ถอดรหัส อุปาทาน ขันธ์ 5

แสดงธรรมกลุ่ม Natural Mind เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2558
ท่านทรงกลด : วันนี้สนทนาเรื่อง อุปาทาน ขันธ์ 5 ซึ่งอาจจะยากสักหน่อย แต่จะพยายามอธิบายให้พวกเราเข้าใจมากที่สุด หากยังละกิเลสคือ โทสะและราคะไม่ได้ก็จะไม่สนทนากับคนหมู่มากแบบนี้ ถ้าเป็นสมัยก่อน ผมคงคิดว่า เอ๊ะ! มานั่งเพ้อเจ้ออะไรอยู่คนเดียวเหมือนคนบ้า พูดอะไรที่โลกเขาไม่อยากฟังกัน แต่ตอนนี้มีความรู้สึกปิติ ที่ได้ตอบแทนคุณพระพุทธศาสนา ตอบแทนคุณพระพุทธเจ้าที่ทิ้งคำสอนอันเป็นหนทางนำไปสู่การพ้นทุกข์ได้อย่างแท้จริงๆ และปิติมากขึ้นที่ยังมีคนสนใจเรื่อง มรรค ผล นิพพานกันอยู่ในสมัยที่เจริญวัตถุกันมากมายแบบนี้
พระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้ว่า สมัยหลังกึ่งพุทธกาล มนุษย์จะเจริญวัตถุมากแต่ศีลธรรมจะเสื่อมโทรม แม้คนจะมาบรรลุเพียงโสดาบันก็ยากแท้หนักหนา อย่างน้อยผมก็หวังว่า พวกเราในกลุ่มนี้สักสิบ ยี่สิบคนคงได้บรรลุโสดาบันกันในชาตินี้
คืนวันพระวันหนึ่ง หลังจากแสดงธรรมเสร็จก็จะล้มตัวลงนอน อยู่ๆ คำว่า ดวงตาเห็นธรรมก็ค้างใจอยู่ เกิดความรู้สึกขึ้นว่า พวกเราบางคนในกลุ่มต้องการให้ขยายความเรื่องนี้ จึงขออนุญาตอธิบายก่อนเข้าสู่เรื่องสักนิดนะครับ
คำว่า ดวงตาเห็นธรรม คือเห็นอย่างไร อย่างไรเรียกว่า เห็นธรรม เคยเข้าไปดูในยูทูบ หลายๆ คนมาแสดง แต่ดูไม่ตรงกับความหมายที่พระพุทธเจ้าแสดงเลย การดูยูทูบเกี่ยวกับธรรมะสมัยนี้ขอให้ระมัดระวังสักหน่อย จะพาเราหลงทางได้ แม้หนังเรื่องพระพุทธเจ้า มหาศาสดาโลก เขาตั้งใจทำยิ่งใหญ่มากแต่เนื้อหาสาระธรรมหลายอย่างดูจะไม่ตรงตามจริงนัก จึงอาจดูเพื่อความบันเทิงได้ แต่เนื้อหาธรรมะโปรดระมัดระวัง ไม่ค่อยจะถูกต้องเท่าใด
คำว่า ดวงตาเห็นธรรม หมายเอาถึงปุถุชนที่จิตข้ามโคตรจากปุถุชนไปเป็นอริยชน เรียกว่า โคตรภูญาณ ซึ่งผมพยายามเลี่ยงไม่พูดถึงเรื่องญาณต่างๆ ไว้ถึง จะรู้เอง นั่นคือ เป็นพระอริยบุคคลเบื้องต้น คือ พระโสดาบัน ผู้ที่ได้ดวงตาเห็นธรรมจะเป็นพระโสดาบัน อย่างไรเรียกว่า เห็นธรรม นั่นคือ เห็นขันธ์ห้า อารมณ์ทั้งปวง ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เห็นรูปกายนี้เป็นเพียงธาตุสี่ประชุมกัน เห็นเวทนา ความรู้สึกสุข ทุกข์ ความจำได้หมายรู้ (สัญญา) (ความคิด) สังขารและความรู้สึก (วิญญาณ) ไม่ใช่เราอีกต่อไป เป็นการเห็นด้วยตาในไม่ใช่คาดนึกเอา เวลาเห็น จิตมันจะแยกออกจากขันธ์ห้าออกมาตั้งมั่นอยู่ต่างหาก พระพุทธเจ้าจึงบอกว่า ผู้ใดเห็นทุกข์ (ขันธ์ห้า) ผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นจิต ผู้นั้นเห็นธรรม เมื่อเห็นจิตก็จะเห็นขันธ์ห้า อารมณ์ไม่ใช่จิตอีกต่อไป
