ถาม-ตอบ

อาการหลงไปทีละนานๆ 

 

แสดงธรรม กลุ่มสายธารธรรม เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2561

 

ผู้ปฏิบัติ  :  มักจะหลงไปนานๆ ค่ะ ไม่ใช่เรื่องขยันหรือขี้เกียจค่ะ 

ท่านทรงกลด  :  เป็นธรรมดา เมื่อสติดีขึ้น ก็จะหลงน้อยลงเอง ดีแล้วที่รู้ว่าหลง เมื่อใดที่รู้ เมื่อนั้นย่อมไม่หลง บางคนสิ น่าสงสาร ไม่รู้เลยว่าหลง  เข้าใจว่ารู้ เลยหลงรู้ไป มีมากมาย สำหรับนักปฏิบัติแล้ว ข้อสำคัญต้องไม่หลอกตัวเอง หลอกตัวเองว่าบรรลุธรรม อันนี้ก็อันตราย แล้วสอนคนอื่นผิดๆ

ผู้ปฏิบัติ  :  สังเกตว่า  พอรู้ขึ้นมา ก็หงุดหงิดที่หลงไปนาน บางทีรู้ตัวขึ้นมาจิตสงบ สบาย ก็ไปติดอีก เหมือนว่าจิตต้องไปติดอะไรสักอย่างตลอดเวลา เลยรู้สึกว่า การมีสติหรือรักษาสติตลอดมันยากค่ะ

ท่านทรงกลด  :  เมื่อมีสติก็จะหลงน้อยลงนะ อย่าคิดมาก ค่อยๆ ทำไป พระอรหันต์เท่านั้นที่ไม่หลงเลย พอหงุดหงิดนั่นแหละของดีแล้ว เอาหงุดหงิดมาพิจารณาให้เห็นเป็นไตรลักษณ์เสีย ถ้าเห็นได้สักอารมณ์หนึ่ง ที่เหลือก็เหมือนกันหมด ถ้าสงบแล้วสบาย ก็ไม่ใช่ เอาความสบายมาพิจารณาอีกนะ สงบจริงจะอยู่ตรงกลางระหว่างหงุดหงิดกับสบาย จิตเป็นกลางที่แท้จริงอยู่ตรงนั้น

  หลวงปู่ชาท่านสรุปไว้ดังนี้  ท่านก็คงเบื่อลูกศิษย์พระทั้งไทยทั้งฝรั่ง ท่านบอกว่า อาตมาว่านะ เห็นอะไรใส่อนิจจังเข้าไป ชกมันก่อน ถ้าชกมันก่อน ก็จะไม่ถูกชก คือ ไม่หลง ท่านบอกอนิจจังตัวเดียวถึงอรหัตผล 

อย่างพระอนาคามี สุดท้ายก็ต้องพิจารณาวิญญาณขันธ์ให้เห็นอนิจจัง หลวงปู่ดูลย์ถึงบอกว่า วิญญาณเป็นตัวชั้นในสุดที่ต้องละ เมื่อละแล้วจิตก็บริสุทธิ์ อรหัตผลเกิดตรงนั้น  ตรงจิตบริสุทธิ์กับดับอวิชชามันอันเดียวกัน อวิชชาดับ วิญญาณ (ปฏิสนธิวิญญาณ) ดับ ที่เหลือก็ดับหมด จบกิจ 

แต่อย่าเพิ่งไปถึงตรงนั้นเลย เอาสติก่อน เอาสติพาไปสู่การพบจิตพบใจก่อน แล้วที่ผมพูดมาทั้งหมดมันจะกระจ่างออกเอง สังเกตไหม หลังๆ ผมไม่ได้แสดงธรรม ไม่ว่ากลุ่มไหนต่อกลุ่มไหน เพราะถ้าแสดง  สภาวธรรมตอนนี้ คนจะไม่เข้าใจเลย  จะยิ่งงงสงสัย และพากันท้อใจในการปฏิบัติ เลยเอาสติเป็นหลักก่อน เอามรรคกันก่อน

