นิพพานพรหม

แสดงธรรม กลุ่มสายธารธรรม เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2561
ผู้ปฏิบัติ : ข้อธรรมของท่านทรงกลดที่ว่า “หลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป เล่าว่า ท่านได้เคยถามหลวงปู่เทสก์ ในเรื่องของการนั่งสมาธิว่า เวลาที่ท่านนั่งสมาธิ จิตของท่านจะดิ่งลงลึกโดยที่ตัวท่านเองก็ไม่ทราบว่า จิตอยู่ที่ไหน หลวงปู่เทสก์จึงได้ชี้แจงว่า อาการเช่นนี้เขาเรียกว่า “นิพพานพรหม” เป็นอาการที่จิตดับจนกระทั่งไม่ได้ยินเสียง ไม่รับรู้อะไรจากภายนอก ถ้าไม่แก้ไข ผู้นั้นก็จะคิดว่า ตนเองได้พบพระนิพพานและจะไปไหนไม่รอด ดังนั้นผู้ที่ภาวนาแล้วสติดับ โลกดับ อายตนะการรับรู้ทางใจดับหมดแล้ว คิดว่า ตนบรรลุธรรมแล้ว ขอให้พึงสังวรและระวังกับดักภาวนาตรงนี้ให้จงดี การภาวนาใดไม่มีสติกำกับ การภาวนานั้นย่อมหลงทางอย่างแน่นอน”
จากข้อธรรมของท่านดังกล่าว สงสัยว่า นิพพานพรหม คือ อรูปฌาน ๔ ในสมถะ ๔๐ แบบเดียวกับอาฬารดาบสและอุทกดาบส ใช่ไหมครับ
ท่านทรงกลด : ใช่ สาธุ นิพพานพรหม จะไม่เหลืออะไรให้รับรู้ พระพุทธเจ้าจึงไม่รู้จะสอนอะไรอาจารย์ทั้งสองนั้น อันนี้ก็อันตรายเหมือนกัน พวกภาวนาแล้วทุกอย่างหายหมด สูญหมด ไม่เหลืออะไรเลยสักอย่าง ถ้าภาวนาถูกต้องจะต้องเหลือสติบริสุทธิ์หรือจิต เพราะสิ่งที่หลุดพ้นก็คือ จิตนี่เอง หลุดพ้นจากอุปาทานในขันธ์ห้า อารมณ์
คำสอนที่ถูกต้อง ต้องเป็นไปตามโอวาทธรรมของหลวงปู่แบน ธนากโร ที่กล่าวว่า “จิตเป็นประโยชน์ จิตเป็นสิ่งที่มีคุณค่าแก่สัตว์โลกทุกรายๆ แต่สัตว์โลกไม่สนใจจิตของเจ้าของเอง จิตของผู้ไม่สนใจจิตนั้น จะไม่มีประโยชน์แก่ผู้มีจิตนั้น คำว่าศีล ก็คือ จิตนั่นแหละเป็นศีล คำว่าสมาธิ ก็คือ จิตนั่นล่ะเป็นสมาธิ คำว่าปัญญา ก็คือ จิตนั่นล่ะเป็นปัญญา คำว่า พระนิพพาน ก็คือ จิตนั่นล่ะ เป็นพระนิพพานหรือวิมุตติจิต วิมุตติธรรม ก็คือ จิตนั่นล่ะ เป็นตัววิมุตติธรรม”
วิมุตติจิต วิมุตติธรรม พระพุทธเจ้าก็บอกแบบนี้ หลวงปู่มั่นก็บอกแบบนี้ หลวงปู่ชา หลวงปู่ดูลย์ เมื่อถึงจิตก็พูดเหมือนกันหมด ถ้าสูญหายหมด ไม่เหลืออะไร ไม่มีตัวตนอะไร ก็คือ นิพพานพรหมดีๆ นี่เอง เราจึงเตือนให้ระวัง เหมือนอย่างคนหนึ่งส่งมาให้อ่านว่า ขณะบรรลุธรรม สติดับ ทุกอย่างดับหมด ตอนบรรลุ ตอนรู้ สติจะต้องเด่นชัดที่สุด จึงจะรู้ ถ้าสติดับ ไม่มีทางจะรู้อะไรเลย พอฟังไปสักหน่อย ก็เห็นแจ้งชัดว่า ไม่รู้อะไรจริงๆ จึงเลิกฟัง แต่คนไม่รู้จำนวนมากก็เชื่อไปแล้วว่า เธอผู้นี้บรรลุธรรม
แต่ก่อนเราก็ติดความสงบ พอจิตไม่สงบ ก็ทุรนทุราย แต่พอมาฝึกสติที่ถูกต้อง สัมมาสติหรือสติปัฏฐานสี่ มันไม่เหมือนกัน จิตไม่ทุรนทุรายเหมือนก่อน เพราะมีสติอยู่ตลอด มันก็สงบอยู่ได้ด้วยสติ สงบแม้ลืมตา จะเป็นวันจันทร์ วันอังคาร วันไหนๆ มันก็สงบ ไม่ต้องรอวันเวลานั่งหลับตาแบบเก่าก่อน ทำให้เข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าที่บอกว่า สติเป็นเครื่องกางกั้นกิเลส แต่ก่อนเราหนีกิเลส ไปซุกอยู่ แถมไม่ได้หนีได้ด้วยตนเอง หนีเพราะมีคนชักนำจิตให้หนีก็มี
สรุปว่า สมาธิที่หนีกิเลส ไม่ใช่สมาธิของพระพุทธเจ้า อย่างที่หลวงปู่ชาสรุปว่า ไม่ใช่ให้กิเลสหนีเรา หรือเราหนีกิเลส แต่จงอยู่กับมันอย่างรู้เท่าทัน เหมือนใบบัวอยู่กับน้ำ แต่น้ำก็หาทำอะไรใบบัวได้ไม่
ท่านใดมีอะไรจะถาม ก็ได้นิดหนึ่งนะ แสดงมากไป เดี๋ยวจะเบื่อกันเสียก่อน แต่ก่อนก็ขำเพื่อนคนหนึ่งเหมือนกัน บอกว่าออกแสดงอาทิตย์ละสองครั้งก็พอ ออกทุกวัน เดี๋ยวจะหมดภูมิเสียก่อน นี่ก็สามปีแล้ว ไม่เห็นจะหมดเลย จะพูดตื้นก็ได้ จะพูดลึกก็ได้ แต่ลึกจะไม่เข้าใจ นานๆ จะแสดงที
เราก็แสดงตามภูมิธรรมที่ลึกซึ้งไปตามสภาวะจิตของเรานี่เองไม่ใช่ใดอื่น อย่างน้องคนหนึ่งบอกว่า หลวงปู่หลวงพ่อ ไม่ได้เรียนอะไรมามาก แต่ก็มีอะไรมาสอนมากมาย ก็บอกไปว่า ธรรมอยู่ที่ใจ เมื่อพบใจก็พบธรรมอย่างที่หลวงปู่ดูลย์บอก พระธรรม ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ออกมาจากจิตดวงเดียว พบจิตแล้ว ก็พบธรรมที่นั่นแหละ แล้วมันก็ไหลออกมาจริงๆ ดังที่พวกท่านเห็นอยู่ บางอย่างก็ไม่เคยรู้ พอมีใครถามมา มันก็ออกมาเองตอนนั้นเลย บอกไม่ถูกเหมือนกัน ออกมาแบบไม่ต้องคิดนะ มัน “โพล่ง” ออกมาเอง