อารมณ์กับจิตเปรียบดังหยดน้ำบนใบบัว

แสดงธรรมกลุ่ม Natural Mind เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2559
การพิจารณาอาการของจิตเป็นเรื่องสำคัญ ที่ปัญญาจะต้องสอดแทรกตามให้ทัน เมื่อสติปัญญาตามทันแล้ว จิตคิดปรุงเรื่องอะไรก็ทราบว่าไปจากจิต ซึ่งกำลังจะออกไปวาดภาพหลอกตัวเอง กำลังจะไปสำคัญมั่นหมายกับรูป เสียง กลิ่น รส นานาชนิด ใจก็รู้ทัน เมื่อรู้ทัน อารมณ์นั้นก็ดับไปทันที ไม่เกิดเป็นตน เป็นตัว เป็นรูป เป็นร่าง เป็นเรื่องเป็นราวอะไรขึ้นมา เพราะสติปัญญาทันมัน เรื่องก็สงบไป
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
ท่านทรงกลด : สุดท้ายหลวงตามหาบัวก็สอนให้รู้เท่าทันอารมณ์ เมื่อรู้ทัน อารมณ์นั้นก็ดับไปทันที จิตก็ไม่ไปปรุงแต่งสร้างเรื่อง สร้างราว สร้างรูป สร้างร่าง เพราะสติปัญญาทันมัน เรื่องก็สงบไป จิตเรานี่เองที่สงบ สงบเพราะรู้เท่าทันอารมณ์
สมาธิแปลว่าอะไร สมาธิในความหมายของพระพุทธเจ้าคือ ความตั้งมั่นของจิต จิตตั้งมั่นคือจิตที่ไม่หวั่นไหวไปตามอารมณ์ยินดี ยินร้าย ไม่หวั่นไหวไปตามสุข ทุกข์หรือโลกธรรมแปด การมีสติรู้เท่าทันอารมณ์คือการฝึกสมาธิขั้นสุดยอด สติรู้แล้วว่าคืออะไร รู้เท่าทันก็คือปัญญา เมื่อรู้เท่าทันเนืองๆ จิตก็ย่อมไม่หวั่นไหวไปตามอารมณ์ ไปตามอาการของจิต ไม่ว่าดีหรือร้าย ไม่ว่าสุขหรือทุกข์ เมื่อจิตไม่หวั่นไหวเพราะรู้เท่าทัน จิตย่อมตั้งมั่น นี่คือสมาธิในความหมายของพระพุทธเจ้า
เมื่อศรัทธาว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ด้วยความเพียรอย่างต่อเนื่อง พยายามพอกพูนความเห็น ความรู้เท่าทัน ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ก็ได้รับการอบรมด้วยดี อินทรีย์ห้า พละห้าคืออันนี้นี่เอง การมีสติรู้เท่าทันอารมณ์เป็นการเดินมรรคแปดที่ถูกต้อง เพราะเมื่อเห็นว่า อารมณ์ไม่ว่าดีหรือไม่ดีเป็นอนิจจัง จิตก็ไม่เข้าไปหมายมั่นทั้งสองฝั่ง นี่คือสัมมาทิฏฐิ คือทางสายกลาง
เมื่อมีสติรู้เท่าทันอารมณ์อยู่เนืองๆ จะพบอาการหนึ่ง เคยเห็นน้ำไหลบนใบบัวหรือไม่ หลวงตามหาบัว มีหนังสือของท่านเล่มหนึ่งใช้ชื่อว่า หยดน้ำบนใบบัว หยดน้ำคืออารมณ์ ใบบัวคือจิต จะเห็นอารมณ์ไหลผ่านจิตไป จิตไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว ปรุงแต่งเป็นเรื่องราว เหมือนน้ำไหลบนใบบัวฉะนั้น อันเดียวกับ “น้ำไหลนิ่ง” ของหลวงปู่ชา อันเดียวกับ “จิตส่งนอกเป็นสมุทัย ผลของจิตส่งนอกคือทุกข์” ของหลวงปู่ดูลย์ และอันเดียวกับ “เห็นก็สักแต่ว่าเห็น” ของพระพาหิยะ ใครที่ปฏิบัติอยู่ หากมีความก้าวหน้า ลองสังเกตใจตัวเองดู อย่างที่หลวงตาบอก พอรู้เท่าทัน มันก็ดับไป มีแค่นี้
ก่อนจบ ผมขอระลึกถึงพระคุณของหลวงตามหาบัว ขออนุญาตเล่าไว้เป็นกำลังใจให้ท่านทั้งหลาย หลวงตามหาบัวมีพระคุณกับผมมาก ในสมาธิก่อนที่จะรู้จะเห็นธรรม บางคนจะมีอะไรมาบอก บางคนก็ไม่มี คืนหนึ่งเมื่อผมนั่งภาวนาพิจารณากายจนจิตสงบก็ปรากฏภาพหลวงตามหาบัวเดินออกจากห้องบนศาลาหลังใหญ่ซึ่งไม่มีใคร มีแต่ผมนั่งรออยู่คนเดียว ขณะนั้นผมเหลือบไปเห็นตู้พระธรรมหรือตู้พระไตรปิฎกวางอยู่ใกล้ๆ ทางด้านขวามือ ประตูของตู้ใบนั้นเปิดอ้าอยู่ ในสมาธินั้นผมขออนุญาตหลวงตาอ่านหนังสือในตู้พระธรรมใบนั้น หลวงตาก็ไม่ว่าอะไร มองนิ่งเป็นเชิงอนุญาต พอเช้าผมก็ลืมไปแล้วว่ามีนิมิตนี้ จนต่อมาอีกประมาณเดือนหรือสองเดือน พอผมได้ “เห็น” อะไร พอออกจากตรงนั้นมาอีกหลายวันก็นึกขึ้นได้ว่า เราเคยมีนิมิตมาบอกล่วงหน้า จึงระลึกถึงพระคุณของหลวงตาขึ้นมาได้ สมัยก่อนเวลาผมจะทำผิดศีลก็ฝันถึงท่านมาเทศน์สอนหนักเลย ทั้งๆ ที่ไม่ได้คิดถึงท่านเลย หลังจากนั้นก็เข็ด เรื่องนี้เป็นปัจจัตตังนะครับ
วันนี้มีผู้พูดถึงขันธ์ห้า ผู้พูดเริ่มเห็นแล้วว่า ขันธ์ห้าจริงๆ มันเป็นเรื่องของเขา ไม่ใช่เรื่องของเราสักนิด เวลาเวทนา (สุขและทุกข์) ทำหน้าที่ของมัน เราก็ไปเที่ยวทึกทักว่า มันคือเรา ของเรา เวลาสัญญาทำหน้าที่ (ความจำได้หมายรู้) ก็เหมือนกัน อย่างพระพุทธเจ้า ตอนแรกไม่รู้เท่าทันอารมณ์เลย เวลาภาพพระนางพิมพาและราหุลเกิดขึ้นมาก็ทุกข์ หารู้ไม่ว่า แท้จริงเป็นเรื่องของสัญญาขันธ์ (คือความจำเรื่องรูปและสัญญา) ที่ทำหน้าที่ของมันเท่านั้น เมื่อทำหน้าที่เสร็จก็ดับไป พอตรัสรู้จึงรู้ว่า มันเพียงแต่ทำหน้าที่ของมัน เราเที่ยววิ่งตามเหมือนคนวิ่งตามเงาตัวเอง เป็นบ้าอยู่ อย่างที่หลวงตามหาบัวบอก อย่าไปเต้นตามอาการของมัน