สมถะและวิปัสสนาทำพร้อมกันได้

แสดงธรรมกลุ่ม Natural Mind เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2559
ท่านทรงกลด : สมัยพุทธกาลพระพุทธเจ้าหรือพระอริยสาวก เวลาแสดงธรรมท่านจะพูดซ้ำไปซ้ำมา ไม่ใช่อื่นใด เพื่อให้คนฟังส่งกระแสจิตตามข้อธรรม เมื่อจิตเห็นตามจริงในข้อธรรมจิตก็จะเป็นสมาธิขึ้นมาอย่างอัศจรรย์ เห็นธรรมตรงนั้นเลย สมัยนี้อย่าคิดว่า เป็นไปไม่ได้ ถ้าท่านอ่านด้วยความตั้งใจ ด้วยความเคารพในธรรม ไม่ปรามาสผู้แสดง ค่อยๆ แกะตามไป จิตท่านจะเป็นสมาธิได้เช่นกัน เหมือนหลายๆ คนที่ไลน์มาบอกส่วนตัวว่า อ่านตามแล้วจิตมันสงบแน่วแน่ขึ้นมา ถ้าคนคนนี้อ่านแล้วมีความรู้สึกอย่างนี้ สักวันหนึ่งเป็นไปได้สูงว่า เมื่ออ่านธรรมที่ผมแสดงอาจจะได้ดวงตาเห็นธรรมในขณะอ่าน อันนี้ไม่ได้พูดเล่น เพราะการแสดงธรรมของผมไม่ได้อื่นไกล มุ่งแสดงให้เห็นความเป็นจริงของรูป ของนาม ของขันธ์ห้า ของอารมณ์ เหมือนอย่างที่พระพุทธเจ้าหรือพระอริยสาวกแสดงให้คนฟังสมัยพุทธกาล
ธรรมที่แสดงในช่วงหลังมีผู้รวบรวมไว้ซึ่งมีประโยชน์มากมายมหาศาล เพราะผมได้คัดลอกเอาไปให้คนนอกกลุ่มหลายคนอ่าน ซึ่งเขาบอกว่า อ่านแล้วสิ่งที่ติดอยู่ในใจมันทะลุออกทันที บางคนอ่านแล้วเกิดศรัทธาร่วมทำบุญทำหนังสือมาก็ไม่น้อย ผมแสดงทุกครั้งก็แสดงอยู่ไม่กี่เรื่อง เรื่องอริยสัจจ์ 4 เรื่องขันธ์ห้า รูป นาม อารมณ์ สติ จิตใจของเรานี่แหละ แต่สังเกตดูเถิดแต่ละครั้งไม่ค่อยเหมือนกัน ขึ้นอยู่กับสภาวะจิตในขณะนั้นว่าจะสำแดงอะไรออกมา
หลายๆ ครั้ง ก่อนแสดงก็นั่งภาวนาจิตดิ่งลึกลงไป ถอนจิตออกมา แล้วแสดงให้ฟัง วิธีนี้มีทั้งคุณและโทษเพราะขณะนั้นจิตจะมีพลังมาก หากใครอ่านด้วยความเคารพก็ดีไปแต่หากอ่านด้วยจิตที่ปรามาส ก็จะมีกรรมไม่ดีไปเหมือนกัน แต่ขณะแสดงจิตก็อยู่ในธรรม ธรรมจึงปรากฏออกมาในขณะนั้น
การทำสมาธิทั้งสมถะและวิปัสสนาสามารถทำไปพร้อมกันได้ เมื่อใดที่จิตสงบเมื่อนั้นก็เป็นสมถะ เมื่อใดที่จิตเกิดปัญญาเมื่อนั้นก็เป็นวิปัสสนา สมัยกึ่งพุทธกาลเป็นต้นมาเราเถียงกันมากเรื่องสมถะและเรื่องวิปัสสนา อันไหนหนอคือสมถะ อันไหนคือวิปัสสนา จะไปวัดนั้นเขาก็บอกอย่าไปนะ วัดนั้นเน้นสมถะ โน่นไปวัดโน้นสิ สำนักโน้นสิ เขาเน้นวิปัสสนา บางทีก็มีตำราเขียนออกมาโดยพระ เรียกว่า สมถกรรมฐานสี่สิบวิธี
วันนี้เราจะคุยกันเรื่อง สมถวิปัสสนา จะเอาที่ผมแสดงเป็นหลักเป็นเกณฑ์อะไรไม่ได้นะ เพราะอาจจะไม่เหมือนในตำราแต่ตรงลงรอยกับหลวงปู่ชา หลวงปู่มั่นล่ะ สมถะสี่สิบวิธีนี้มีอะไรบ้างลองไปหาอ่านดู โดยย่อก็มีเรื่อง อนุสติสิบ กสิณสิบ อสุภสิบ พรหมวิหารสี่ อาหาเรปฏิกูลสัญญา จตุธาตุววัฏฐาน อรูปกรรมฐานสี่
