ถาม-ตอบ

ประวัติการบรรลุธรรมของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

 

แสดงธรรม กลุ่ม Natural Mind เมื่อวันที่  14  สิงหาคม  2558

 

ท่านทรงกลด : สนทนาธรรมเรื่องประวัติหลวงปู่มั่น 

หลวงปู่มั่นเป็นยอดพระอริยสงฆ์ในช่วงกึ่งพุทธกาล ท่านนำพาพระให้บรรลุอรหัตผลเป็นจำนวนมาก หลวงปู่มั่นกำเนิดในสกุลแก่นแก้ว  ถามว่า ในช่วงก่อนหน้านั้น เมืองไทยไม่มีพระอรหันต์หรือ เป็นไปได้ครับ เพราะพระในสมัยก่อน จะหาต้นแบบแบบหลวงปู่มั่นคงยาก ถ้ามี น่าจะมีการบันทึกไว้บ้าง ต้องถือว่าหลวงปู่มั่นมาบุกเบิกเลยทีเดียวในช่วงกึ่งพุทธกาล

อย่างหลวงปู่เสาร์ แม้จะเป็นพระอาจารย์ของหลวงปู่มั่น แต่ท่านก็ไม่รู้ว่าตนปรารถนาพระปัจเจกพุทธเจ้า จึงปฏิบัติไม่ก้าวหน้าถึงไหน ต่อเมื่อพระอาจารย์มั่นบรรลุธรรม เกิดญาณ กำหนดดูจิตอาจารย์เสาร์ จึงเดินทางไปบอก นั่นแหละ ท่านจึงละความปรารถนาปัจเจกพุทธเจ้า 

หลวงปู่มั่นเกิดเมื่อวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๔๑๓ ร้อยกว่าปีแล้ว เมื่ออายุ ๑๕ ปี บรรพชาเป็นสามเณร พออายุ ๑๗ ปี บิดาขอร้องให้สึกไปช่วยงานที่บ้าน พออายุ ๒๒ ปี ก็อยากบวชมาก จึงขออนุญาตบิดามารดาบวช ในสำนักท่านอาจารย์เสาร์ กันตสีโล ระหว่างศึกษากรรมฐาน โดยในชั้นแรกยังใช้บริกรรมภาวนาว่า พุทโธๆ อยู่ 

วันหนึ่งเป็นเวลาราวเที่ยงคืนก็ฝันว่า ได้เดินออกจากหมู่บ้านหนึ่ง มีป่า เลยป่าออกไปถึงทุ่งเวิ้งว้าง เดินตามทุ่งไปพบขอนชาด (ชื่อต้นไม้) ล้มอยู่ ท่านเดินขึ้นสู่ขอนชาดนั้น พิจารณาเห็นว่า ผุพัง ไม่มีทางออกได้อีก ขณะนั้นก็มีม้าสีขาวไม่รู้มาจากไหน มาเทียมขอนชาด ท่านจึงขึ้นม้า ม้าก็พาวิ่งไป ถึงตู้พระไตรปิฎกตั้งอยู่ ม้าพาวิ่งเข้าไปที่ตู้ใบนั้น แล้วหยุด แล้วม้าก็หายไป ท่านเดินเข้าไปที่ตู้แต่มิได้เปิดตู้ 

เมื่อตื่นขึ้น ท่านพิจารณาความฝันที่แปลกนั่น ก็เห็นว่า ที่ว่าออกจากบ้านคือ ความเห็นผิดทั้งหลาย ป่าก็คือกิเลส ขอนชาดที่ล้ม หมายความว่า ชาตินี้จะเป็นชาติสุดท้าย จะไม่กลับมาเกิดใหม่อีกแล้ว ส่วนตู้พระไตรปิฎก คือ ต่อไปจักสำเร็จธรรม ได้ปฏิสัมภิทานุสาสน์ ฉลาดในการสอนศิษย์ทั้งหลายให้เข้าใจในข้อปฏิบัติทางจิตแต่จะไม่ได้ในจตุปฏิสัมภิทาญาณ เพราะไม่ได้เปิดตู้พระไตรปิฎกออกอ่าน