การเห็นอย่างนี้อธิบายยาก มันเป็นปัจจัตตังจริงๆ มันคล้ายๆ กับเราไปเที่ยวงานวัด นั่งอยู่บนม้าหมุน หมุนไปกับม้า จนลืมตัวว่า ม้าคือเรา เราคือม้า พอวันหนึ่งเราโดดลงมาจากม้าได้ มายืนตั้งมั่นอยู่ ไม่หมุน ไม่วิ่งตามม้า เราแยกออกจากม้าหมุนมาได้ เห็นม้าไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ม้า ม้าก็คือขันธ์ห้า อารมณ์ที่จิตเรายึดมั่นว่าเป็นเรา เป็นเขาอยู่ทุกวันนั่นแหละ มันไปไหนเราไปด้วย ตามติดชิดกัน เพราะความยึดมั่น เพราะความเห็นผิด
ผมถึงบอกเสมอว่า วันใดแยกจิตออกจากอารมณ์ได้อย่างชัดแจ้งสักครั้ง จะเห็นว่า อารมณ์ทั้งปวง ความรู้สึกนึกคิดทั้งปวงจะถือเป็นเรา เป็นเขาไม่ได้ เกิดแล้วดับๆ ขณะที่เราผละจากหลังม้ามายืนอยู่ ขณะนั้นจิตเราผละจากอารมณ์มาตั้งมั่นอยู่ สมาหิโต ยถาภูตัง ปชานาติ เมื่อจิตตั้งมั่นย่อมเห็น (รูปนาม) ตามความเป็นจริง
อีกนัยหนึ่ง มันคล้ายๆ เหมือนเห็นน้ำไหลนิ่ง จะเห็น (ในจิตนะ) อารมณ์เกิดดับๆๆ เหมือนน้ำไหลอยู่ตรงหน้า แต่จิตเรานี้นิ่ง ตั้งมั่นอยู่ พอเห็นตรงนี้ผมถึงกลับไปอ่านหนังสือหลวงปู่ชาที่เคยเทศน์เรื่อง น้ำไหลนิ่งไว้ ตอนนั้นไม่เข้าใจ พอตอนหลังกลับไปอ่านหนังสือหลวงปู่ท่าน มันทะลุไปหมด การเห็นลักษณะนี้จะเกิดได้ย่อมเกิดจากการเจริญสติ เพื่อให้จิตหยุดอยู่กับรู้ เมื่อจิตหยุดอยู่กับรู้ได้วันใดจิตก็ตั้งมั่น มันก็จะแยกจากกันให้เห็น เหมือนสายน้ำขาดกลางอย่างไรอย่างนั้น พอออกจากตรงนั้นมา โลกนี้พลิกไปหมด เห็นคนไม่ใช่คน เป็นเพียงสังขารอันหนึ่ง
เมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ใหม่ พระองค์เสด็จไปเทศน์โปรดปัญจวัคคีย์ ท่านแสดงธรรมเรียกว่า ธัมมจักกัปปวัตนสูตรคือ การหมุนกงล้อแห่งธรรมให้บังเกิดในโลกนี้ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมื่อเสด็จไปถึง เหล่าปัญจวัคคีย์พูดกันว่า ดูโน่นแน่ะ พระสมณโคดมผู้มักมาก คลายความเพียรมาหาพวกเราแล้ว พวกเราอย่าต้อนรับเลย ตอนนั้นพระองค์ละการบำเพ็ญทุกรกิริยาไปบริโภคอาหาร แต่พอพระองค์เสด็จมาถึงด้วยพระบารมีทำให้เหล่าปัญจวัคคีย์ลืมตัวเผลอพากันต้อนรับ มีรับบาตร ล้างพระบาทให้ ปูอาสนะ แต่ก็ยังกล่าวสามหาวดูหมิ่นพระองค์ว่าเป็นผู้มักมาก พระองค์ให้สติว่า เราเคยพูดบ้างไหมว่า เราบรรลุอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ปัญจวัคคีย์ระลึกได้ว่า พระองค์ไม่เคยพูดแบบนี้เลยนี่น่าตั้งแต่รู้จักกันมา จึงพากันตั้งใจฟังพระธรรมที่แสดง ซึ่งผมมักจะเอามาแสดงบ่อยๆ เพราะเป็นเรื่องสำคัญที่สุดนั่นคือ ทางสายกลาง มัชฌิมาปฏิปทา
พระองค์ทรงแสดงเรื่อง ทางสองทางที่ไม่ควรเข้าไปข้องแวะ ทางหนึ่งคือสุข ทางหนึ่งคือทุกข์ จริงๆ พระองค์แสดงเรื่อง เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน แต่พระองค์บอกไหมว่านี่คือ เวทนานุปัสนาสติปัฏฐานนะ พระองค์ไมได้บอกเลย ชื่อก็สักแต่ชื่อเท่านั้น พระองค์แสดงเนื้อหาล้วนๆ ทางหนึ่งสุขคือ กามสุขัลลิกานุโยโค อีกทางคือ ความลำบาก ทุกข์ อัตตกิลมถานุโยโค สองทางนี้ไม่ควรเข้าไปข้องแวะ