สมัยเด็กๆ ก่อนกินอาหาร ผมจะพิจารณาอาหารให้เป็นสิ่งปฏิกูลเสมอ เรียกว่า อาหาเรปฏิกูลสัญญา จิตมันชอบมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วเรื่องการภาวนา สมถะนี้มีไว้เพื่อเป็นเครื่องล่อของใจ เป็นเครื่องผูกใจ ปกติใจเรานี้เที่ยววิ่งแส่ส่ายไปตามอารมณ์ต่างๆ โดยตลอด ท่านจึงสอนให้ดึงจิตมาไว้กับสิ่งล่อที่สมมติไว้สี่สิบอย่าง ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นสี่สิบอย่างนี้ บางคนแกว่งแขนจิตก็เป็นสมาธิได้ แต่หลักๆ ก็ประมาณสี่สิบอย่าง บางทีเขาก็สอนให้เพ่งดิน น้ำ ลม ไฟ เอาจิตมาอยู่กับดิน น้ำ ลม ไฟ ก็เป็นกสิณ บางคนเคยทำมาแต่กาลก่อน เพ่งน้ำจนจิตกับน้ำเป็นอารมณ์เดียวกันเป็นนิมิตติดตาขึ้นมา พอนึกปุ๊บก็ปรากฏขึ้นในใจทันที จิตแนบแน่นเป็นอัปปนาสมาธิ ถอนจิตออกมาก็แสดงฤทธิ์ได้ พวกนี้จะสนุกสนานกับการมีฤทธิ์ อย่างกสิณน้ำนี้สามารถทำให้ฝนตกได้ อันนี้ใครที่ฝึกไม่ได้ก็อย่าไปปรามาสแล้วกัน
ส่วนอนุสติสิบก็มีพุทธานุสติ ธรรมานุสติเป็นต้น ระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า จิตก็สงบเป็นสมาธิได้
บางทีก็สอนให้บริกรรมกำกับ เช่น ว่าพุทโธๆ ที่จริงบางคนสวดมนต์สรรเสริญคุณพระพุทธเจ้า จิตก็เป็นสมาธิ คือสงบขึ้นมาได้เหมือนกัน หลายคนจึงติดสวดมนต์เพราะขณะที่จิตเป็นสมถะ สงบ มันสุข เหมือนอยู่อีกโลกหนึ่ง ดังนั้น หลายคนพอมีทุกข์ทางโลกก็หนีขึ้นห้องพระ สวดมนต์หรือไปปลีกวิเวกตามวัด สวดมนต์เช้าเย็น
การเข้าสู่สมถะเขาบอกว่า ต้องดูจริตของผู้ปฏิบัติด้วย พวกราคะจริต มากด้วยความกำหนัด ควรเจริญอสุภสิบ (ศพ) และกายคตาสติ พวกโทสะจริต ควรเจริญพรหมวิหารสี่ เจริญเมตตา กรุณา พวกโมหะจริต วิตกจริต ลุ่มหลง ครุ่นคิด ฟุ้งซ่าน ควรเจริญอานาปานสติ พวกเชื่อง่าย เรียกว่า ศรัทธาจริต ควรเจริญพุทธานุสติ ธรรมานุสติ สังฆานุสติหรือเทวตานุสติ อย่างพวกพระชาวคริสต์บางรูปก็มีฤทธิ์นะเพราะเขาเจริญเทวตานุสติคือ ระลึกถึงพระเยซูจนจิตเป็นฌาน มีกำลัง แสดงฤทธิ์ปาฏิหาริย์ได้ ส่วนพวกมีปัญญา คิดมาก (คิดมากกับฟุ้งซ่านไม่เหมือนกันนะ) ควรเจริญมรณานุสติหรืออาหาเรปฏิกูลสัญญา หรือจตุธาตุววัฏฐาน (พิจารณากายให้เห็นเป็นสักแต่ธาตุทั้งสี่คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ) นั่นคือหลักๆ ของสมถกรรมฐาน รวมความว่า อะไรก็ได้ ที่ทำให้จิตสงบเป็นสมาธิคือสมถะ สมถะกับวิปัสสนามันแยกกันไม่ออกถ้าเข้าใจ ถ้าเจริญสมถะแล้วไปติดอยู่ในความสงบ แช่ แน่นิ่ง มีความสุขมาก ออกมาไม่รู้อะไรเลย อันนี้เป็นสมถะหัวตอ เป็นสมถะที่ทำให้เกิดอัตตา ไม่ได้ทำให้เกิดปัญญา (วิปัสสนา)