ท่านเล่าต่อไปว่า เมื่ออยู่กับหลวงปู่เสาร์ ภาวนาพุทโธ ก็เกิดสมาธินิมิต เห็นคนตายอยู่ข้างหน้า มีสุนัขดึงไส้ออกไปกิน วันต่อมากำหนดให้ยิ่งขึ้น ก็มีแร้งกามาจิกกิน ท่านพิจารณาต่อ จนภาพอสุภะนั้นเป็นวงแก้ว วันต่อมา เพ่งในวงแก้ว ก็พบภูเขา ท่านเดินไปดู (ในจิต) ปรากฏว่า ภูเขานั้นเป็นห้าชั้น จึงก้าวไปถึงชั้นที่ห้า แล้วหยุด วันต่อมาเข้าไปอีก คราวนี้ท่านมีการสะพายดาบด้วย เดินต่อไปพบสำเภาใหญ่ เข้าไปดู มีโต๊ะฉันจังหัน มีประทีป วันต่อมาเข้าไปอีก คราวนี้พบสะพาน พบโบสถ์ ทางจงกรม พบธรรมาสน์ ขึ้นไปนั่ง ท่านบอกว่า เป็นอย่างนี้อยู่สามเดือน ท่านก็พิจารณาว่า ถ้าจะไม่ใช่ เพราะเวลามีอารมณ์มากระทบยังหวั่นไหวอยู่

ความเห็น… นี่คือ การบริกรรมภาวนา ทำให้เกิดนิมิต บางคนหลงในนิมิต หลงว่า ตนบรรลุธรรมมีเยอะมาก การภาวนาแบบนี้แหละ ทำให้คนเป็นบ้าที่เรียกว่า กรรมฐานแตก ถึงต้องมีครูบาอาจารย์คอยชี้แนะ อย่างหลวงปู่ชา ก็เจอเหมือนกัน คล้ายๆ กัน ภาวนา แล้วเหมือนเดินไปๆๆ เหมือนจะก้าวหน้า แล้วไปชนอะไรกึกอยู่ ไปไม่ได้เหมือนกัน 

กลับมาที่หลวงปู่มั่น จะเห็นว่าที่ผ่านมา ท่านไม่ได้เจริญสติปัฎฐานสี่เลย คราวนี้ท่านเห็นว่า สมาธินิมิตแบบนั้น มันหลง มันไม่จบ ท่านเลยกลับมาพิจารณากาย กายคตาสตินั่นเอง เบื้องต่ำแต่ปลายเท้าขึ้นมา เบื้องบนแต่ปลายผมลงไปคือ อาการสามสิบสองที่เคยแสดงไว้นั่นเอง

การพิจารณากายนี่สำคัญมาก ในสมัยนี้พวกเราใจร้อน อยากบรรลุธรรมเร็วๆ ไม่อยากเสียเวลากับการพิจารณากาย อย่างที่ผมเคยเล่าเรื่องพระอาจารย์ผมให้ฟัง ท่านเจริญสมาธิจนจิตแน่วแน่ คราวนี้อยากจะฝึกการดูจิต ไปหาหลวงปู่ชา หลวงปู่ชาหันมามอง พูดสั้นๆ ว่า ให้ออกมาดูกาย พิจารณากาย ท่านจึงเจริญก้าวหน้าในธรรม ทุกวันนี้ ท่านพูดเสมอว่า หากไม่ได้หลวงปู่ชาชี้แนะวันนั้น ก็ยังคงติดอยู่ในสมาธิแบบนั้นไปจนตาย

หลวงปู่มั่นเมื่อพิจารณากายกลับไปมา สามวันผ่านไป อาศัยกำลังสมาธิที่ได้แต่เก่า (พุทโธ) คราวนี้ จิตรวมลงปรากฏว่า กายแตกเป็นสองภาค เกิดความรู้ว่า ถูกทางแล้ว เพราะจิตไม่น้อมไป และมีสติรู้อยู่กับที่

