ถาม-ตอบ

สติปัฏฐานสี่หมายถึง ให้สติเป็นฐานของใจ

แสดงธรรม กลุ่มสายธารธรรม เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2560 

 

ท่านทรงกลด : การปฏิบัติตัวเพื่อบรรลุโสดาบัน ผมชอบคำสอนหลวงปู่มั่นที่ว่า จิตของคนเราเหมือนเด็ก จะให้ถูกต้องทุกอย่างแบบพระอรหันต์เป็นไปไม่ได้หรอก การปฏิบัติตัวของผู้จะบรรลุโสดาบัน ก็เขียนไว้ในหนังสืออย่างละเอียดแล้วเหมือนกัน  ซึ่งผมว่า ไม่ค่อยมีใครเขียนเปิดเผยขนาดนี้นะ บางคนก็ขอว่า อย่าให้ผมไปบวชเลย บอกว่า เป็นฆราวาสนี่ดีกว่า แสดงธรรมได้ตรงไปตรงมาดีกว่า เป็นพระจะพูดอะไรก็ต้องระมัดระวัง 

การจะบรรลุโสดาบันก็มีทางเดียว ภิกษุทั้งหลาย เอโก มัคโค ทางนี้คือทางสายเอก คือทางเดียว นั่นคือ สติปัฏฐานสี่ ทางอื่นไม่มี การเพ่งพระ เพ่งดิน น้ำ ลม ไฟ ไม่ใช่ทาง การบริกรรมไม่ว่าจะใช้คำใดๆ ก็ไม่ใช่ทาง การให้ทาน ทำบุญเป็นร้อยล้านพันล้านก็ไม่ใช่ทาง การสร้างพระเป็นร้อยเป็นพันองค์ก็ไม่ใช่ทาง การถือศีลอยู่ร้อยปีก็ไม่ใช่ทาง การนั่งสมาธิเข้าฌานอยู่ค่อนทศวรรษก็ไม่ใช่ทาง 

แล้วอะไรเล่าคือทางที่จะบรรลุโสดาบัน   สิ่งนั้นคือสติปัฏฐานสี่นี่เอง หมายถึง ให้สติเป็นฐานของใจ คำว่า ฐานหมายถึงอะไร อย่างพระพุทธรูป เราวางอยู่บนฐาน ฐานก็คือที่ตั้ง  ใจเราปกติมีฐานไหม คำตอบก็คือมี อย่างแย่ที่สุดก็คือเอาอารมณ์รัก โลภ โกรธ หลง เป็นฐาน เอาความชอบใจ ไม่ชอบใจเป็นฐาน เป็นที่ตั้งหรือที่อยู่ของใจ วันหนึ่งๆ ใจเราก็จะอยู่วนเวียนแค่นี้แหละ ใครชมก็เพลิดเพลินอยู่เป็นวัน ใครด่าก็ซึมอยู่เป็นคืน อยู่แค่นี้เองใจคนเรา พอวันหนึ่ง เพื่อนชวนไปถวายสังฆทานก็ดีขึ้นมาหน่อย ใจไปอยู่กับการให้ทาน ทำบุญ หรือเพื่อนชวนไปถือศีลอยู่วัด ใจก็ไปอยู่กับศีลขึ้นมาบ้าง หรือบางทีเขาชวนไปภาวนา บริกรรมพุทโธ เพ่งพระเพ่งอะไรบ้าง นี่ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ แต่การเปลี่ยนที่อยู่ของใจมาอยู่กับพระ อยู่กับคำบริกรรม ที่กล่าวมา ยังไม่มีสติเลย หมายถึงสติปัฏฐานน่ะนะ ฐานที่ตั้งของใจคือสติ ท่านก็พูดไว้ตรงๆ ผมถึงโพสต์เตือนใจบ่อยๆ ว่า การปฏิบัติธรรมไม่มีอะไรมากหรอก แค่เปลี่ยนที่อยู่ของใจจากที่เคยอยู่กับอารมณ์  ให้มาอยู่กับสติ ก็เท่านั้นเอง ซึ่งมีคนนำไปใช้ก็มีความก้าวหน้าในการปฏิบัติด้วยดี 