เคยมีน้องคนหนึ่งเล่าให้ฟัง เขาชอบเชิญคนได้สมาธิไปบรรยายให้ลูกน้องเป็นร้อยฟัง มีคนหนึ่งเจริญสมถะได้ถึงฌานสองก็บอกว่า พวกคุณไม่ต้องอะไรมาก ชาตินี้เอาแค่ฌานสองก็พอแล้ว เอาตัวรอดได้แล้ว การแสดงธรรมของเขา เท่าที่ฟังมีลักษณะอหังการมาก ฌานทำให้คนเกิดอัตตาคิดว่า ตนเองแน่กว่าคนอื่น ก้มหัวให้ใครไม่เป็น ทำให้อหังการมาก แต่ก่อนผมก็ฝึกเอามาใช้กับคาถาอาคม มีดบาด ห้ามเลือด เป่าคาถา มันหยุดให้เห็นเลย แต่ตอนนี้ทิ้งหมดแล้ว มันอยากไหลก็ดูมัน พอมันไหลมากๆ ก็ไปหาหมอเสียหน่อย คนพวกนี้จะมีอัตตาสูง เพราะคิดว่าตนเองเหนือกว่าคนอื่นเนื่องจากมีฤทธิ์ ใครที่ฝึกไม่ถึงก็ไม่เชื่อหรอก สมถะที่ไปติดอยู่กับความสงบเป็นสมถะที่ใช้ไม่ได้ หลวงปู่เทสก์บอก และตำหนิว่า เป็นสมาธิหัวตอ ซึ่งผมก็บอกพวกเราไปหลายครั้งแล้ว แต่ถ้าไปเจอพระอริยะ ไปแผลงฤทธิ์ใส่เขา กรรมจะสะท้อนหนักเลย พระอริยะท่านไม่สู้ใครหรอก คนทำนั่นแหละวิบัติด้วยตนเอง คนไหนบอกว่า ตนเป็นพระอริยะแล้วยังสู้ โต้ตอบ เที่ยวไล่ฟ้องคนนั้น คนนี้ อันนั้นอริยะเก๊แหงๆ
เขาไม่เรียกปราบ เขาเรียกทรมาน เหมือนอย่างพระพุทธเจ้าทรมานพวกเดียรถีย์นอกลัทธิ หรือทรมานพวกไม่เชื่อ เพื่อให้เกิดศรัทธาแล้วจึงสอนธรรมะ ทีนี้ บางคนฉลาด มีของเก่าอยู่ พอได้สมถะ จิตสงบ หากถึงขนาดเป็นอัปปนาสมาธิคือ จิตแน่วแน่เป็นหนึ่งเดียวก็ถอนออกมา พอใช้งานได้ (กัมมนีโย) จิตที่คล่องแคล่วสมควรแก่การงาน เอ ! กลิ่นธูปอบอวลอีกแล้ว หรือบางคนไม่ปล่อยให้จิตรวมลงไป ประคองจิตไว้ในระดับที่ใช้งานได้ ก็เอากำลังตรงนั้นมาออกทางปัญญาคือ พิจารณารูป (กาย) นาม ขันธ์ห้า อารมณ์ ให้เห็นเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ให้เห็นว่า อันขันธ์ห้าที่เราทั้งหลายยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเรา ของเรานี่ แท้จริงหาใช่เรา ของเราไม่ ตรงนี้แหละเรียกว่า วิปัสสนา
พระพุทธเจ้าท่านเห็นทุกข์ เห็นธรรมก่อน (เห็นทุกข์แยกออกจากจิต) แล้วท่านก็พิจารณาเหตุ พิจารณาที่มาของทุกข์ (ปฏิจจสมุปบาท) ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้นไม่ยากแล้ว คนที่เห็นธรรมนี้เขาจะเห็นการเกิดดับของรูปนามเหมือนเห็นพยับแดดเกิดดับๆ อยู่ตลอดเวลา เห็นการทำงานของจิต เห็นอารมณ์ทั้งปวงค้างอยู่เมื่อมีสติรู้เท่าทัน (ซึ่งผมเคยอธิบายให้พวกเราฟังไป บางคนก็ไม่เชื่อว่าจะเป็นอย่างนั้นได้ ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรเหมือนกัน มันเป็นปัจจัตตังจริงๆ)
มีคนไปปฏิบัติกับหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก คนนี้ชอบนั่งภาวนาแล้วจิตรวม หลวงปู่ดู่ท่านรู้วาระจิต ท่านก็ตะโกนเลยว่า ถอนออกมา ท่านไม่ให้เข้าไปรวมแช่อยู่ในนั้นให้ถอนออกมาเจริญทางปัญญา พิจารณากายนี้ให้เห็นเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ตอนหลังนักปฏิบัติรายนี้ตาย เผาศพ ดูเหมือนกระดูกจะมีสีแปลกๆ คล้ายพระธาตุ นักปฏิบัตินั้นเมื่อจิตถึงอนาคามีภูมิ จิตก็จะฟอกธาตุขันธ์ได้เหมือนกัน