ความเห็น… การพิจารณากายทำให้จิตเป็นสมาธิได้ ซึ่งผมปฏิบัติมาแล้ว ได้ผลมาแล้ว อย่างที่เคยบอก

เมื่อจิตท่านรวม เป็นการรวมในลักษณะมีสติ ท่านใช้คำว่า มีสติรู้อยู่กับที่ เหมือนหลวงปู่ดูลย์เป๊ะเลย

ท่านบอกว่า ท่านได้อุบายถูกต้องเป็นครั้งแรกแล้ว ในวาระต่อไป ท่านก็ใช้อุบาย (การพิจารณากาย) นี่แหละเป็นแนวทางการภาวนา ท่านออกธุดงค์ไปตามป่าเขา จังหวัดต่างๆ อยู่ในป่าช้า หุบเขา ข้ามฝั่งไปลาวบ้าง ลงมาศึกษาที่กรุงเทพฯ จำพรรษาอยู่วัดปทุมวันบ้าง ต่อมาก็เที่ยววิเวกในภาคกลางคือ ลพบุรี วัดถ้ำไผ่ขวาง เขาพระงามบ้าง ถ้ำสิงโตบ้าง และไปบรรลุอนาคามีที่ถ้ำสาริกา จังหวัดนครนายก

ที่ถ้ำนี้ ตอนแรกชาวบ้านห้ามไม่ให้ท่านขึ้นไปบอกว่า มีพระมาตายหลายรูปแล้ว ทำให้ท่านอยากขึ้นไปบำเพ็ญภาวนา ท่านบอกชาวบ้านว่า อาตมาอยากไปชมถ้ำสักระยะหนึ่ง ถ้าเห็นท่าไม่ดีก็จะลงมา ขอโยมกรุณาพาไปส่งหน่อยเถิด ท่านเล่าว่า ในระยะแรกๆ รู้สึกว่า ปกติจิตสงบเยือกเย็นดี พอวันต่อๆ มา เริ่มผิดปรกติ กล่าวคือ ฉันอาหารอะไรไม่ย่อยเอาเสียเลย นึกวิตกว่า ถ้ำนี้มีพระมาตายสี่รูปแล้ว เราคงเป็นรูปที่ห้ากระมัง เวลามีโยมขึ้นมาหาตอนเช้า ท่านก็พาโยมหายามากิน ส่วนใหญ่เป็นพวกแก่นรากไม้ ฉันอย่างไรก็ไม่หาย โรคก็กำเริบขึ้นทุกที ท่านจึงตัดสินใจระงับโรคด้วยธรรมโอสถ จะหายก็หาย จะตายก็ตาย ว่าแล้ว ก็เข้าที่นั่งคู้บัลลังก์ตั้งกายตรงดำรงสติสัมปชัญญะ กำหนดพิจารณากายคตาสติกรรมฐาน แยกแยะธาตุขันธ์ออก ทั้งในส่วนกาย และในส่วนทุกขเวทนา (เวทนาขันธ์) จนรู้แจ้งในเวทนาว่าจะถือเป็นเรา ของเราไม่ได้ จิตรวมสงบลง โรคร้ายก็หายไป

ความเห็น… พระในสมัยพุทธกาล เวลาเจ็บป่วยจะเอาทุกขเวทนานั้นขึ้นมาพิจารณาด้วยพระไตรลักษณ์ ให้เห็นว่าจะถือเป็นเรา  ของเราไม่ได้ จนจิตหลุดพ้นจากเวทนา บรรลุอนาคามี อรหัตผลเป็นจำนวนมาก จิตรวมในคราวนี้ ไม่ได้รวมเป็นองค์ฌาน ที่ดิ่งไปแช่ แน่นิ่งอยู่ ไม่รู้อะไร แต่เป็นการรวมในอาการที่เหมือนหลุดออกมาจากพันธนาการ (คือ เวทนา) เมื่อออกมาจากจิตรวมตรงนั้น เวทนาหรืออารมณ์ทั้งปวงก็ทำอะไรจิตไม่ได้อีกต่อไป อนาคามีผลเกิดตรงนี้เอง

