะ ผมที่เป็นกู ของกู เล็บ ฟัน ที่เป็นกู ของกู
การพิจารณาอย่างนี้เรียกว่า เป็นการพิจารณาสังเกตให้เห็นความเป็นจริงของกายแต่ยังเป็นการเห็นภายนอก จินตนาการอยู่ ต่อเมื่อ (ผมยืนยัน) พิจารณาไปเรื่อยๆ จิตจะสงบเข้ามาล่ะ ทีนี้พอจิตสงบ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง หรือส่วนอื่นๆ ของร่างกายมันจะแสดงให้เห็นขึ้นภายในล่ะทีนี้ ที่นักปฏิบัติเรียกว่า ภาพนิมิตนั่นแหละ แต่การเห็นคราวนี้ไม่ได้เห็นด้วยตาเนื้อแล้ว เป็นการเห็นด้วยใจ ด้วยปัญญา ปัญญาคืออะไร คือ การเห็นตามจริงของรูป นามขันธ์ห้า นี่แหละ จึงเรียกว่า เห็นกายในกายที่แท้จริง ใจมันเห็นความจริงของกายเสียแล้ว บางทีจะเห็นผมร่วงลงไปเป็นดินต่อหน้าต่อตา เป็นการเห็นในสมาธิ
เห็นอย่างนี้เกิดอะไรขึ้นกับใจตัวปัญหา เห็นความโสโครกในกาย เห็นความไม่แน่ของกาย ที่ต้องผุพังไปเป็นธรรมดา ผมถามว่า ตุ๊กตาที่เรานอนกอดทุกวัน พอวันหนึ่ง เรามารู้ว่า ข้างในเต็มไปด้วยเลือด หนอง ตับ ไต ไส้พุง อาหารเก่า อาหารใหม่ ที่เหม็นคละคลุ้ง น่าสะอิดสะเอียน อย่างนี้ มารู้ความจริง เห็นความจริงของตุ๊กตาอย่างนี้แล้ว ท่านยังจะนอนกอดได้อีกไหม มีแต่คนบ้าเท่านั้นที่ตอบว่า ยังนอนกอดอยู่ได้ ที่ทุกวันนี้ ท่านยังนอนกอดอยู่ได้ เพราะใจยังไม่เห็น เมื่อใดที่เห็น ท่านจะวางตุ๊กตา หรือไม่ก็ทิ้งลงถังขยะหน้าบ้าน ทำไมถึงทิ้ง เพราะไม่เอาจึงทิ้ง ทำไมไม่เอา เพราะมันเห็นตามความจริงเสียแล้วว่า สิ่งที่เรานอนกอดมานับสิบปี ที่แท้มันไม่ใช่ของสวยงาม สะอาด ทั้งต้องเปื่อย ผุ พังไปในที่สุด เป็นอนิจจัง หาแก่นสารอันใดไม่ได้ มีตุ๊กตาตัวไหนบ้างที่มีอายุสองร้อย สามร้อยปี ไม่มีหรอก ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง หรือส่วนอื่นๆ ของร่างกายก็เช่นกัน เมื่อใจเห็นตามจริง ตามที่ปรากฏในใจ ไม่ใช่เห็นด้วยตาเนื้อเหมือนเมื่อเก่าก่อน ใจมันก็ไม่เอาร่างกาย ทิ้งไป วาง วางกายไป
เคยได้ยินไหม ใจว่างเพราะวางกาย ถ้าใจมันย่องไปเห็นความเป็นจริงของกายเสียแล้วมันก็วางไปเอง จะเห็นว่า กายไม่ใช่ใจ ใจไม่ใช่กาย อยู่คนละส่วนกัน เห็นแค่นี้ ความเป็นมิจฉาทิฏฐิหายไปเยอะเลย ที่เคยคิดว่า ตายแล้วสูญ ความคิดจะเปลี่ยน เพราะอะไร ก็เพราะเห็นแล้วว่า กายคือสิ่งที่ถูกเห็น กับใจคือผู้เห็น มันคนละส่วนกัน (กายนี้คือรูปในขันธ์ห้า) กายไม่ใช่เรา เราไม่ใช่กาย