จริงๆ แล้ว ในสมถกรรมฐานสี่สิบวิธีที่พระอรรถกถาจารย์ประพันธ์ไว้ มีสติปัฏฐานสี่ซ่อนอยู่หลายวิธีเหมือนกัน เช่น กายคตาสติจะช่วยเรื่องราคะ ความกำหนัดได้ กายคตาสติอันนี้คือ กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน หรืออีกอย่างก็คือ อานาปานสติคือ ระลึกรู้ลมหายใจเข้าออก อานาปานสติเป็นทั้งสมถะและวิปัสสนา (สติปัฏฐาน) ถ้าเอาจิตไปเพ่งลมหายใจแบบเจ้าชายสิทธัตถะทำเล่นตอนทรงพระเยาว์ แล้วเกิดฌาน (เพราะเคยทำมาก่อนในอดีตชาติ) ทำให้เงาไม้ยังอยู่เพื่อคงความร่มเย็นให้พระองค์ขณะที่พระอาทิตย์ล่วงเวลาบ่ายคล้อยไปแล้วในพิธีแรกนาขวัญ พระบิดาคือ พระเจ้าสุทโธทนะเห็นปาฏิหาริย์แบบนี้ก็ก้มกราบสิทธัตถะกุมารทันที อันนั้นคือ เอาลมหายใจมาเป็นอารมณ์จนจิตแน่วแน่เป็นหนึ่งเดียวกับลมหายใจ
ในหนังสือผมก็เขียนตรงนี้ไว้เหมือนกันว่า ตอนเด็กสักห้าหกขวบนอนเล่นกับลมหายใจ แล้วเพลิน ตัวใหญ่ราวท้องฟ้า แล้วบังคับให้ย่อ ขยายอย่างไรก็ได้ เพลิดเพลินกับตรงนี้อยู่พักหนึ่งเหมือนกัน ตอนโตก็กลับมาใช้อานาปานสติ ครั้งหนึ่งจิตสงบ เกิดนิมิตเป็นดาวสุกใสเต็มท้องฟ้า ไปเปิดตำราดูก็ตรงตามที่พระอรรถกถาจารย์ประพันธ์ไว้ เลยไม่เอา เพราะกลัวไปติดฤทธิ์ หันกลับมาเจริญสติปัฏฐานสี่ดีกว่า ถ้าทำต่อ มันจะเป็นอุคคหนิมิต ปฏิภาคนิมิต ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดของการฝึกสมถกรรมฐานสี่สิบวิธีที่พระอรรถกถาจารย์ว่าไว้ แต่ถ้าหายใจเข้ารู้ หายใจออกรู้ ตัวรู้นี่แหละคือ สติ อันนี้จิตไม่ได้อยู่กับลมหายใจอย่างเดียวแล้ว มีตัวรู้เพิ่มขึ้นมาแล้ว ตัวรู้หรือสตินี่แหละจะแสดงออกทางปัญญาให้เห็นในภายหลัง
หลวงปู่ชาจึงสอนว่า ความสงบเป็นบ่อเกิดแห่งปัญญา เมื่อจิตว่างเปล่าสงบก็จะเริ่มเห็นว่า จิตที่ว่างเปล่าก็ว่างเปล่า จิตที่ปรุงแต่งก็ปรุงแต่ง (คือไม่ว่างเปล่า) แต่เมื่ออยู่ในความว่าง จะยังไม่รู้อะไรแต่จะนำไปสู่การรู้ว่า อะไรเป็นอะไรเพราะจิตได้เรียนรู้แล้วว่า ตนเองนี่คือ ความว่างเปล่า ส่วนที่ไม่ว่างเปล่าก็เกิดจากตนเองปรุงแต่ง จิตจะเริ่มไม่เอาการปรุงแต่ง ตอนนั้นให้ออกจากความว่างมาอยู่ตรงกลางที่เรียกว่า สติ ให้อยู่กับรู้อย่างเดียว อารมณ์ก็ปล่อยให้มันเกิดไป อย่าหนีไปอยู่กับความว่าง ถ้าว่างจะไม่รู้ ถ้ารู้จะไม่ว่าง อันนี้ผมพูดเสมอ อารมณ์ไม่ได้แยกออกแต่มันหายไปเพราะเราหนีมันมาอยู่กับความว่าง มาอยู่กับตนเอง