ท่านเล่าว่า เมื่อออกมา (จิต)  จิตสว่างออกไปนอกกาย ปรากฏเห็นบุรุษหนึ่งรูปร่างใหญ่ดำ สูงประมาณสิบเมตร ถือตะบองเหล็กใหญ่  เดินมา บอกจะทุบตีให้จมดินลงไป บางตำราก็บอกว่า ทุบตีจมลงไปในดินแล้ว แต่หลวงปู่มั่นก็ไม่หวั่นไหว ท่านกลับเทศน์สอนบุรุษนั้นให้รู้ถูกผิด พอท่านแสดงธรรมจบลง บุรุษนั้นก็เนรมิตลดร่างใหญ่โตลงมาเป็นสุภาพบุรุษพุทธมามกะ กราบขอขมาท่าน บอกว่า เขาเป็นหัวหน้ารุกขเทวดา มีบริวารมากมายตามป่าภูเขาแห่งนี้ วันต่อๆ มา ก็พาบริวารมาฟังธรรมจากหลวงปู่มั่น

ความเห็น… เรื่องเทวดานี้ท่านที่ไม่เชื่อ ก็โปรดวางใจกลางๆ ไว้ก่อน เมื่อปฏิบัติถึงแล้วจะหายสงสัย (ถ้าไม่ทิ้งเสียก่อน) หากท่านมีจิตใจเข้มแข็งเพียงพอ ลองไปปฏิบัติอยู่คนเดียวในป่าลึก ท่านจะต้องประสบอะไรที่ทำให้เปลี่ยนความคิดไปได้เลย และใครจะว่าผมงมงายอะไรก็ตาม ขอบอกตรงๆ ขอให้เชื่อเถิดว่า เทวดามีอยู่จริงๆ

หลวงปู่มั่นหลังจากบรรลุอนาคามี อาหารก็กลับมาย่อยตามปกติ ความรู้แปลกๆ ที่ไม่เคยรู้มาก่อนได้ปรากฏขึ้นมากมาย บ่ายวันหนึ่งท่านออกมานั่งตากอากาศที่หน้าถ้ำแห่งนั้น กำลังรำพึงถึงธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงเมตตาประทานไว้ว่า เป็นเรื่องสุขุมลุ่มลึกมาก ยากที่จะมีคนปฏิบัติให้เห็นจริงตามได้ พอดีมีลิงฝูงใหญ่พากันมาเที่ยวหากินบริเวณหน้าถ้ำนั้น มีหัวหน้าลิงมาด้อมๆ มองๆ ก่อน ท่านก็แผ่เมตตาไปให้พวกมัน บอกว่า เรามาบำเพ็ญธรรม มิได้มาเบียดเบียนใคร จงหากินกันตามสบายเถิด ท่านเล่าว่า พอหัวหน้าลิงเห็นท่านก็วิ่งกลับไปถึงพรรคพวก รีบบอกว่า “โก้ก!  เฮ้ย!  อย่าด่วนไป มีอะไรอยู่ที่นั่น” “โก้ก! ระวังอันตราย”  พวกที่ยังมองไม่เห็นท่าน ก็ร้องถามกลับว่า “โก้ก!  อยู่ที่ไหน” “โก้ก! อยู่ที่นั่น” แล้วมันก็ส่งเสียงร้องบอกกัน ท่านว่า ท่านเข้าใจทุกคำพูดเหมือนคนเราพูดกันนี่แหละ 

ความเห็น… ความเข้าใจของท่านนี่ ไม่ใช่ความคิด ไม่ใช่คาดเดาว่า มันจะพูดอย่างนั้นอย่างนี้ แต่เป็นความรู้ขึ้นมาต่างหาก เรียกว่า ญาณ รู้ก็รู้ คิดก็คิด คนละอย่างกัน 