คำว่า อารมณ์ หมายถึงที่อยู่ของใจ ตรงนี้แต่ก่อนก็ไม่รู้หรอก พอเห็นธรรม อ้อ! อารมณ์ที่หลวงปู่ชาพูดคืออันนี้ ที่หลวงปู่ดูลย์พูดคืออันนี้ อะไรที่เป็นที่อยู่ของใจคืออารมณ์ทั้งสิ้น อย่างการเพ่งพระ พระก็เป็นอารมณ์ในสมถกรรมฐาน เขาถึงสอนว่า ให้เอาดินเป็นอารมณ์บ้าง เอาน้ำเป็นอารมณ์บ้าง (กสิณ) ถ้าเอาคำบริกรรมมาท่องๆๆ คำบริกรรมนั้นก็เป็นที่อยู่ของใจไปได้แต่นั่นคืออารมณ์หยาบๆ เมื่อจิตหยั่งเข้าไปลึกๆ (พระอริยะเจ้า) จะเห็นว่า แม้ผู้รู้ก็เป็นที่อยู่ของใจได้ พอละผู้รู้ ใจก็เป็นอิสระ บริสุทธิ์ คืออรหัตผลนั่นเอง แต่ชั้นนี้ อย่าเพิ่งพูดถึงผู้รู้กันเลย ยังห่างไกลอีกมาก  ที่พูดๆ กัน มันแค่คิดมโนไปเองทั้งนั้น  คนที่พบผู้รู้จริงๆ ก็คือพระอริยะเจ้าตั้งแต่โสดาบันขึ้นไป  เมื่อจิตกับสติพบกัน รวมเป็นหนึ่ง ก็จะพบผู้รู้ตรงนั้น จะเห็นว่า ผู้รู้ก็คือสตินั่นเอง  

ทีนี้การเปลี่ยนที่อยู่ของใจจากอารมณ์มาอยู่กับสติ จะทำได้ต่อเมื่อรู้จักสติก่อน สติก็คือความรู้สึกตัวที่มีลักษณะตื่นขึ้นมา ไม่ใช่สะลึมสะลือ และไม่ใช่แค่รู้ว่าทำโน่น นี่ นั่น ขอยืนยันว่าอันนี้ไม่ใช่สติ ผมก็เขียนไว้ในหนังสือว่า หากไม่รู้จักสติ ไม่มีวันปฏิบัติสำเร็จหรอก จึงไม่แปลกที่คนส่วนใหญ่ปฏิบัติธรรมมานับสิบปีแต่ไม่ไปถึงไหนเลย อย่างมากก็ได้แค่ความสงบเล็กๆ น้อยๆ อันเกิดจากการเพ่งบริกรรมภาวนา  ลองหายใจเข้าลึกๆ หลายๆ ครั้ง นี่เป็นวิธีที่จะรู้จักสติที่ดีที่สุด ภาษาสติปัฏฐานเรียกว่า อานาปานสติ ที่พระพุทธเจ้าใช้ในคืนตรัสรู้นั่นแหละ เมื่อหายใจลึกๆ จะรู้สึกตัวขึ้นมา ให้รักษาความรู้สึกตัวนั้นไว้แต่รักษาได้ไม่นานหรอก สำหรับมือใหม่หัดขับ สักพักจิตก็จะแล่นไปหาคนนั้น คนนี้ เรื่องนั้น เรื่องนี้  ก็ให้ดึงจิตกลับมาอยู่กับความรู้สึกตัวให้ได้ แต่อย่าไปฝืนกระชาก กดข่ม หรือเพ่งนะ  หลวงปู่ดูลย์นี้ท่านสอนสมาธิถูกที่สุด ตอนแรกก็ไม่เข้าใจท่านหรอก เพราะเคยชินแต่นั่งหลับตาภาวนาหวังจะให้จิตรวมลงไปแน่วแน่ ซึ่งมันก็สุขดีอยู่หรอก แต่กิเลสยังเหมือนเดิม เผลอๆ หนากว่าเดิมอีก เพราะมีตัวอหังการคือ กูแน่ ติดมา แก้ยากด้วยนะตัวนี้ ใครพูดอะไรก็ไม่ฟังหรอก สอนยาก  ถ้าผมเจอคนแบบหลังๆ นี้ ไม่เอาด้วย เว้นแต่บางคนอยู่ในวิสัยช่วยได้ก็ช่วย  