คิดเท่าไรก็ไม่รู้ จะรู้เมื่อหยุดคิด แต่ต้องอาศัยคิดจึงจะรู้ ปริศนาธรรมของหลวงปู่ดูลย์ อยู่ตรงประโยคสุดท้ายนี่แหละ แต่ก่อนผมก็ตีไม่แตก พอเห็นจึงตีแตกอย่างง่ายดาย ต้องอาศัยคิดจึงจะรู้ ขณะที่รู้ต้องมีคิดอยู่ด้วย คิดคือขันธ์ คือการปรุงแต่งของจิต หยุดคิดคือ จิตที่หยุดปรุงแต่ง ขณะที่เห็นมันจะเป็นการเผชิญหน้ากันระหว่างจิตที่ไม่ปรุงแต่ง (จิตที่หยุดคิด) กับจิตที่ปรุงแต่ง (จิตที่คิด) นี่แหละหลวงปู่ดูลย์จึงว่า ต้องอาศัยคิดจึงจะรู้ ถ้าหนีคิดเข้าไปแช่ แน่นิ่งอยู่กับความสงบจะไม่รู้ หรือหนีเข้าไปอยู่กับความว่างก็ไม่รู้อีก ต้องออกมาอยู่กับสติ จิตฟุ้งซ่านก็รู้ จิตปรุงแต่งเป็นราคะก็รู้ จิตมีโทสะก็รู้ พระพุทธเจ้าสอนไว้ชัดในจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ลองไปอ่านดูเถิด เมื่อรู้แจ้งแล้ว จิตจะซอกแซกหาเหตุของมันเองโดยอัตโนมัติ ให้ออกมาอยู่กับรู้ กับสติ อย่างเดียวเท่านั้น ไม่ว่าจิตจะปรุงแต่งเป็นอย่างไร (ภาษาพระเรียกเจตสิก คือ อาการของจิต) เมื่อออกมาอยู่กับรู้ กับสติได้ก็จะเห็นเหตุเองว่า เหตุแห่งทุกข์ทั้งปวงมาจากการปรุงแต่งนี้เอง จิตส่งนอกนี่แหละคือ จิตที่ปรุงแต่ง
จิตส่งนอกเป็นสมุทัย ผลของจิตส่งนอกคือ ทุกข์ ปัญญาในตอนแรกต้องอาศัยการคิดพิจารณา แต่ปัญญาในตอนหลังเป็นปัญญาอัตโนมัติ ปัญญาอัตโนมัตินี่แหละคือ ความรู้แจ้ง ต้องขณะที่มีสติ จริงๆ สตินี่แหละคือ สมถะและวิปัสสนาในเวลาเดียวกัน อันนี้ผมไม่ได้พูดเล่นๆ นะ ผมเคยภาวนาแล้วเกิดความรู้ขึ้น ต่อมาไปอ่านหนังสือคำสอนหลวงปู่มั่น ท่านก็บอกว่า สตินี่แหละคือ สมถะและวิปัสสนา เพราะเมื่อมีสติจริงๆ จิตมันจะหยุด มีสติคือ จิตอยู่กับความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ที่หลวงปู่ดูลย์บอกว่า รู้อยู่กับที่ ขณะที่จิตหยุด จิตไม่วิ่ง จิตก็ตั้งมั่น นั่นคือจิตเป็นสมาธิ สมาธิแปลว่า ความตั้งมั่นของจิต เมื่อจิตตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวตามอารมณ์ จิตก็สงบ นี่คือ สมถะ ทุกวันนี้จิตเราไม่สงบเพราะคอยวิ่งตามอารมณ์ที่มายั่วหลอกให้วิ่งตามอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก
ผู้ปฏิบัติ : ขออนุญาตถามต่อนะครับ เมื่อพบผู้รู้ให้ทำลายผู้รู้ คืออะไรครับ
ท่านทรงกลด : คำถามนี้สำคัญมาก หากตอบไป อาจจะกระทบกับครูบาอาจารย์ใครที่นับถือกันอยู่ได้ เพราะไปยึดผู้รู้ว่าคือตน จึงยังไม่บรรลุอรหัตผล ต่อเมื่อทำลายผู้รู้จึงจะบรรลุอรหัตผล ผู้รู้ก็ออกมาจากจิต จิตก็ปรุงแต่งผู้รู้ ผู้รู้กับจิตแนบแน่นกันเหมือนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จึงหลงเข้าใจว่าผู้รู้คือ ตน แต่ผู้รู้ก็คือ ผู้รู้ จิตก็คือ จิตเมื่อทำลายผู้รู้ก็จะเหลือจิตอันเดียวที่บริสุทธิ์ หลุดพ้นจากพันธนาการของขันธ์ห้าทั้งปวง ห้องแห่งหนึ่งว่างอยู่แล้ว แต่ผมเดินเข้าไปจึงบอกว่า ห้องว่าง แต่ผมที่เข้าไปทำให้ห้องไม่ว่าง แต่กลับบอกว่า ห้องว่างเพราะความไม่รู้ ความเห็นผิดจึงเห็นว่าห้องว่าง ห้องไม่ว่าง ไม่มีห้อง ไม่มีผม ทำไมบอกว่า พบผู้รู้แล้วทำลายผู้รู้ จึงเป็นคำสอนที่ผมได้ยินประโยคนี้มานานแล้ว จริงๆ ไม่ใช่เป็นการทำลายผู้รู้ แต่ให้รู้จักผู้รู้ด้วยปัญญา ตราบใดที่เรายังไม่ดับขันธปรินิพพาน เรายังทำลายผู้รู้ไม่ได้ ถ้าพระอรหันต์ท่านทำลายผู้รู้ เวลามีดบาด ท่านจะไม่รู้สึกเลย เลือดก็ออกไหลหมดร่างกาย ผู้รู้กับความรู้สึกตัว กับสติ คืออันเดียวกัน ผู้รู้นี่คือ วิญญาณในขันธ์ห้า อันนี้ตรงกับที่หลวงปู่ชาสอนไว้เปี๊ยบ ผมถึงศรัทธาหลวงปู่ชาเป็นที่สุด ตอนที่เห็น เอ ! ทำไมเราเห็นเป็นอย่างนี้ไปได้ ตำราไม่ได้บอกอย่างนี้สักหน่อย เรานี้เพี้ยนไปกระมัง พอไปอ่านคำสอนหลวงปู่ชา หลวงปู่มั่น เออ ! ถูกของท่าน การทำลายผู้รู้ในที่นี้ไม่ได้หมายถึง ทำลาย ล้างบาง กำจัดอะไรหรอก แต่เป็นการเห็นอย่างแจ่มแจ้งว่า แม้ผู้รู้ก็ไม่ใช่เรา ของเรา เหมือนอย่างที่เราเห็นกายไม่ใช่เรา ของเรานั่นแหละ แต่การสอนว่า พบผู้รู้ให้ทำลายผู้รู้เป็นการสอนที่ข้ามขั้นตอนไป คนเลยหาผู้รู้กันใหญ่ อันนั้นต้องคนมีปัญญาบารมีสูง เอาแค่เห็นกายไม่ใช่เรา ของเรานี่ เรายังทำกันไม่ได้เลย ผู้รู้นี้หลวงปู่ดูลย์บอกว่า อยู่ชั้นในสุดที่ต้องละ ข้างนอกเรายังละไม่ได้ ยังไม่เห็นจริงรู้แจ้งจะเอาอะไรไปละข้างใน ผู้รู้ไม่ใช่เรา เรานี่คือ จิตอันหนึ่ง ผู้รู้ออกมาจากจิตแต่ไม่ใช่จิต หลวงปู่ชากล่าวไว้ชัดว่า ขันธ์ห้าประกอบไปด้วยรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ วิญญาณคือ ชั้นในสุด คือ ผู้รู้ พระอาจารย์ตั๋นเคยถามว่า หลังผู้รู้คืออะไรรู้ไหม นี่แสดงว่า ท่านพบจิตพบใจของท่านแล้ว ท่านจึงกล่าวอย่างนี้ได้ว่า หลังผู้รู้ยังมีอะไรอีกอันหนึ่ง นั่นคือ จิตเดิมนั่นเอง หรือหลวงตามหาบัว การเห็นของท่าน (ขออภัยหากวิเคราะห์หลวงตาในที่นี้ อย่างที่ท่านไม่เคยอ่านที่ไหนมาก่อน) เป็นการเห็นด้วยจิตทั้งสิ้น เมื่อท่านบรรลุอนาคามี ท่านก็บอกว่า ไม่อยากไปเกิดเป็นพรหมชั้นสุทธาวาส อยากให้จบกิจในชาตินี้เลย วันหนึ่งท่านเดินจงกรมอยู่หลังวัดแห่งหนึ่ง ขณะจิตสงบก็เกิดความรู้ผุดขึ้นว่า หากยังมีต่อมผู้รู้อยู่ตราบใดก็ยังมีภพ (คือการเกิด) อยู่ที่นั่น ท่านบอกว่า ท่านงงเป็นไก่ตาแตกเลย ไม่รู้จะถามใครว่า ผู้รู้นี่คืออะไร หลวงปู่มั่นก็ไม่อยู่เสียแล้ว เห็นไหมขนาดหลวงตาพากเพียรขนาดนั้นยังต้องมาเจอด่านผู้รู้ด่านสุดท้ายเลย แต่สุดท้ายด้วยบารมี ด้วยความเพียร ท่านก็ฝ่าด่านไปได้สำเร็จ ลองไปดูในปฏิจจสมุปบาท อวิชชาก่อให้เกิดสังขาร สังขารก่อให้เกิดวิญญาณ เมื่อดับอวิชชาได้ นั่นแหละวิญญาณคือ ผู้รู้ก็จะดับ สังขารในปฏิจจสมุปบาทในตอนต้นไม่ใช่สังขารที่แปลว่า ความคิดปรุงแต่งในขันธ์ห้า แต่หมายถึง การปรุงแต่ง เพราะอวิชชา จิตจึงปรุงแต่งวิญญาณ เมื่อกำจัดอวิชชาลงเสียได้คือ ทำความรู้แจ้งให้เกิด (เกี่ยวกับวิญญาณ) ได้ วิญญาณก็ดับ เมื่อวิญญาณดับนั่นแหละผู้รู้จึงดับ เมื่อผู้รู้ดับจะเอาอะไรไปต่อสายให้ไปเกิดเป็นภพเป็นชาติอีกเล่า