ท่านบอกว่า สัตว์ทุกชนิดมีภาษาของสัตว์พูดต่อกัน เช่นเดียวกับมนุษย์เรา ชาติต่างๆ ก็มีภาษาประจำชาติ

ในประวัติของท่านมีหลายครั้งที่ไปเจอสัตว์ เช่น มด ท่านก็ได้ยินว่ามันพูดอะไรกัน หากกำหนดจิตเข้าไปดู นอกจากจะรู้ภาษาสัตว์แล้ว ท่านยังรู้วาระจิตคนอย่างแม่นยำด้วย ซึ่งหลวงปู่ขาวนี่ยอมแพ้เลย กลางคืนคิดอะไรๆ เช้าขึ้นมา หลวงปู่มั่นทักได้หมด

กลับมาที่ถ้ำสาริกาต่อ  ที่ชายเขาทางขึ้นไปถ้ำที่หลวงปู่มั่นพักอยู่ มีสำนักปฏิบัติอยู่แห่งหนึ่ง มีหลวงตารูปหนึ่งบำเพ็ญอยู่ คืนวันหนึ่ง หลวงปู่มั่นคิดถึงหลวงตารูปนี้ว่าจะทำอะไร ก็กำหนดจิตส่งกระแสจิตมาดู ก็เห็นหลวงตาคิดกำลังจะสร้างบ้านสร้างเรือน คิดถึงลูกหลาน คิดวุ่นวายไปกับกิจการครอบครัว พอเช้าท่านลงมาบิณฑบาต ขากลับจึงแวะไปเยี่ยมหลวงตา แล้วพูดเป็นเชิงปัญหาว่า เป็นอย่างไรหลวงพ่อ ปลูกบ้านใหม่ แต่งงานกับคู่ครองคนใหม่แต่เป็นแม่อีหนูคนเดิม ไม่ยอมนอน สั่งเสียลูกหลานเสร็จแล้วกระมัง คืนต่อไปคงสบายไม่ต้องวุ่นวายจัดแจงอะไรอีก

หลวงตามองหลวงปู่มั่นด้วยความอาย แล้วยิ้มแห้งๆ ว่า ท่านพระอาจารย์เป็นพระอัศจรรย์มาก ท่านรู้ด้วยหรือเมื่อคืนนี้ ต่อมาได้สามวัน ก็มีโยมที่ปรนนิบัติหลวงตารูปนั้น ขึ้นมาที่ถ้ำที่หลวงปู่มั่นอยู่ ท่านจึงถามถึงหลวงตา โยมบอกว่า หลวงตาไปจากที่นี่แล้ว โยมก็ถามว่า หลวงพ่อจะไปไหน แกตอบว่า จะอยู่ได้อย่างไร อายหลวงปู่มั่น

หลวงปู่มั่นเกิดความสลดใจ ทำคุณได้โทษ ทำให้หลวงตาต้องหนีไป ทำให้ต่อมาท่านจึงไม่ทักใจใคร เพียงพูดเป็นอุบายให้คิด ท่านบอกว่า ใจของสามัญชนย่อมคิดทั้งเรื่องดี ไม่ดี จะให้ถูกต้องดีงามตลอดเวลาย่อมเป็นไปไม่ได้ ใจปุถุชนเหมือนเด็กอ่อนเพิ่งหัดเดิน จึงย่อมคิดเรื่องดีบ้าง ชั่วบ้างเป็นเรื่องปกติ

ท่านพำนักที่ถ้ำแห่งนี้ได้อุบาย ความรู้ ประสบการณ์แปลกๆ บางคืนมีพระอรหันตสาวกมาแสดงธรรมให้ท่านฟังตามอริยประเพณี