แรกๆ ที่ผมเริ่มศึกษาคำสอนหลวงปู่ชา ผมก็สงสัยเหลือเกินว่า หลวงปู่ชาสอนเรื่องนี้มากๆ แทบทุกพระธรรมเทศนาเลย ตอนนั้นไม่เข้าใจ ไม่สนใจ รวมทั้งศิษย์ท่านมากมายก็ไม่สนใจคำสอนทำนองนี้ แต่นี่คือทางสายกลางจริงๆ ลองนึกดู วันๆ หนึ่ง ท่านต้องเผชิญอารมณ์สุขและทุกข์มากมายเพียงใด ความชอบใจ ความไม่ชอบใจ จิตท่านเคยเป็นกลางบ้างไหม มีแต่จะวิ่งไหลตามกระแสอารมณ์ไป พระองค์ก็เทศน์เกี่ยวกับข้อปฏิบัติที่เป็นกลางคือ มัชฌิมาปฏิปทาคือ มรรคมีองค์แปด เริ่มด้วยความเห็นชอบ เห็นว่า อารมณ์ทั้งทุกข์และสุขไม่ควรเข้าไปหมายมั่น ตรัสเรื่องอริยสัจสี่ที่พระองค์ตรัสรู้ ขณะนั้นเองท่านโกณฑัญญะก็ส่งกระแสจิตตามคำสอนเรื่องทางสายกลางดังกล่าว จนจิตละจากอารมณ์ทั้งสองมาตั้งมั่นอยู่ เห็นอารมณ์ทั้งสุขและทุกข์เกิดดับเหมือนน้ำไหลอยู่ตรงหน้า เห็นอารมณ์เกิดเป็นธรรมดาแล้วก็ดับไปเป็นธรรมดา จะถือเป็นเราไม่ได้เลย เรานี่คือจิตที่แยกออกมาตั้งมั่นอยู่ ภาษาบาลีคือ ยังกิญจิ สะมุทะยะธัมมัง สัพพันตัง นิโรธะธัมมันติ สิ่งใดเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา พระโกณฑัญญะเห็นอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด เกิดดับๆ อยู่ เห็นตนเองคือจิตตั้งมั่นอยู่ พระพุทธเจ้าจึงอุทานออกมาว่า โกณฑัญญะรู้แล้วหนอๆ รู้อะไร รู้ว่า ขันธ์ห้า อารมณ์ทั้งปวงที่เราเห็นว่า เป็นเรา เป็นเขา แท้จริงหาใช่เรา ใช่เขาไม่ เป็นสังขารที่ปรุงแต่งออกมาจากจิตแต่จะถือเป็นจิตมิได้เลย
ผมเคยยกตัวอย่างเรื่องโทสะ (สังขารอย่างหนึ่ง) เหมือนคราบงูกับงูฉะนั้น เพราะเห็นชอบ (สัมมาทิฏฐิ) จิตก็สลัดตัวเองออกมาตั้งมั่น (สัมมาสมาธิ) พระพุทธเจ้าแสดงในภายหลังว่า พระโกณฑัญญะเกิดธรรมจักษุคือ ดวงตาเห็นธรรม เกิดโสดาปัตติมรรคญาณ นี่คือความหมายของการเห็นธรรม ดวงตาเห็นธรรม โสดาปัตติผล ตามพระไตรปิฎกบอกว่า ขณะที่พระพุทธเจ้าแสดงปฐมเทศนานั้น มีมนุษย์เพียงคนเดียวคือ พระอัญญาโกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรม แต่พาเอาท้าวมหาพรหมจำนวน ๑๘ โกฏิ ได้ดวงตาเห็นธรรม เป็นพระโสดาบันตามไปด้วย
หลวงปู่ดูลย์บอกว่า ในข้าวเปลือกเมล็ดหนึ่งบรรจุเทวดาได้แปดองค์ อย่างที่ผมเคยถามท่านว่า จิตของมดกับช้าง ใครใหญ่กว่ากัน หรืออย่างเล็นเล็กๆ ตัวหนึ่ง นั่นก็จิตดวงหนึ่งแล้วนะ เมื่อพระอัญญาโกณฑัญญะขอบวช ท่านก็ไปบิณฑบาตหาอาหารมาถวายพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ก็ทรงสอนคนที่เหลือ ต่อมาพระวัปปะและพระภัททิยะก็ได้ดวงตาเห็นธรรม ทั้งสามก็ไปบิณฑบาตหาอาหารมาถวายพระพุทธเจ้าและพระปัญจวัคคีย์ที่เหลือคือพระมหานามะและพระอัสสชิ ต่อมาที่เหลือก็บรรลุโสดาบันได้ดวงตาเห็นธรรมทั้งหมด นั่นแหละพระองค์จึงทรงแสดงพระธรรมเทศนาอนัตตลักขณสูตร พระสูตรว่าด้วยขันธ์ห้า