ถ้าเรารู้จักความรู้สึกตัว นั่นคือเรารู้จักสติแล้ว ประตูพระนิพพานเปิดแล้ว  หลวงพ่อสอนก็พูดถูก ท่านบอกว่า นั่งสมาธิให้อยู่กับความรู้สึกตัวก็พอแต่ไม่จำเป็นต้องนั่งนานอะไรนะระหว่างวัน เวลายืน เดิน นั่ง ให้ประคองความรู้สึกตัวไว้ตลอด  อย่าคิดว่ามัวแต่รู้สึกตัวแล้วจะทำงานอย่างไร ขอให้เชื่อผม ทำได้จริงๆ ทำงานด้วยความรู้สึกตัว ด้วยสติ ประสิทธิภาพของงานจะมากกว่าเดิมหลายร้อยเท่า ขอบอก ไม่เหมือนกับทำงานไปท่องพุทโธๆ ไปนะ อันนี้อาจจะฝืนธรรมชาติ เพราะแทนที่จิตจะไปจดจ่อกับงาน ไปจดจ่อกับพุทโธเสีย  เราไม่ใช่พระ ที่จะท่องพุทโธอยู่ได้ทั้งวันทั้งคืน เพราะงานของพระเป็นงานรูทีน แต่เรานี้วันๆ หนึ่งเจอปัญหาร้อยแปดให้แก้ไข ถ้ามัวแต่มานั่งท่องพุทโธคงไม่ไหว แต่ถ้าใครทำได้ก็ไม่เป็นไรแต่ก็ไม่ใช่สติหรอก ไม่ใช่สติปัฏฐานสี่ที่พระพุทธเจ้าบอก แต่ถ้าเราบริกรรมพุทโธแล้วจิตสงบ สุดท้ายก็ต้องออกมาพิจารณากาย พิจารณาอารมณ์ ต้องออกทางปัญญาก็คือ สติปัฏฐานสี่อยู่ดี แต่ฆราวาส ต้องทำงานไปด้วย การบริกรรมจึงไม่เหมาะ แต่หากฝึกสติคือ ความรู้สึกตัวนี้จะเหมาะกว่าและลงตัว ช่วยเสริมงานที่ทำไปในตัว บางทีทำงาน ใจเราก็ลอยไปถึงไหนๆ งานก็เสียได้ แต่ถ้ามีสติ จิตอยู่กับความรู้สึกตัว มันไม่ลอยไปไหน มันจะอยู่กับงานที่ทำ เรียกว่า อยู่กับปัจจุบันธรรมไงล่ะ  ปัจจุบันธรรมนี่แหละคือสติ  