ความเห็น… ตรงนี้สำคัญมากนะครับ ทำให้คนโจมตีหลวงตามหาบัวเยอะมากว่า เขียนได้อย่างไร พระอรหันต์ที่นิพพานไปแล้วยังมาแสดงธรรมให้หลวงปู่มั่นฟัง หลวงตามหาบัวเขียนกุขึ้นเองหรือเปล่า ผมอยากให้พวกเราทำใจกลางๆ อย่าถึงขนาดปรามาส จะเป็นบาปกรรมนะครับ เมื่อเรายังไปไม่ถึงตรงนั้น ให้ทำใจกลางๆ ส่วนใหญ่คนสมัยนี้ ได้รับความรู้ว่า นิพพานคือสูญ นิพพานแล้วหายหมด ไม่เหลืออะไร แล้วจะปฏิบัติไปทำไม ปฏิบัติไปเพื่อความสูญ ซึ่งผมก็แสดงหลายครั้งแล้วว่า หากปฏิบัติแล้วสูญ พระพุทธเจ้าก็คงไม่จับพระราหุลบวช สอนให้บรรลุอรหัตผลหรอก ไม่มีพ่อที่ไหนทำกับลูกเพื่อความสูญได้หรอก ที่สูญคือกิเลส คือขันธ์ (เวลาดับขันธปรินิพพาน) เมื่อดับขันธ์ก็เหลือจิตบริสุทธ์ล้วนๆ ไม่ต้องคอยแบกขันธ์  แบกทุกข์อีกต่อไป ดังพุทธพจน์ที่ว่า ภาราหะเว ปัญจักขันธา ขันธ์ห้าเป็นของหนักเด้อ นี่ ทุกวันนี้เราแบกกาย เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณไว้  ที่ไม่รู้สึกหนักเพราะแบกไว้จนคุ้นเคย เคยชินกับมัน ลองวางลงได้สักวัน ผมท้าได้เลยว่า จะไม่อยากกลับไปแบกมันอีกล้านเปอร์เซ็นต์ แต่พุทธศาสตร์ ใช้จิตเห็น คนละเรื่องกัน 

บางทีผมเคยผ่านๆ เข้าไปในเว็บคนสมัยนี้ดูว่า  เขาคิดอย่างไรกับพระพุทธเจ้า บางคนคุยกันว่า พระพุทธเจ้ามีจริงหรือ นี่มิจฉาทิฏฐิอย่างร้ายแรง หรือบางคนชอบพูดว่า คนอะไรเกิดมาเดินได้เลยถึงเจ็ดก้าว เนี่ย เพราะเอาตนเองไปเปรียบเทียบกับพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบำเพ็ญบารมีมาสี่อสงไขยกับอีกแสนกัป ส่วนตัวเอง ชาติหนึ่งๆ ไม่รู้ว่าได้ทำความดีอะไรบ้าง คนที่จะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ย่อมไม่ธรรมดา บุญบารมีท่านเต็มเปี่ยมแล้ว จึงมีอะไรที่แตกต่างกับสามัญชนทั่วไปอย่างแน่นอน

ในสมัยที่หลวงตามหาบัวเขียนประวัติหลวงปู่มั่น ถึงตอนที่พระอรหันตสาวกมาแสดงธรรม คนในยุคนั้น ฮือฮามาก มีคนออกมาเขียนโจมตี นี่ยังไม่พูดถึงตอนหลวงปู่บรรลุอรหัตผลนะ ตอนนั้นมีพระพุทธเจ้า พระอริยสาวกมาเยี่ยมโมทนามากมาย 

ผมเคยสนทนากับหลวงพ่อพระปฏิบัติรูปหนึ่ง แห่งวัดป่าแห่งหนึ่ง สนทนาธรรมกันเฉพาะตน ท่านบอกว่า โยมอยากเห็นพระอรหันต์สมัยพุทธกาลไหมล่ะ อาตมาจะพาไปที่สกลนคร บนเขา ลานหินแห่งหนึ่ง ท่านลงมายังกับเฮลิคอปเตอร์เลยล่ะ (ค่อยๆ เลื่อนลงมาจากอากาศ) นี่ผมก็ฟังมาอีกทีหนึ่ง ยังไม่เคยไปเหมือนกัน แต่หลวงพ่อท่านไม่โกหกแน่ ท่านเป็นพระมีชื่อเสียงดีงาม