อารมณ์ทั้งปวงเป็นอนัตตา อย่างที่ผมบอก ทรงสอนเรื่องอนัตตาเพื่อให้เห็นว่า ขันธ์ห้า รูป นาม อารมณ์ทั้งปวง มีสภาพไม่เที่ยง ทนอยู่ไม่ได้ เป็นทุกขัง หาสาระแก่นสารที่แท้ไม่ได้เลย เมื่อเห็นเช่นนี้ ควรหรือที่จะหมายมั่นว่า นั่นเป็นของเรา รูปเอย เวทนาเอย สัญญาเอย สังขารเอย (ความคิดปรุงแต่ง) วิญญาณเอย (ความรู้แจ้งทางอารมณ์) มีสภาพเกิดแล้วดับๆ ควรจะถือว่า เป็นของเราได้หรือไม่ พระปัญจวัคคีย์ได้ฟังเช่นนั้นจิตท่านก็เบื่อหน่ายในรูป เวทนา สัญญา สังขารและวิญญาณ เมื่อเบื่อหน่าย (นิพพิทา) ก็คลายกำหนัด (ความอยาก วิราคะ) แล้วจิตของทุกท่านก็หลุดพ้น (วิมุต) พระสาวกเหล่านั้นก็ทราบโดยญาณว่า บัดนี้ชาติคือการเกิดสิ้นแล้ว พรหมจรรย์จบแล้ว กิจที่ควรทำได้เสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้ไม่มีอีกแล้ว
วันนี้วันอาสาฬหบูชา เป็นวันตั้งต้นพระพุทธศาสนา มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เกิดขึ้นในโลก พระสงฆ์รูปแรกคือ พระโกณฑัญญะ คำว่า พระสงฆ์จริงๆ หมายถึง อริยสงฆ์ชั้นพระโสดาบันขึ้นไป นอกนั้นเป็นสมมติสงฆ์ทั้งสิ้น ดวงตาเห็นธรรมหรือพระโสดาบันนี้ยังละกิเลสอะไรไม่ได้เลย เช่น นางวิสาขา พระเจ้าพิมพิสาร ยังมีรัก โลภ โกรธ หลงครบ เพียงแต่เห็นว่า อะไรเป็นอะไรคือ เห็นขันธ์ห้าไม่ใช่เรา ไม่ใช่ใครอีกต่อไป ละสังโยชน์เบื้องต้นได้สามอย่างคือ สักกายทิฏฐิคือ ความเห็นที่ว่า ขันธ์ห้าเป็นตัวเป็นตนนี่แหละ วิจิกิจฉา ความสงสัยในคำสอนพระพุทธเจ้าไม่มี และละสีลัพพตปรามาส สีลัพพตปรามาสคือ การลูบคลำศีลและข้อปฏิบัติ หมายความว่า จะไม่ถือศีลแบบลูบๆคลำ ถือบ้างไม่ถือบ้าง ศีลห้าจะครบโดยอัตโนมัติ เจตนาที่จะคิดฆ่า ทำร้ายใคร ลักทรัพย์ใคร ผิดลูกเมียใคร โกหก กินเหล้าเมายา หมดไปโดยอัตโนมัติ ก็มันเห็นชัดแล้วนี่ว่า ที่เห็นเป็นคน เป็นใคร มันไม่ใช่คน ไม่ใช่ใคร แล้วจะฆ่า ทำร้ายไปทำไม มีโทสะอยู่ แต่ไม่มีพยาบาท
ส่วนพระอริยบุคคลเหนือขึ้นมาหน่อยคือ พระสกิทาคามี พระโสดาบันที่กิเลสเบาบางลงเยอะมากแล้ว พระโสดาบันนี้เกิดอีกไม่เกินเจ็ดชาติขึ้นอยู่กับว่าเป็นประเภทไหน (มีปลีกย่อยอีก) ขึ้นมาอีกหน่อยคือ พระอนาคามี อันนี้ละสังโยชน์ได้อีกสองตัวคือ ราคะและโทสะ ส่วนสังโยชน์ที่เหลืออีกห้าตัวคือ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะและอวิชชา เมื่อละได้ ก็จะเป็นพระอรหันต์ อันนี้ฟังผ่านๆ ไป อย่าไปให้ความสำคัญมากนัก เอาแค่ดวงตาเห็นธรรมก่อน