ผู้ปฏิบัติ  :  ไม่ใช่คิดเอาเองว่า อนิจจัง แต่ต้องมองให้เห็นอนิจจัง จริงๆ ในปัจจุบัน ทำมันบ่อยๆ ใช่ไหม

ท่านทรงกลด  :  ใช่  ต้องมองให้เห็น เหมือนเราเห็นใบไม้ร่วง ต้องเห็นใบไม้ร่วงจริงๆ จึงจะเรียกว่า เห็นจริง เห็นจริงว่า เออ! มันร่วงจริงๆ มันเสื่อมดับจริง ถ้ามันยังคาอยู่ที่กิ่ง ที่ก้าน มันก็ไม่หายสงสัยหรอก เอมันจะร่วงจริงหรือว้า พอเห็นมันร่วงสักครั้งหนึ่ง ตรงนี้สำคัญนะ ฟังดีๆ พอเห็นมันร่วงสักครั้ง หมายความว่า เห็นอนิจจังสักครั้ง คราวนี้ พอเห็นใบไม้ใบอื่น  ความรู้ที่เห็นมันไม่ได้หายไปไหน มันก็รู้ทันเลยว่า ใบไม้ใบนี้ก็ต้องร่วงเหมือนที่เราเห็นนั่นแหละ นี่ สำคัญที่สุด การรู้เท่าทันอารมณ์จริงๆ เริ่มตรงนี้ 

อารมณ์ก็เหมือนใบไม้ พอเห็นมันดับ คือ อนิจจังจริงๆ สักครั้ง พอมีอารมณ์มากระทบ จิตจะไม่ไหวมาก อย่างมากก็ไหวขึ้นวูบหนึ่ง แล้วความรู้ความเห็นจะเข้ามาตัด เพราะมันเห็นมาแล้ว สติที่มีกำลังจะช่วยให้วางได้ไวขึ้น พอเห็นสักครั้งก็เหมือนใบไม้นั่นแหละ มันก็จะเห็นใบอื่นๆ อารมณ์อื่นๆ อีก  มันก็เหมือนกันหมด

  หลวงปู่ชาจึงบอกว่า ถ้าเรากระจ่างแจ้งกระติกน้ำใบหนึ่ง กระติกที่เหลือก็จะกระจ่างเหมือนกัน แล้วการปฏิบัติจะไว ไวมากๆ

ผู้ปฏิบัติ :  มันจะเห็นเอง เออเอง ใช่ไหมคะ

ท่านทรงกลด  :  ใช่ มันเออเอง  เออเอ็งก็เหมือนกันหมดนั่นแหละ คือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป มีแค่นี้ เรียกว่า  เห็นตามจริง พอเห็นตามจริง จิตจะคลายออกมา ถ้าภาษามรรค  เรียกว่า  สัมมาสังกัปปะ เห็นตามจริงคือ สัมมาทิฏฐิ พอคลายสุด โน่น ตั้งมั่นแล้ว สัมมาสมาธิ  มัคคสมังคีเกิดตรงนี้ จิตตั้งมั่น สมาหิโต ยถาภูตัง ปชานาติ เมื่อจิตตั้งมั่นก็จะเห็นรูปนาม ขันธ์ห้าตามจริง ตรงนี้เกิดญาณทัสนะแล้ว สังโยชน์ถูกละไปในชั้นนี้ ถ้าละหมด (ซึ่งยากสำหรับยุคนี้ ไม่มีพระพุทธเจ้าคอยกำกับ) ก็ถึงอรหัตผล 

ผมรับรองเลยว่า ในปัจจุบัน ไม่มีหรอก ฟังธรรมแล้วบรรลุอรหัตผล ที่สมัยพุทธกาลเกิดได้ ก็เพราะคนฟังสร้างบารมีมาเต็มเปี่ยม ถ้าเรามีบารมีขนาดนั้น คงไม่หลงยุคเกิดมาพลัดกับพระพุทธเจ้าแบบนี้หรอก ถ้าละเบื้องต้นได้ ก็โสดาบัน สกทาคามี เบื้องต่ำก็อนาคามี