การทิ้งตัวรู้ ก็คือ ทิ้งสติ เมื่อไม่มีสติจะเอาปัญญามาจากไหน จะเอาอะไรมายืน เดิน นั่ง นอน ก็ให้รู้ลมหายใจเข้าออกก็ให้รู้ แม้หลวงปู่ดูลย์ท่านบรรลุอรหัตผลแล้ว ใครไปถามท่านว่า ท่านอยู่กับอะไร (วิหารธรรม) ท่านตอบสั้นๆ ว่า เราอยู่กับ “รู้” เห็นไหม ท่านทำลายผู้รู้เสียเมื่อไหร่ การไม่รู้จริงย่อมนำไปสู่การสอนผิดๆ พาคนหลงทางเข้าป่า แทนที่จะรู้ธรรม กลับหลงธรรม หลงทาง อารมณ์ก็อยู่ของเขา เราอยู่ของเรา อารมณ์ไม่ใช่เราอยู่แล้ว แต่เพราะเห็นผิด เห็นว่าอารมณ์เป็นเรา ของเรา นี่แหละเราจึงทุกข์
ผู้รู้นี่ยังมีผู้รู้หลอกกับผู้รู้จริงด้วยนะ ผู้รู้หลอกคือ วิญญาณ ผู้รู้จริงคือ จิต จิตก็คือ ธาตุรู้ ผู้รู้หลอก หมายถึง ไม่จริง เพราะวิญญาณก็ยังมีการเกิดดับ ต่อเมื่อเหลือจิตล้วนๆ จึงรู้จริง พระพุทธเจ้าจึงบอกว่า จิตเรานี่แหละคือสติบริสุทธิ์ คือสติที่ไม่ต้องปรุงแต่งใดๆ จิตเราก็เหมือนอากาศนี่แหละ ว่างเปล่า หาตัวตนไม่ได้ แต่มีอยู่ คำว่าจิตเป็นอนัตตา ไม่ได้หมายถึงจิตไม่มีตัวไม่มีตน แต่หมายถึงมีอยู่ แต่หาตัวตนไม่ได้ต่างหาก อย่างอากาศ ใครบอกได้บ้างหน้าตาเป็นอย่างไร มีใครเถียงไหมว่า อากาศไม่มี ทำไมเรารู้ว่าอากาศมี เพราะมีลมพัดใบไม้สั่นไหว ลมคือ อากาศที่เคลื่อนไหว อารมณ์ก็คือ จิตที่เคลื่อนไหวปรุงแต่ง เมื่อใดที่จิตหยุดปรุงแต่ง ก็จะเห็นจิตที่ปรุงแต่งเป็นคนละอันกับจิตเดิม เหมือนอากาศก็อากาศ ลมก็ลม ทิ้งหมด ได้หมด ทิ้งขันธ์ห้า พิจารณาให้เห็นเป็นอนัตตา นั่นแหละคือ ทิ้งอัตตา แต่ก่อนไม่เข้าใจคำสอนนี้ของหลวงปู่ดูลย์ ทิ้งหมด ได้หมด สั้นๆ แต่สะเทือนจักรวาล เคยหยิบคลื่นมาดูไหม มันมีตัวตนไหม กำคลื่นไว้ได้ไหม อะไรที่ปรุงแต่ง อันนั้นไม่มีแก่นสารตัวตนที่แท้จริง นี่แหละคือ อนัตตา พระพุทธเจ้าสอนให้เห็นอย่างนี้ มิใช่ใดอื่น เพื่อให้จิตละความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ห้า ตัวตนนี่แหละ เมื่อละ อะไรละ ก็จิตนั่นแหละละ เมื่อละได้ ก็จะเห็นว่า ตัวตนที่แท้จริงของเราก็คือ สภาวะหนึ่งที่ไม่ใช่ขันธ์ห้า อารมณ์ ที่พระองค์เรียกว่า จิต ดังที่พระอานนท์สอนอุบาสิกาคนหนึ่งว่า น้องหญิง เธอจงใช้ตัณหาดับตัณหาคือ ใช้ความอยากพ้นทุกข์ดับความอยากที่ทำให้เกิดทุกข์ ไม่ใช่ว่า พอเราจะลงมือปฏิบัติธรรมเพื่อหาทางพ้นทุกข์ กลับเห็นว่า เออ ! ความอยากพ้นทุกข์นี่เป็นกิเลสนี่หว่า เลยไม่อยาก อยู่เฉยๆ สรุปคนนี้ได้พ้นทุกข์ไหม คนนี้โง่หรือฉลาด หลวงปู่ชาบอกมันฉลาดจนโง่