เคยไปงานศพไหม ไปเผาศพ ที่เผาๆ กันอยู่ มันกายหรือใจเล่า ร่างกายเท่านั้นที่ถูกเผา แล้วใจไปไหนเล่า ใจไม่ได้ถูกเผาไปด้วย เพราะมันคนละส่วนกัน ตายแล้วไม่สูญ ใจก็ไปตามเหตุ ตามปัจจัยที่เคยประกอบกรรมไว้นั่นแหละ
ใจว่างเพราะวางกาย ทำไมมันจึงวาง ทำไมมันจึงว่าง ผมพบคนรู้จักคนหนึ่ง นั่งทานข้าวด้วยกัน คุยเรื่องการปล่อยวาง ผมก็ยกขวดน้ำ (ที่มีน้ำเต็ม) ขึ้นมา ผมบอก ดูสิ ผมถือขวดน้ำนี้ขึ้นมา ตอนนี้ผมไม่วาง ผมถืออยู่ แต่พอถือไปสักพัก มันเริ่มหนัก ๆ ๆ หนักขึ้นเรื่อยๆ พอหนักผมก็วาง ธรรมะมีแค่นี้เอง เมื่อมาเห็นตามความเป็นจริงว่าขวดน้ำมันหนักก็วางเสียสิ พอวางก็เบา สบาย โปร่ง ว่าง ธรรมชาติมันเป็นอย่างนี้ ถึงบอกว่า ธรรมะก็คือ ธรรมชาติ
แล้วทำไมเราถึงวางกายไม่ได้ หวงกันเหลือเกิน พรุ่งนี้ต้องไปอาบน้ำให้มัน หาข้าวอร่อยๆ ให้มันกิน อึไม่ออก ก็ต้องหายากินให้มันถ่าย มันปวดนิด ปวดหน่อย ก็วิ่งโร่ไปหาหมอ กลัวมันจะตาย ใครมาเหยีบเท้าหน่อยคว้าปืนได้ ยิงตูมออกไป โน่น สุดท้ายต้องพากายไปอยู่ในคุกตะราง ที่วางไม่ได้ก็เพราะมันไม่เห็นตามจริงของกายนี่ไง ถ้าเห็นตามจริงปรากฏในใจนะ รถถูกเฉี่ยวชน จะไม่ต้องเกิดคดีความ ไม่ต้องพาใครมากราบรถ ก็ขนาดกายนี้ ความจริงยังไม่ใช่เรา ของเราเลย (เห็นความจริงเสียแล้ว) วัตถุภายนอก รถ บ้าน อะไรจะเป็นของเราได้
เคยมีนักปฏิบัติคนหนึ่ง รวยมาก ผมสอนให้พิจารณากาย วันหนึ่งร้องไห้ ไลน์มาบอกว่า คนใช้ขโมยเครื่องเพชรเก่าของแม่หนีไป ผมก็บอกสั้นๆ ว่า ก็กายนี้มันยังไม่ใช่เรา ของเราเลย ไม่ใช่หรือ แล้วเครื่องเพชรนั้นจะเป็นของเราได้อย่างไร หยุด หยุดร้องไห้ เขาบอก พอผมพูดให้สติอย่างนี้ น้ำตามันหยุดไหลทันที นี่ร้องไห้มาสามวันแล้ว ทำไมน้ำตามันหยุดไหล น้ำตามันหยุดไหลเพราะใจมันปล่อยวางได้ ทำไมใจปล่อยวางได้ ก็มันเห็นตามจริงแล้วว่า ขนาดกายนี้ยังไม่ใช่เรา ของเรา เครื่องเพชรมันจะเป็นของเราได้อย่างไร มีแต่เราทึกทักไปเองว่า บ้านนี้ของเรา รถนี้ของเรา ตำแหน่งนี้ของเรา ลูกน้องของเรา เคยถูกลูกน้องหักหลังทรยศกี่ครั้งแล้วล่ะ ถ้ามันเป็นลูกน้องเรา มันก็คงไม่หักหลังแว้งกัดเราได้หรอก นี่แหละอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่อยู่ในบังคับบัญชาของใครทั้งนั้นแหละ
ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง สั่งมันว่า อย่าหงอก อย่าร่วง ฟันอย่าหัก หนังอย่าเหี่ยว สั่งมันได้ไหมล่ะ ต้องเห็นด้วยใจจริงๆ นะ จึงจะวางได้ เพราะมันสั่งไม่ได้ บังคับบัญชามันไม่ได้ มันไม่ฟังใครทั้งนั้น เหมือนลูกน้องนั่นแหละ เห็นไหม ไม่มีอะไรที่เป็นของเราสักอย่างเลย ไปถือไว้ แบกไว้ให้หนักทำไม หนักก็วางเสีย จบแค่นี้เอง ธรรมะ
ทุกวันนี้ เราสอนกันให้ปล่อยวางแต่ปาก อะไรๆ ก็ปล่อยวางๆ ๆ ๆ ผมพูดเสมอว่า การปล่อยวางนี้มันเป็นผล บอกให้วาง ให้ปล่อย สักล้านครั้งมันก็บอกได้แค่ปากเท่านั้น ถ้าไม่โกหกตัวเอง ถามจริงๆ เถิด มันวางได้ไหม พระก็สอน โยมปล่อยวางๆ ๆ ๆ ปล่อยให้ผ่านไปๆ ๆ ๆ ๆ
ถามว่า ขวดน้ำที่ผมถือให้ดู และมีคนบอกผมว่า ท่านทรงกลด วางขวดน้ำเสีย ๆ ผมก็บอกว่า วางไม่ได้ ขวดน้ำนี้มันของผม ผมต้องถือมันไว้ ถือไปสักพัก เออ ! มันเริ่มหนักๆ ๆ ๆ ๆ ไม่ได้ๆ ๆ ขวดน้ำนี่ของกูๆ ๆ ๆ ๆ ต้องถือไว้ มันก็เริ่มหนัก ผมก็สั่งว่า “ขวดน้ำ เจ้าจงเบา เจ้าจงเบา เราจะได้ไม่หนัก” ถามว่า มันจะเบาตามที่ผมสั่งได้ไหม ไม่ได้หรอก ผมบังคับบัญชามันไม่ได้ เพราะมันไม่ใช่ของผม มีคนไปหยิบมาให้ผมจากที่ไหนก็ไม่รู้ จะสั่งอย่างไร ทึกทักอย่างไร มันก็ไม่เบา ทำไมไม่เบา ฟังดีๆ กันนะ “เพราะธรรมชาติเดิมของมัน ของขวดน้ำมันหนักของมันอยู่อย่างนั้น” จะเทน้ำออกก็เสียดาย น้ำสะอาดเอาไว้ดื่ม น้ำนี้ก็ของกู จนถือไปสักพัก สั่งให้มันเบาเป็นล้านครั้งมันก็ไม่เบา มันก็หนักอยู่นั่นแหละ คราวนี้ผมก็เริ่มหายโง่ขึ้นมาบ้างแล้ว เออ ! ไอ้ขวดน้ำนี่มันหนักนี่หว่า สั่งมันให้เบา ก็ไม่เบา มันไม่ใช่ของเรานี่หว่า แล้วผมก็วาง โอ้ ! พอวาง แหม ! มันเบา โล่ง สบาย ใจก็พลอยเบา พลอยว่างไปด้วย ใจที่ไม่ว่างก็เพราะแบกขวดน้ำไว้