อีกเรื่องหนึ่งคือ เรื่องสังขาร บางท่านอาจจะยังงงๆ อยู่ว่ามันคืออะไร สังขารคือ ความปรุงแต่ง อะไรที่ปรุงแต่งเรียกว่า สังขาร ขันธ์ห้าเป็นสังขารคือ เป็นเรื่องที่จิตปรุงแต่งขึ้นมา จิตใจไม่ใช่สังขาร บทสวดมนต์ที่แปลว่า สังขารคือ ร่างกาย จิตใจ จึงไม่ถูก ธรรมทั้งปวงไหลมาแต่เหตุ เหตุคือ การปรุงแต่งของจิตทั้งสิ้น แต่คำว่า สังขารในขันธ์ห้าหมายถึง ความคิดปรุงแต่ง ขันธ์ห้าประกอบด้วยรูปกาย เวทนา สัญญา สังขาร สังขารนี้แหละคือความคิดปรุงแต่ง คนสมัยนี้เข้าใจผิดและสอนผิดเป็นอันมาก ไปหลงว่า ความคิดคือจิต แท้จริงความคิดเป็นการปรุงแต่งของจิตอย่างหนึ่งเท่านั้นเอง หาใช่จิตไม่ วันใดเห็นธรรมก็จะเห็นความคิดแยกออกไปจากจิตให้เห็นอย่างชัดแจ้ง หายสงสัย หลวงปู่ดูลย์จึงบอกว่า คิดเท่าไรก็ไม่รู้ จะรู้เมื่อหยุดคิด เพราะทันทีที่หยุดคิด จิตจะหยุดปรุงแต่ง จิตจะตั้งมั่นอยู่ แต่จะเห็นความคิดที่จิตปรุงแต่งไว้เป็นขันธ์อยู่ต่างหาก ถ้าเราเห็นแบบนี้ได้ เราจะไม่ฟุ้งซ่านมากนัก เพราะเมื่อเห็นแล้ว พอมีสติก็หยุดคิดทันที
มีครั้งหนึ่งฟังเทศน์หลวงปู่ชา ชอบมาก ท่านเทศน์ว่า มีญาติโยมผู้หญิงจากกรุงเทพฯ หลายคนไปทำบุญที่วัดหนองป่าพง ไปเจอโครงกระดูกที่วัดแขวนไว้ในตู้กระจกก็ตกใจร้องวี้ดว้ายกันใหญ่ ท่านบอกจะตกใจทำไม ทุกคนก็มีโครงกระดูกแบกกันอยู่คนละโครงทั้งนั้น เหมือนตกใจกลัวตัวเอง หรือมีพระรูปหนึ่งนั่งสมาธิเห็นตัวเองชาติก่อนนั่งตายอยู่ที่โพรงไม้ที่วัดหลวงขุนวิน เชียงใหม่ จึงเดินทางมาดู พอรื้อป่าที่รกชัฏออก ก็พบโครงกระดูกของตนนั่งอยู่จริงๆ อยู่ในโพรงไม้นั้น เห็นไหมครับ มันเป็นเรา ของเราจริงหรือเปล่า ถ้าเป็นเรา ของเราจริง แล้วที่ยืนมองโครงกระดูกนั้นอยู่เป็นใคร ไม่มีใครทั้งนั้นแหละเป็นการปรุงแต่งของธาตุทั้งนั้น ถึงเวลาก็เสื่อมดับไปหาแก่นสารอะไรไม่ได้สักอย่าง
ส่วนเวทนาก็คือ ความสุข ความทุกข์ จะถือเป็นเรา เป็นใครได้ที่ไหน มาแล้วไปๆ สุขและทุกข์สลับอยู่อย่างนี้ สัญญาคือความจำได้หมายรู้ เราวางของไว้ เผลอแผล็บเดียว ลืมแล้ว วางไว้ที่ไหน สังขารคือ ความคิดปรุงแต่งเล่า คิดเรื่องนั้นๆ ก็ดับไป เรื่องใหม่ก็มาแทน คิดอีก ก็ดับอีก คิดเรื่องใหม่อีก จิตไม่เคยหยุดคิดเลย ความคิดเป็นความเพลิดเพลินอย่างหนึ่งแต่เป็นกิเลสอย่างยอด บางคนติดอยู่ในกับดักความคิดของตนเอง เป็นทาสของความคิด เช่น คนสมัยก่อนคิดจะไปยึดเมืองนั้น เมืองนี้ คิดจะเป็นเจ้าครองโลกแบบนโปเลียน เจงกิสข่าน สร้างบาปสร้างกรรมมากมายเหลือเกิน เพราะต้องข้ามศพไม่รู้กี่ล้านศพกว่าจะได้เป็นเจ้า หลงภูมิใจกับความยิ่งใหญ่ของตัวเองอยู่สี่ห้าปีแล้วก็ตายไปตกนรกอเวจี รับกรรมที่ฆ่าคนมากมายหลายแสนปี ไม่ฉลาดเลย สุขทางโลกอยู่ไม่กี่ปี แต่ทุกข์อยู่ในมหานรกเป็นแสนๆ ปี จึงต้องระวังความคิดให้ดี ต้องรู้เท่าทันมัน
หลวงปู่ชาชอบสอนมากว่า อยู่คนเดียวให้ระวังความคิด อยู่กับมิตรให้ระวังวาจา จริงๆ มันมาแล้วก็ไปเหมือนเวทนานั่นแหละแต่เพราะเราเห็นมันเป็นตัวเป็นตน เป็นเรา ของเรา จึงตะครุบคว้าฉวยเข้าทุกที ความคิดหรือดำรินี่แหละที่เป็นที่มาของกิเลส ราคะ โทสะ พระพุทธเจ้าจึงบอกว่า ตัณหาเกิดจากการดำริ (คิด) ของเราเอง