หลวงปู่แหวนบอกว่า อนาคตก็ธรรมเมา อดีตก็ธรรมเมา ปัจจุบันนี่ธรรมมา  ปัจจุบันก็คือสตินั่นเอง พอเรารู้จักสติ อยู่กับมันจนชิน  เวลามีเรื่องมากระทบ จิตจะวิ่งมาอยู่กับสติทันทีเหมือนแต่ก่อนเราถูกนักเลงทำร้ายเอาฝ่ายเดียว ต่อมาเรามีพี่เลี้ยงคอยกันไว้ นักเลงก็เลยทำอะไรเราได้น้อยลงนักเลง  ก็คืออารมณ์ทั้งหลาย อารมณ์แรงๆ ก็คือนักเลงโต อารมณ์เบาๆ ก็คือนักเลงยังไม่โต พี่เลี้ยงก็คือสติ  ตอนนี้ต้องอิงพี่เลี้ยงไว้ก่อน เพราะจิตเรายังเป็นเด็ก ยังไม่โต อารมณ์ชอบใจ ไม่ชอบใจ ก็ให้มีสติ คือ ไม่อยู่กับอารมณ์ใดๆ อยู่กับสติเสีย  ขณะเดียวกันก็เอาอารมณ์มาพิจารณาให้เห็นเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาด้วย คือมันไม่เที่ยง ทนอยู่ไม่ได้หรอก พอดับไปก็หาแก่นสารตัวตนได้ที่ไหน ไม่มีให้ใครเห็นตัวตนที่แท้หรอก มันจะเห็นได้อย่างไร ในเมื่อมันไม่มีตัวตน (อนัตตา)  อย่างหลังนี่คือปัญญา สติกับปัญญาจึงต้องไปพร้อมกัน จึงจะเห็นธรรมเร็ว  

การยืน เดิน นั่ง นอน ให้รู้สึกตัว หายใจเข้าออกให้รู้สึกตัว หรือการพิจารณากาย (กายคตาสติ) นี่เรียกว่า กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน  ส่วนการรู้เท่าทันอารมณ์ชอบใจ ไม่ชอบใจ เรียกว่า เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน ทีนี้บางคนไม่ทัน ขาดสติปัญญารู้เท่าทัน กว่าจะรู้ความไม่ชอบใจก็กลายเป็นความโกรธคือโทสะ เป็นกิเลสเสียแล้ว หรือลงมือทำร้าย ก็เป็นกายกรรม ทำร้ายเสร็จ ตนเองก็ร้อนใจก่อน ต่อมาถูกจับ นี่คือผล คือวิบาก  กิเลส กรรม วิบาก มันทำงานต่อเนื่องกันอย่างนี้  

ทีนี้พอเกิดโทสะ ทำอย่างไร พระพุทธเจ้าก็สอนว่า จิตมีโทสะให้ “รู้” นั่น เห็นไหม รู้อีกแล้ว คือ ให้รู้สึกตัว ในทางตรงข้าม เวลาความชอบใจเกิด ไม่รู้เท่าทัน แป๊บเดียว พัฒนาเป็นราคะแล้ว  เห็นกระเป๋าหลุยส์ ตอนแรกจะเกิดความชอบก่อน (เวทนา) พอไม่รู้ทัน อยากได้ขึ้นมา  ตรงอยากได้นี่แหละ เรียกว่าตัณหาหรือราคะ (ไม่ใช่เรื่องกามอย่างเดียว ราคะนี้ขอให้เข้าใจไว้ด้วย)  พระพุทธเจ้าก็บอกว่า จิตมีราคะให้รู้คือ  รู้สึกตัวเหมือนกัน บางทีนั่งอยู่ใจลอยฟุ้งซ่าน ท่านก็บอกให้รู้เหมือนกันคือ รู้สึกตัว  ถ้ารู้ เป็นสติจริงๆ  จิตมันจะหยุด  ที่กล่าวมาอันหลังเรียกว่า จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน  

เอาแค่นีก่อน แค่นี้ทำให้ได้ก่อน พอทำได้ จะเห็นธรรม พบธรรม ตรงนั้น จิตก็ทำเอง เป็นธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน  ลองไปทำกันดูเถิด ถ้าเอาจริง ตลอดทุกลมหายใจนะ ไม่เกินเจ็ดเดือนหรอก  แต่ขอให้ทิ้งทางเดิมที่เคยเดินมาเสียด้วยนะ