อ้าว ! คราวนี้ฟังดีๆ กันนะครับ ผมถามว่า ไอ้ที่หนักนี่ มือที่ถือขวดหนักหรือว่าอะไรหนัก กำลังโยงให้เห็นอยู่นะครับ ธรรมชาติภายนอกแก้ไขปัญหาทุกข์ไม่ได้ ต้องธรรมชาติภายใน กำลังจะหมุนเข้าธรรมชาติภายในให้เห็นความจริงของมันคือ ที่จริงแล้วไอ้ที่หนักไม่ใช่มือหรอก ใจผมต่างหากที่หนักอึ้ง ผมมาหายโง่ ไอ้ที่หนักคือใจ ไม่ใช่มือ มือมันไม่รู้เรื่องอะไรด้วย มือมันก็อยู่ของมัน เหมือนเราพิจารณากาย เห็นกายแยกออกจากใจนั่นแหละ ทำไมใจมันหนัก ก็มันไปยึด ไปถือไว้ว่า ขวดน้ำนี้ของกู วางไม่ได้โว้ย ที่ใจมันหนักเพราะมันเต็มไปด้วยความยึดมั่นถือมั่น หรืออุปาทานนั่นไง ใจไม่ได้ไปถือขวดน้ำเลย แต่ใจไปยึดถือ “ความรู้สึกหนัก” ต่างหาก ความรู้สึกหนักนี้เรียกว่า เวทนา ทุกขเวทนา ในขันธ์ห้า
แล้วเวทนามาจากไหน ใจเรานี่แหละปรุงแต่งขึ้นมา ตอนถือขวดน้ำใหม่ๆ ก็ไม่หนัก มือก็มือเดิม ขวดน้ำก็ขวดเดิม ใจเราปรุงแต่งไปเองว่า มันหนักตอนใจปรุงแต่งอย่างไรช่างมันเถิด เรามาจัดการกับ “ความรู้สึกหนัก” กัน อะไรที่หนัก มันทุกข์หรือสุข มีแต่คนไม่เต็มเท่านั้นที่บอกว่า หนักคือสุข ความรู้สึกหนักคือทุกข์ ขณะที่ผมถือขวดน้ำไว้แล้วรู้สึกหนัก แล้วผมไม่วาง นั่นคือผมกำลังยึดถือทุกข์ไว้ เหตุแห่งทุกข์ เพราะผมเห็นว่า ขวดน้ำนี้คือของผม ผมจึงอยากได้มันไว้ นี่คือตัณหา การดับทุกข์ง่ายนิดเดียวคือ วางขวดน้ำเสีย วางความรู้สึกที่หนักหรือทุกข์นั้นเสีย เด็กอนุบาลยังรู้เลย ลุง ๆ ๆ หนักก็วางเสียสิ ทำไมเราไม่วาง เพราะเราเห็นผิด ไปเห็นว่า ขวดน้ำเป็นของผมเสียแล้ว ผมเป็นมิจฉาทิฏฐิ มิจฉาทิฏฐิเกี่ยวกับขวดน้ำไม่พอ ยังมิจฉาทิฏฐิว่า ความรู้สึกหนักหรือทุกข์นี้ยังเป็นของผมเสียอีก ผมจึงไม่ยอมวาง หัวเด็ดตีนขาดยังไงก็ไม่วาง พระพุทธเจ้าจึงมาสอนว่า การจะละนิโรธคือการดับทุกข์ได้ (นี่ไง มรรคมีองค์แปด) เริ่มต้นด้วยความเห็นชอบ คือสัมมาทิฏฐิ ขวดน้ำก็คือ รูป (กาย) ความรู้สึกหนัก หรือทุกข์ก็คือ เวทนา (นามขันธ์)
ทุกวันนี้เราเห็นผิดกันเหลือเกินไปเห็นว่า กายนี้คือเรา ของเรา ซึ่งถ้าเราพิจารณากายดังผมแสดงในตอนต้น จิตก็เริ่มเห็นชอบขึ้นมาบ้างแล้ว ไปเห็นว่า ทุกข์ ความรู้สึกหนัก ความไม่สบอารมณ์ต่างๆ ความรู้สึกยินร้าย ไม่ชอบใจต่างๆ นั่นคือ เรา ของเรา นี่คือความเห็นผิด
