ถาม-ตอบ

สภาวะจิตหนึ่ง ต้อง “เห็น”  จึงสิ้นสงสัย

 

แสดงธรรม กลุ่มสายธารธรรม เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2561

 

“จิตหนึ่งเป็นจิตพระอรหันต์ ไม่ใช่จิตธรรมดาหรอก จิตโสดาบัน สกทาคามี อนาคามี ยังไม่เป็นจิตหนึ่งเลย  ยังเป็นแค่แว้บเดียว 

(จิตหนึ่ง) คือ สภาวะที่เราภาวนาไปจนลด ละ กิเลสหมดนะ จิตไม่ยึดถืออะไรสักอย่างเดียว แล้วก็ละกิเลสสำคัญคือ ละอวิชชาได้ พอละอวิชชาแล้ว ก็รู้แจ้งแทงตลอดในขันธ์ รวมทั้งในตัวจิตผู้รู้  จิตผู้รู้ก็อยู่ในขันธ์ นั่นแหละ พอรู้แจ้งแทงตลอดในตัวจิตผู้รู้แล้ว มันวางตัวจิตผู้รู้ลง แล้วก็ไม่หยิบฉวยอะไรขึ้นมาอีก

  บางคนภาวนานะ มันวางจิตลงไปแล้วแว้บเดียว อยู่ไม่นาน มันก็หยิบจิตขึ้นมาอีกในเวลาอันสั้นเลย  ถ้าเราภาวนาจนล้างอวิชชาไปนะ มันจะไม่ไปหยิบฉวยจิตขึ้นมาอีก อันนั้นแหละ ธรรมชาติรู้ที่เหลืออยู่  ไม่ใช่ธรรมชาติรู้ธรรมดานะ  เป็นธรรมชาติรู้ที่สะอาด บริสุทธิ์ ไม่มีอะไรเข้าไปปรุงแต่งได้  หลวงปู่ดูลย์ เรียกว่า จิตหนึ่ง  หลวงปู่เทสก์ เรียกว่า ใจ  ท่านพุทธทาสท่านเรียกว่า จิตเดิมแท้ สมเด็จพระญาณสังวรท่านเรียก วิญญาณธาตุ หลวงตามหาบัวเรียกว่า ธรรมธาตุ  มีชื่อหลายชื่อแต่สื่อถึงสิ่งเดียวกันคือ สภาวะจิตที่หลุดพ้นแล้ว”

 

ท่านทรงกลด  :  มีผู้ปฏิบัติส่งข้อความข้างต้นนี้มาถึงเรา  เขาบอกว่า อ่านเจอก็เลยก๊อปมาให้ดู  เตือนสติให้เพียร  และมีคนบอกเขาว่า  ถึงใจกันหมดแล้ว แต่สำหรับตัวเขาคิดว่า ไม่ง่าย การทำความเข้าใจขันธ์ ๕ ให้แตกฉานยังยากเลย

เราอ่านแล้วเห็นว่า นี่เป็นคำสอนที่ถูกต้อง สังเกตคำสอนเราจะใช้คำว่า “หยั่งถึงจิตหนึ่ง” ตลอด หมายความว่า รู้ถึงสภาวะจิตหนึ่ง หยั่งถึงว่า  มี สัมผัสได้  แต่ยังไม่ถึง ถ้าถึงก็คือ อรหันต์  จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง กับจิตถึงจิต อันเดียวกัน  ถึงจิตคือถึงธรรม คือ  พระอรหันต์  นี่คือคำสอนของหลวงปู่มั่น  การปฏิบัติที่สำคัญที่สุด “อย่าหลอกตัวเองว่าถึงแล้ว ไม่มีอะไรจะต้องทำแล้ว”

 จิตหนึ่งก็คือธรรมชาติรู้ที่เหลืออยู่ บริสุทธิ์ จิตบริสุทธิ์ ไม่ได้สูญหายไปไหนเลย  ให้พากันเข้าใจให้ถูกต้อง  ธรรมชาตินั้น หลวงปู่มั่นก็เรียก จิตเดิม จิตต้น

ผู้ปฏิบัติ  :  เป็นไปตามธรรมที่ท่านพุทธทาสเคยเมตตาเทศนาอบรมไว้ ใช่ไหมครับ

ท่านทรงกลด  :  ข้อความข้างต้นนี้ผู้ส่งให้อ่านก็ไม่ทราบที่มา  แต่เราก็เห็นว่า ถูกต้องตรงกับที่เราปฏิบัติและสัมผัสอยู่  เลยเอามาลงให้อ่าน  

ผู้ปฏิบัติ  : ผมเข้าใจว่า เป็นธรรมที่ไม่อาจแบ่งแยก เป็นกระแสธรรมหนึ่งเดียวกันตลอดสาย แต่ยังไม่มั่นใจในความเข้าใจนี้ขอรับ  

ท่านทรงกลด  :  ต้อง เห็น” แจ้ง จึงจะสิ้นสงสัย ตอนนี้เข้าใจไปก่อน  เร่ง สติ” ก็จะเห็นนะ  การถึงใจ ถ้าถึงจริงก็คืออรหัตผล  ตอนนี้เจริญสติให้พบใจ เห็นใจก่อน  ทำดวงตาเห็นธรรมให้เกิดก่อน แล้วที่เหลือคือ การถึงจิตหนึ่งจะตามมาอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะเราปฏิบัติ “ใกล้ถึง” จึงบอกได้ 

ผู้ปฏิบัติ  :  สัญญากับสังขารในขันธ์ ๕  จะเกิดติดต่อกันใช่ไหมคะ สัญญาจะผุดเป็นภาพหรือเป็นความคิด ถ้าสติดี สัญญา ภาพหรือความคิดจะดับ แต่ถ้าสติอ่อนจะเกิดสังขารต่อมายาวเลย  ยากจะหยุด ใช่ไหมคะ (เหมือนห้องว่าง อยู่ๆ มีเก้าอี้ปรากฏ
สติมองเห็น เก้าอี้หายวับ อีกเดี๋ยวก็มีโต๊ะปรากฏ  สติมองเห็น โต๊ะหายวับ ถ้าสติอ่อนมาเต็มห้องทั้งเก้าอี้และโต๊ะค่ะ)

ท่านทรงกลด :  ปกติสัญญาเกิดก่อน เพราะไม่รู้เท่าทัน สังขารจึงตามมา  ถ้ามีสติรู้เท่า สัญญา (ธัมมารมณ์) ก็ดับไป แต่สังขารที่เป็นความตั้งใจคิดก็มี  เช่น พระอริยะเจ้าคิดสร้างศาลา ดำริคิดว่า จะสอนอะไรศิษย์ดี  แต่เมื่อคิดแล้ว คิดก็ดับไป ไม่เหลืออะไรตกค้าง เพราะละความยึดมั่นในคิดได้แล้ว