คำว่า ตัณหานี้ก็เหมือนกัน บางทีผมใช้แบบอัตโนมัติ บางคนเข้าใจไปในเรื่องนั้น เรื่องนี้ก็มี คำว่า ตัณหาไม่ได้หมายถึงเรื่องกามอย่างเดียว คนสมัยนี้เข้าใจผิดกันมาก ตัณหานี้หมายรวมถึงโลภ ราคะ โทสะ แบ่งเป็นกามตัณหาคือ ความอยากในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส (โผฏฐัพพะ) คนที่ชอบฟังเพลง ดมกลิ่นดอกไม้หอมๆ กินของอร่อยๆ เรียกว่า มีกามตัณหาทั้งสิ้น ภวตัณหา คือความอยากเป็นนั่น เป็นนี่ อยากเป็นรัฐมนตรี สส. วิภวตัณหาคือ ความไม่อยากเป็นนั่น เป็นนี่ คือ โทสะนั่นแหละ ทั้งรูป เวทนา สัญญา สังขาร รวมความแล้ว จะถือเป็นเรา เป็นเขาไม่ได้
บางทีพระพุทธเจ้าสอนคนเรื่องเวทนาเรื่องเดียว สอนเรื่องกายเรื่องเดียว สอนเรื่องสัญญาเรื่องเดียว หรือสังขารเรื่องเดียว หรือวิญญาณเรื่องเดียว คนก็ได้ดวงตาเห็นธรรม เพราะเขาโยนิโสมนสิการเป็น คือ การทำใจไว้ให้แยบคาย หมายความว่า เมื่อเห็นอย่างหนึ่ง เช่น เห็นกายนี้ไม่เที่ยง ถือเป็นเรา เป็นเขาไม่ได้ ก็โยนิโสมนสิการน้อมใจไปถึงขันธ์ที่เหลือ เรียกว่า เห็นอย่างหนึ่งก็จะเห็นที่เหลือทั้งหมด มันเป็นขณะจิตหนึ่งจริงๆ แต่เป็นขณะจิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
วิญญาณูปาทานักขันโธ ความยึดมั่นในวิญญาณนี่คือทุกข์ วิญญาณคืออะไร บางคนเข้าใจว่าคือ ภูติผี นั่นก็อาจจะเป็นความหมายหนึ่งได้ แต่ไม่ถูกต้อง วิญญาณคือ ความรู้แจ้งทางอารมณ์ที่มากระทบใจ วิญญาณไม่ใช่จิต จิตไม่ใช่วิญญาณ แต่วิญญาณก็ออกมาจากจิตและเป็นสังขารที่อยู่ใกล้ชิดกับจิตมากที่สุดในบรรดาขันธ์ทั้งปวง ท่านเคยดูมายากลพันหน้าของจีนไหม เขาจะเปลี่ยนหน้าไปมากมายเหลือคณานับ หน้าเดิมนั่นคือจิต หน้าที่ติดกับหน้าเดิมนั่นแหละคือ วิญญาณ ตามพระไตรปิฎกบอกว่า วิญญาณมีหกอย่าง เช่น ตาเห็นรูป ก็เกิดจักขุวิญญาณคือ ความรู้แจ้งทางตา ซึ่งตอนแรกผมงงมากๆ ถ้าไม่เห็นธรรม จะไม่มีวันเข้าใจเรื่องนี้เลย เพราะที่เห็นมันมีวิญญาณเดียวไม่ใช่หกนี่นา ภายหลังไปอ่านคำสอนหลวงปู่ชาๆ ก็บอกว่า มีวิญญาณเดียว ตอนเห็นมันรู้แจ้งที่ใจไม่ว่าจะเป็นตาเห็นรูป หูได้ยินเสียงก็รู้ที่ใจหมด แต่เขาเขียนแยกไปเป็นวิญญาณทางตา ทางหู ทางจมูก (คือ รู้ทางตา หู จมูก) เพื่อให้เห็นช่องทางที่รับรู้เท่านั้นเอง
ทีนี้… ช้าๆ นะครับ ผมจะทำให้ท่านรู้จักวิญญาณของท่านนะ ใครที่ไม่เคยสัมผัสวิญญาณตัวเอง วันนี้จะได้สัมผัสล่ะ ขอให้ท่านหายใจเข้าลึกๆ หลายๆ ครั้ง เมื่อตาเห็นรูป เกิดจักขุวิญญาณ หูได้ยินเสียง เกิดโสตวิญญาณ จมูกได้กลิ่น เกิดฆานวิญญาณ ลิ้นสัมผัสรส เกิดชิวหาวิญญาณ กายสัมผัสโผฏฐัพพะ (สิ่งที่มากระทบกาย) เกิดกายวิญญาณ ธรรมารมณ์กระทบใจ เกิดมโนวิญญาณ นี่คือทฤษฎีที่ว่าไว้ ทฤษฎีอย่างหนึ่ง ปฏิบัติผลที่ได้ก็อีกอย่างหนึ่ง เมื่อลมกระทบรูจมูก ขณะที่เราหายใจ เรารู้สึกได้ ความรู้สึกได้นี่แหละคือ วิญญาณ เป็นกายวิญญาณ มันเหมือนจะรับรู้ที่รูจมูก