ทำอย่างไรเราจึงจะเห็นว่า ความรู้สึกไม่ยินดี หรือทุกข์ หรือความรู้สึกหนักๆ นี้ไม่ใช่เรา ของเรา พระพุทธเจ้าตรัส ทรงกลด เธอจงพิจารณาให้เห็นด้วยไตรลักษณ์ ธรรมชาติทั้งปวง นอกจากให้เห็นเป็นธรรมชาติแล้ว ยังต้องเห็นว่า ธรรมชาติทั้งปวงย่อมมีความเสื่อมดับไปเป็นธรรมดา ไม่มีอะไรใหญ่ไปกว่า อนิจจังคือ ไม่แน่ ไม่เที่ยง หลวงปู่ชาสอนว่า เห็นอะไรก็ไม่แน่ๆ ๆ ไม่เที่ยงๆ ๆ ทั้งธรรมชาติภายนอก หรือภายใน (อารมณ์) ล้วนแต่ตกอยู่ภายใต้คำว่า “ไม่แน่” คือ อนิจจัง
ลองนึกย้อนดูสิ ความรู้สึกไม่ดีต่างๆ ที่เคยเกิด บัดนี้ไปไหนหมดแล้ว สุขวันแต่งงาน วันรับปริญญา วันได้ของขวัญถูกใจยังอยู่ดีอยู่อีกหรือ มันดับไปหมดแล้ว เหมือนใบไม้เน่าๆ ใบหนึ่งเท่านั้นเอง แต่ทีเวลานึกถึง ทำไมจึงรู้สึกไม่ดีขึ้นมาอีก ก็เพราะตอนที่นึกถึงคือ ธรรมารมณ์มันมาสัมผัสใจ เกิดการกระทบกันเรียกว่า ผัสสะ จึงเกิดเวทนาคือ ความรู้สึกดีบ้าง ไม่ดีบ้าง ตามมาอย่างไม่ต้องสงสัย แต่อารมณ์ทั้งปวงที่เกิดไม่ว่าดีหรือไม่ดี ย่อมตกอยู่ภายใต้กฎธรรมชาติข้อนี้เหมือนกันหมดคือ อนิจจัง ไม่แน่ นี่คือคาถาที่ผมบอกทุกคน ซึ่งก็ไม่ค่อยมีใครสนใจนำไปใช้กันเท่าไร
คาถานี้ ผมได้มาจากหลวงปู่ชา ท่านบอกว่า เห็นอะไรก็ชกมันด้วยคาถานี่แหละลูกเอ๋ย “ไม่แน่” เพื่อนชม วันนี้สวยเหลือเกิน อารมณ์ยินดีเกิด ชกมันก่อนเลย ไม่แน่ อารมณ์นี้ไม่แน่ เดินไปอีกสองก้าว เพื่อนที่ชมหันมาด่า นั่นอารมณ์ยินร้ายเกิดอีกแล้ว ชกมันเลย ลูกเอ๋ย “อันนี้ก็ไม่แน่” อารมณ์ยินร้ายนี่ก็ไม่แน่ไม่เที่ยงแท้ไปได้หรอก เกิดเป็นธรรมดา ก็ดับเป็นธรรมดา ทันทีที่ชกอารมณ์ทั้งปวงด้วยคำว่า “ไม่แน่” เกิดอะไรขึ้นกับจิตท่าน จิตท่านจะชะงักไม่เข้าไปเสวยอารมณ์นั้นโดยอัตโนมัติ หรือเผลอเข้าไปสวาปามเข้าแล้ว นั่น เพื่อนชม ตัวลอยแล้ว เพื่อนด่า หน้าแดงขบฟันแล้ว นี้เรียกว่า เสวยอารมณ์แล้ว แต่พอมีสติ เออ ! หลวงปู่ชาสอนว่า อารมณ์ไหนก็ไม่แน่ๆ ๆ จิตมันจะหลุดออกมาจากอารมณ์นั้นโดยอัตโนมัติ