บางคนจะทำบุญ ฟังธรรม อ่านธรรม กลับเห็นว่า ความอยากทำบุญ อยากฟัง อยากอ่านธรรมเป็นกิเลส เลยไม่ทำ ไม่ฟัง ไม่อ่าน แล้วหลงเข้าใจว่าตนเองชนะกิเลส แอบนั่งภูมิใจลึกๆ ว่า กิเลสทำอะไรตนไม่ได้ หลวงปู่ชาบอก ง่ายที่สุดก็คือ เห็นอะไร ทิ้งมันลงไปที่อนิจจังนี่แหละ เห็นกายคนนั้นสวย หล่อ ก็บอกว่า เออ ! มันก็อนิจจัง ไม่เที่ยง ไม่แน่ เห็นอารมณ์ยินดีเกิด เพราะมีคนชม ก็บอกมันว่า ฮึ ! มันไม่เที่ยง ไม่แน่หรอก ไอ้อารมณ์ยินดีนี้นะ เห็นอารมณ์ยินร้ายเพราะคนด่า ก็เหมือนกัน เออ ! เอ็งไม่แน่เหมือนกัน เห็นลมหายใจเข้าออกก็บอกไม่แน่ ไม่เที่ยงหรอก ความโกรธ ความรัก ความชังก็ไม่เที่ยง ไม่แน่ทั้งนั้น คนเคยรักก็มาชัง คนชังก็มารัก คนเคยชมก็มาด่า คนเคยด่าก็มาชม มีอะไรแน่สักอย่างไหม ตอนแรกผมก็นึกเหมือนกัน หลวงปู่สอนแค่นี้ มันจะไหวเหรอ
ถ้าเราพิจารณากาย อารมณ์จนเห็นชัดว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา (เห็นแจ้งในใจ) เมื่อเห็นคนด่าใจมันจะวางเกือบทันที ลูกศิษย์หลวงปู่ชานี่ที่จะเดินตามคำสอนท่านมีน้อยมาก บางคนก็ออกมาตั้งสำนักบัญญัติคำสอนขึ้นเอง ไปไม่รอดก็มีให้เห็นมาก คำสอนท่านเรียบง่ายและลึกซึ้ง (หากเห็นธรรม) ท่านสอนให้เอาทุกอย่างลงที่อนิจจัง เพราะอะไร เพราะเมื่อเห็นทุกอย่าง เรา เขา อารมณ์เรา อารมณ์เขา ไม่เที่ยงแท้อะไรสักอย่าง จิตก็จะไม่เข้าไปหมายมั่น ถือมั่นในเขา ในเรา ในอารมณ์เขา อารมณ์เรา จิตจะออกมา เมื่อเห็นบ่อย มันจะออกมาตั้งมั่นให้เห็นเลยนะ ปัญญาเกิดตรงนี้ ต่อไปเมื่อเห็น ไม่ต้องพิจารณาแล้ว เพราะมันเห็นแล้ว มันจะเป็นปัญญาอัตโนมัติล่ะ ไม่ต้องคอยมาคิดพิจารณาเลย มันจะตัดลงตรงนั้นทันที เหมือนเราเห็นรถจะพัง เราจะยังนั่งอยู่ได้ไหม ไม่ได้หรอก ต้องออกมา เห็นอารมณ์จะพัง ไม่เที่ยง มันก็ออกมาเหมือนกัน เห็นอารมณ์ เห็นกาย เห็นขันธ์ห้าไม่เที่ยง นี่แหละคือ สัมมาทิฏฐิ การออกจากอารมณ์ไม่ว่าดีหรือร้าย นั่นคือ สัมมาสังกัปปะ โน่น มันเดินตลอดไปจนสัมมาสติ สัมมาสมาธิเลย นี่ คือว่า ไม่แน่คืออนิจจัง ของหลวงปู่ชา ท่านเทศน์ไว้กัณฑ์หนึ่งเลยนะ สำคัญมาก คำคำนี้ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันก็อันเดียวกัน เมื่อเป็นอนิจจัง มันก็ทุกขังอยู่ในตัว (ทุกขังคือ ทนอยู่ในสภาวะนั้นไม่ได้) และเป็นอนัตตาอยู่ในตัว คือ หาแก่นสารไม่ได้ หาตัวตนไม่ได้ ถ้าเห็นด้วยจิตมันจะแจ้งถึงพระนิพพานโน่น นัตถิ ปัญญา สมะอาภา แสงสว่างเสมอด้วยปัญญาไม่มี แสงสว่างอื่นเกิดแล้วก็ดับได้ แต่แสงสว่างแห่งปัญญาเกิดกับจิตผู้ใดแล้ว ไม่มีวันดับ แจ้งถึงพระนิพพาน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นั่นแหละคือ วิปัสสนาและสมถะอยู่ในตัว