ผมกำลังจะไขปริศนาความลับในคืนที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ให้พวกท่านฟัง เมื่อหายใจเข้า (พวกเราลองทำดู) พระองค์ไม่ส่งจิตตามลมไป เมื่อหายใจออก พระองค์ไม่ได้ส่งจิตตามลมออกมา พระองค์เพียงแค่อยู่กับความรู้สึกที่ลมมากระทบเข้า กระทบออก นั่นคือ พระองค์เอาวิญญาณคือ ความรู้สึก อันเป็นขันธ์ห้าอันหนึ่ง (อันสุดท้าย) มาเรียนรู้ขันธ์ห้า ซึ่งต่อมาทรงบัญญัติใหม่เพื่อความง่ายต่อการสอนว่าคือสติ หลวงปู่ชาจึงบอกว่า วิญญาณคือผู้รู้ คือตัวรู้ ตัวรู้ออกมาจากจิตซึ่งตอนแรกผมอ่านแล้วงงมากๆ พอเห็นจึงหายงง
เมื่อจิตเราหรือพระองค์อยู่กับรู้ลมเข้า ลมออกมากเข้าๆ จิตกับรู้ก็รวมตัวตั้งมั่นแยกจิตออกมาจากลม จากอารมณ์ทั้งปวงได้ วิญญาณคือความรู้สึกรู้แจ้งทางอารมณ์ คนละอันกับความรู้สึกสุขหรือทุกข์นะครับ ความรู้สึกที่เป็นความรู้แจ้งทางอารมณ์นี้ท่านลองสังเกตเวลาหายใจเข้าแล้วรู้สึกสิ มันมีลักษณะกลางๆ ไม่ซ้าย ไม่ขวา ไม่ขึ้น ไม่ลง แต่สงบ ความรู้สึกนี้ก็คือ ความรู้สึกตัวทั่วพร้อม คือสติ อันเดียวกันนั่นแหละ
ปริศนาของพระพุทธเจ้าคือ ท่านเอาขันธ์ห้า (วิญญาณ) มาเรียนรู้ขันธ์ห้า และนำพาจิตของพระองค์ออกจากความยึดมั่นในขันธ์ห้าได้ในที่สุด ความรู้แจ้งทางอารมณ์มีอย่างเดียวคือที่ใจ แต่รู้แจ้งทางตาก็เรียกอย่างหนึ่ง ทางจมูกก็เรียกอย่างหนึ่ง วิญญาณทั้งหกนี้อุปมาเหมือนเมืองที่มีทวารประตู 6 ประตู แล้วเรามียามเฝ้าแต่ละประตูไว้ พอใครผ่านเข้ามา ยามก็วิ่งมาบอกเรา (ใจ) เหมือนแมงมุงสร้างใยตาข่ายไว้ พอแมลงอื่นบินมากระทบติดใย ตาข่ายก็สั่นสะเทือนส่งสัญญาณไปให้แมงมุมรับรู้
ผมกำลังจะบอกว่า จริงๆ แล้ว เมื่อตาเห็นรูป ไม่ได้เกิดจักขุวิญญาณ อย่างที่เขาเขียนสอนกันไว้ วิญญาณนั้นจิตมันสร้างปรุงแต่งไว้ แล้วก็สร้างบรรดาประสาทคือ อวัยวะรับรู้ไว้เชื่อมระหว่างกายและใจ เช่น ทางตาก็เรียกจักขุประสาท เชื่อมกับจักขุวิญญาณที่เป็นนาม ทำหน้าที่รับรู้ เวลาตาเห็นรูป มันแค่ทำหน้าที่เท่านั้นเอง เหมือนใยแมงมุมทำหน้าที่สั่นสะเทือนให้แมงมุมรับรู้นั่นแหละ
คำถามง่ายๆ เลย ถ้าตาเห็นรูปแล้วเกิดจักขุวิญญาณ แล้วทำไมตาคนตายที่เบิกโพลงจ้องมองเพดานอยู่ จึงไม่เกิดความรับรู้ใดๆ เพราะวิญญาณที่จะรับรู้ของคนตายคนนั้นออกจากร่างนั้นไปแล้ว จิตก็ไปกับวิญญาณเพราะเห็นผิดว่า วิญญาณคือจิต คือเรา ของเรา จิตกับวิญญาณจะมีลักษณะเหมือนกันมากจึงง่ายที่จะหลงเข้าใจว่า วิญญาณคือเรา จิตเดิมเป็นธาตุรู้ วิญญาณก็คือตัวรู้ (ที่จิตปรุงแต่งมา) มันมีลักษณะคือรู้เหมือนกัน ที่หลวงตามหาบัวเกิดความรู้ผุดขึ้นว่า (ตอนนั้นบรรลุอนาคามี ยังไม่อรหันต์) ถ้ายังมีต่อมผุ้รู้อยู่ก็ยังมีภพคือ การเกิดที่นั่น ผู้รู้นี่แหละคือวิญญาณ จิตท่านยังละไม่ได้เพราะยังเห็นผิดว่าวิญญาณคือจิตอยู่ ซึ่งเป็นขั้นสุดท้าย พอละได้ ก็บรรลุอรหัตผล
เดี๋ยวจะลึกเกินไป เอาเป็นว่า วิญญาณคือความรู้สึกนี้ จิตก็ปรุงแต่งขึ้นมาเหมือนกัน เมื่อปรุงแต่งก็ต้องเสื่อมต้องดับ อย่างลมหายใจเข้า สัมผัสกายคือจมูก ลองหายใจเข้าดู จะเกิดความรู้สึกขึ้นทันที (จริงๆ จิตมันปรุงแต่งไว้รอแล้ว) เมื่อเราสูดลมหายใจเข้า ความรู้สึกก็เกิดครั้งหนึ่ง เมื่อหายใจออกไป ความรู้สึกที่ลมกระทบขณะหายใจเข้าก็ดับไป เกิดความรู้สึกใหม่ขึ้นมาแต่มันไวมาก จนดูไม่ออกว่ามันดับ มันเกิด นี่เรียกว่า วิญญาณก็ไม่เที่ยง หรืออย่างตาเห็นรูปแว้บหนึ่ง เกิดจักขุวิญญาณ พอหูได้ยินเสียง จักขุวิญญาณนั้นก็ดับไป เกิดโสตวิญญาณขึ้นมาแทน อย่างนี้เป็นต้น ก็เหมือนกับรูป เวทนา สัญญา สังขาร นั่นแหละ สิ่งใดไม่เที่ยง เกิดแล้วดับไป จะพึงถือเป็นเรา ของเราได้หรือไม่เล่า ไม่ได้หรอก แม้วิญญาณคือความรู้แจ้ง ไม่ว่าจะทางตา หู จมูก ลิ้น กาย หรือใจ ก็ต้องดับไป ฝืนธรรมชาติไม่ได้ จึงควรละความยึดมั่น ถือมั่นนั้นเสีย
จริงๆ การหายใจเข้าออกนี่จะเห็นรูป นาม ขันธ์ห้าครบเลย หายใจเข้า ลมหายใจเข้า คือรูปเกิดแล้ว ความรู้สึกสบาย ผ่อนคลายเพราะหายใจเข้าคือ สุขเวทนาเกิดแล้ว เรียกว่า ลมหายใจเข้าคือสัญญา ความคิดที่จะหายใจเข้าออกคือ สังขาร เมื่อลมมากระทบโพรงจมูก เกิดกายวิญญาณแล้ว เห็นไหมครบเลย พอหายใจเข้านานๆ เริ่มทุกข์แล้ว ไม่เชื่อลองกลั้นลมหายใจไว้สิ มันทุกข์แล้ว สุขเวทนาที่เกิดตอนหายใจเข้าเมื่อตะกี้ดับไปแล้ว ตอนนี้กลายเป็นทุกขเวทนาเกิดขึ้นมาใหม่แล้ว จำต้องหายใจออกแล้ว พอหายใจออก ลมที่หายใจเข้า (รูป) ก็ดับไป เห็นไหม พอหายใจออกได้ก็ผ่อนคลาย (แบบถอนหายใจนั่นแหละ) เกิดสุขเวทนาอีกแล้ว อันนี้เรียก ลมหายใจออก สัญญาอีกแล้ว ความคิดที่จะต้องหายใจออก สังขารอีกแล้ว ความรู้สึกขณะลมเคลื่อนตัวผ่านจมูกออกไปเกิดใหม่แล้ว ความรู้สึกเดิมที่ลมเข้ามาดับไปแล้ว หายใจออกสักพัก ไม่หายใจเข้า อ้าว ! อึดอัด ทุกขเวทนาเกิดอีกแล้ว ต้องหายใจเข้าอีก เห็นไหมรูปนาม ขันธ์ห้า อารมณ์เกิดดับอยู่ตรงลมหายใจวันหนึ่งนับไม่ถ้วน ผมถึงเคยพูดว่า นิพพานไม่ต้องไปหาที่ไหนหรอก อยู่ที่ปลายจมูกเรานี่เอง ความสุขที่แท้จริงที่เราค้นหา แสวงหากันมากมายอยู่ที่นี่ อยู่ที่กายที่ใจเรานี่แหละ ให้มีสติพิจารณากาย (ไม่ว่าจะเป็นกายเนื้อหรือกายลม) ให้เห็นเป็นของไม่เที่ยง ให้มีสติพิจารณานามคือ ความรู้สึกนึกคิด อารมณ์ทั้งปวง หรือแม้แต่ “ความรู้แจ้งทางอารมณ์” ทั้งปวงว่า “เป็นของไม่เที่ยง” ทำอยู่แค่นี้แหละ สักวันหนึ่ง ท่านจะสามารถแยกจิตออกจากอารมณ์ จากขันธ์ เห็นรูป นาม ขันธ์ห้า อารมณ์ เกิดเป็นธรรมดาและดับเป็นธรรมดา ได้ดวงตาเห็นธรรมแบบพระอัญญาโกณฑัญญะอย่างมิต้องสงสัย
ธรรมที่แสดงในวันนี้มันก็ไหลมาเอง ตอนจะแสดงในเบื้องต้นยังไม่รู้เลยว่า จะเริ่มต้นอย่างไร จบอย่างไร ทุกอย่างเป็นธรรมชาติของจิตของใจทั้งสิ้น ไม่รู้เหมือนกันเอาอะไรมาสนทนากับท่านมากมายเพียงนี้