ไม่เชื่อพรุ่งนี้ ลองให้เพื่อนด่า แล้วลองทำดู นี่ก็เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งนะ ผมพยายามบอก แต่ก็ยากที่จะหาคนที่จะเก็ทเรื่องนี้ อย่างท่านเข้าไปอยู่ในบ้านหลังหนึ่ง พอเห็นว่า บ้านจะพัง ท่านยังอยู่ในบ้านหลังนี้อีกหรือไม่ มีแต่คนโง่เท่านั้น ที่ยืนอยู่ให้บ้านพังลงมาทับตาย หลวงปู่ชาก็ไม่บอกหรอกว่า ทำไมคาถาไม่แน่มันชะงัด มันทำงานอย่างไร พอพูดมาถึงตรงนี้ ผมเชื่อว่านักปฏิบัติหลายๆ ท่านจะเข้าใจแล้วว่า ผมกำลังจะสื่ออะไร อารมณ์มันก็เหมือนบ้านที่กำลังจะพังนั่นแหละ ทุกวันนี้ เราถูกบ้านแห่งอารมณ์ไม่ว่าดีหรือร้ายทับพังลงมาตายวันหลายหมื่นครั้งทีเดียว เพราะอะไร เพราะเราไม่เห็นตามความเป็นจริงของอารมณ์ว่า ที่แท้มันไม่แน่ ไม่เที่ยง แถมยังหนักอีก (เหมือนผมถือขวดน้ำนั่นแหละ) ตอนเราเสวยอารมณ์ เวลาเพื่อนด่า เพื่อนชม ตอนนั้นเราอยู่ในบ้านหลังนั้นแล้ว เราก็ยิ้ม ตัวพองสิ หรือไม่ก็เครียด หน้าดำหรือแดงตามสภาพผิว ไปตามอารมณ์นั้นๆ
พอเรานึกถึงคาถาหลวงปู่ชา เออ ! มันไม่แน่ ไม่เอาดีกว่า จิตมันก็หลุดออกมาจากอารมณ์นั้นทันที เหมือนเราเผ่นออกมาจากบ้านที่กำลังจะพังนั่นแหละ แล้วเราก็เห็นบ้านพังลงมาต่อหน้าต่อตาจริงๆ พอมันพังลงมาเราเห็นอะไรไหม โห ! พื้นดินทรุดลงไปเลย เออ ! มันหนักนี่หว่า ไอ้บ้านหลังนี้ นี่ถ้าเราไม่หลบออกมา เราก็โดนทับตายแหงๆ พอเรารู้ทันอารมณ์บ่อยๆ เพราะคำว่าไม่แน่ อารมณ์ยินดีเกิดก็รู้ทันล่ะว่ามันไม่แน่ อารมณ์ยินร้ายเกิดก็รู้ทันล่ะว่า มันไม่แน่ ตอนนี้ผมก็เริ่มรู้ทันละว่า ความรู้สึกหนักที่ถือขวดน้ำอยู่นี่มันก็ไม่แน่ เขาเรียกว่า เห็นตามจริงของธรรมชาติทั้งภายนอกและภายใน ความจริงว่าอะไร ความจริงว่าสิ่งทั้งปวงไม่ว่า รูป นาม อารมณ์ ล้วนแต่ไม่แน่ ไม่เที่ยง การเห็นตามจริงคือ การเห็นชอบ สัมมาทิฏฐิ ใจที่ออกจากอารมณ์ยินดีก็ดี ยินร้ายก็ดี เพราะเห็นตามจริงของมันแล้ว เรียกว่า สัมมาสังกัปปะ (จิตดำริออกจากกาม ออกจากโทสะ พยาบาท) กาม มาจากจิตเข้าไปเสวยอารมณ์ยินดีแล้วปรุงแต่งกาม (ถ้าเห็นธรรมจะเห็นมันทำงานอย่างนั้นจริงๆ) โทสะก็มาจากจิตเข้าไปเสวยอารมณ์ยินร้ายแล้วปรุงแต่งขึ้นมา แต่เพราะคำว่า ไม่แน่ เราออกมาจากอารมณ์ทั้งสองก่อน กาม ราคะ โทสะ หรือกิเลส ก็ไม่เกิด จะไปด่าใคร ทำร้ายใคร หรือประกอบอาชีพการงานที่เป็นโทษก็ไม่มี สัมมาวาจา สัมมาอาชีวะ สัมมากัมมันตะ ถ้าเห็นอารมณ์ทั้งปวงไม่แน่บ่อยๆ ๆ ๆ เนือง ๆ นี่สัมมาวายาโม (เพียรชอบ) จิตก็จะไม่ไปซุกซ้ายที ขวาที จิตเริ่มเป็นกลาง จิตที่เป็นกลางคือสติ มันจะเกิดความรู้สึกตัวขึ้นเพราะปัญญา พอเห็นถี่ขึ้นๆ ๆ ๆ ๆ ความเพียรเต็มรอบ จิตกับสติรวมกันเป็นหนึ่งคือ จิตตั้งมั่น ตั้งมั่นอยู่กับสติ จิตตั้งมั่นไม่หวั่นไหวไปตามอารมณ์ทั้งปวงคือ สัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิแปลว่า ความตั้งมั่นของจิต จิตที่ตั่งมั่น ไม่หวั่นไหวไปตามอารมณ์ทั้งปวงคือ จิตที่แยกออกมาจากอารมณ์ได้เด็ดขาด จะเห็นอารมณ์เกิดดับๆ ๆ ๆ ๆ ๆ เหมือนสายน้ำอยู่ตรงหน้า จะเห็นเหมือนตาเห็นรูปทีเดียว ญาณทัสสนะก็บังเกิดขึ้นแก่ผู้นั้นว่า อ้อ ! อารมณ์ที่เราเคยเห็นว่า เป็นเรา ของเรา ความรู้สึกสุข ทุกข์ ทั้งปวง สักแต่เกิดเป็นธรรมดา ดับเป็นธรรมดา จะถือเป็นเรา สัตว์ บุคคล ตัวตน อะไรได้ที่ไหน ตรงนี้เอง เรียกว่า ดวงตาเห็นธรรม ขณะที่จิตตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวไปตามอารมณ์ เห็นอารมณ์เกิดดับเหมือนสายน้ำอยู่นั้น ตรงนั้นแหละเห็น “น้ำไหลนิ่ง” ที่เห็นไหลคือ เห็นมันเกิดดับๆๆ ที่ไหลคืออารมณ์ แต่ที่นิ่งตั้งมั่นอยู่คือ ใจเรานี้เอง หลวงปู่ชาจึงเรียกว่า “น้ำไหลนิ่ง” ท่านบอกว่า ตรงนั้นแหละมันจะเกิดปัญญา ใจมันเห็นตามจริงขึ้นมาแล้ว ความเห็นนี่ไม่เสื่อมดับเพราะมันเป็นโลกุตระไปแล้ว ในหนังสือผมเขียนไว้ว่า พอเห็นตรงนี้นึกถึงหลวงปู่ชาเลย อ้อ ! น้ำไหลนิ่งมันเป็นอย่างนี้นี่เอง
พอใจผละออกมาจากอารมณ์ได้ คราวนี้มันจะรู้เลยว่า อ้อ ! ไอ้อารมณ์นี้มันเป็นของหนัก (แถมร้อนด้วย) มันไม่แน่จริงๆ เกิดดับๆ อยู่นี่ไง เรานี่หลงโง่แบกไว้ตั้งนาน เห็นอย่างนี้ผมก็วางขวดน้ำลง ใจที่เคยอัดแน่นด้วยอารมณ์ ความรู้สึกหนัก เมื่อไม่มีอารมณ์มันก็ว่างขึ้นมา เบา สบาย สงบ ที่วางขวดน้ำได้ เพราะเห็นชัดแล้วว่า ขวดน้ำนี้ก็ไม่ใช่เรา ของเรา อารมณ์คือ ความรู้สึกหนักที่ถือมันไว้ก็ไม่ใช่เรา ของเรา พอรู้ว่ามันหนัก ไม่ใช่ของเรา เราก็วาง ที่วางเพราะมารู้ความเป็นจริงของมัน มันจึงวาง หลวงปู่ชาจึงบอกว่า อะไรๆ ก็ไม่สำคัญเท่ากับการปล่อยวาง ถ้ามันหนักก็วางเสีย จะแบกไว้ทำไม