ถาม-ตอบ

มือใหม่หัดขับเรื่องสติ

แสดงธรรม กลุ่มสายธารธรรม เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2560

ผู้ปฏิบัติ : ขอท่านทรงกลดช่วยชี้แนะวิธีฝึกสติ สําหรับผู้เริ่มต้นฝึกใหม่ (มือใหม่) ด้วยค่ะ

ท่านทรงกลด  :  สำหรับมือใหม่หัดขับเรื่องสติ การฝึกก็เหมือนฝึกขับรถนั่นแหละ ก่อนจะขับรถเราต้องรู้ก่อนว่า เกียร์อยู่ตรงไหน เบรค คันเร่ง วงเลี้ยว การถอย การออกตัว การเข้าซอง และต้องรู้เรื่องกฎจราจรด้วย ต้องจอดห่างฟุตบาทเท่าไหร่ การฝึกสติก็เช่นกัน เริ่มต้นที่กายคตาสติ  พิจารณา ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ดูสิว่า มันอยู่ตรงไหน ลองหยิบผมขึ้นมาสักเส้นสิ โดยเฉพาะผู้หญิง ผมจะร่วงลงมาให้เห็นง่าย ลองมาพิจารณาดูดี ดูให้ดีๆ ว่ามันสะอาด สกปรก สวยหรือไม่สวย ลองเอาใส่ชามแกงสิ จะกินได้ต่อได้ไหม  ไม่สระผมสักสี่ห้าวัน มันจะยังหอมอยู่หรือไม่ นี่ต้องคอยสระ คอยดูแลทุกวัน ตกลงมันสะอาดหรือสกปรก ไม่สระผมสักเดือนมันจะมีกลิ่นเหม็นแค่ไหน พอมันร่วงลง เราก็เอาไปทิ้ง เคยตามไปดูไหมว่า ตอนจบมันเป็นอย่างไร มันก็เปื่อยผุพังกลับคืนไปเป็นดินนั่นแหละ เป็นธาตุดิน 

เล็บก็เหมือนกัน ตัดเล็บแล้วหยิบมาพิจารณาดูว่ามันสะอาดหรือสกปรก เอาหย่อนใส่ชามข้าว จะกินข้าวต่อได้หรือไม่ นี่ ถ้าเข้าใจผมเส้นหนึ่ง ก็ไม่ยากที่จะเข้าใจผมเส้นที่เหลือ เข้าใจเล็บเล็บหนึ่ง ก็ไม่ยากที่จะเข้าใจเล็บที่เหลือและส่วนอื่นๆ ของร่างกายก็จะเข้าใจได้เหมือนกัน (เรียกว่า อาการสามสิบสอง มีในหนังสือสวดมนต์ ลองไปหาอ่านดู) เรียกว่า กายคตาสติ เป็นสติปัฏฐาน เรียกว่า กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ก่อนจะไปดูจิตดูใจ มาดูกายให้ชัดก่อน อย่ามองข้ามนะ ถ้าดูเห็นชัด มันจะปรากฏในใจเวลาใจสงบ การเกิดสมาธิจะไม่ยากเลย 

หลวงปู่ชาเคยสอนพระอาจารย์อนันต์ วัดมาบจันทร์ พระอาจารย์เล่าว่า ครั้งหนึ่งตอนนั้นสมาธิท่านดีมาก เลยอยากจะพิจารณาให้เห็นธรรมไวๆ อยากจะดูจิต เดินไปหาหลวงปู่ชา หลวงปู่ชาบอกว่า ให้กลับไปพิจารณากาย  เท่านั้นแหละจิตที่เป็นสมาธิของพระอาจารย์อนันต์ก็หวั่นไหวทันที เพราะหลวงปู่ชารู้ว่า พระอาจารย์อนันต์กำลังติดอยู่ในความสงบ ไม่มีปัญญา พระอาจารย์อนันต์เล่าว่า หากไม่ได้หลวงปู่ชาในวันนั้นก็จะติดอยู่ในความสงบอีกนานแสนนาน เหมือนหลวงปู่ หลวงพ่อบางรูป 

การมีสติประคองไว้กับความรู้สึกตัวขณะกายนี้เคลื่อนไหวก็สำคัญ  ยืน เดิน นั่ง นอน ให้รู้สึกตัวอยู่เสมอ ที่สำคัญที่สุด พวกเรามักจะไม่ค่อยรู้จักความรู้สึกตัวกัน ความรู้สึกตัวกับความรู้ตัวว่ากำลังทำโน่น นี่ นั่น ต่างกัน  การรู้ตัวว่ากำลังทำโน่น นี่ นั่นอยู่ กับการรู้สึกตัวที่เป็นสตินี้ต่างกัน  อย่างแรกเป็นเพียงความระลึกได้ ในลักษณะจำได้หมายรู้ (สัญญาขันธ์) อันเป็นอารมณ์อย่างหนึ่ง แต่อย่างหลังที่เป็นสติ จะมีลักษณะ “ตื่นรู้อยู่กับที่” และ “เบิกบาน” อยู่ในตัว ส่วนอารมณ์ก็เคลื่อนไหวอยู่รอบๆ เหมือนเวลาง่วงก็รู้ตัวว่าง่วง แต่ก็ยังง่วงอยู่ แต่ถ้าเป็นสติขึ้นมามันจะออกจากความง่วงมาอยู่กับความรู้สึกตัว มันจะเป็นความง่วงที่ไม่ง่วง จะ “ตื่นรู้” อยู่ท่ามกลางความง่วง  หากไม่รู้จักสติอย่างถ่องแท้แล้ว ไปหลงการรู้ตัวว่า กำลังทำโน่น นี่ นั่นอยู่เป็นสติ แม้ปฏิบัติธรรมอยู่ร้อยปีก็ไม่มีวันเห็นธรรม พบธรรม พบ “พุทธะ” เลย เพราะ “พุทธะ” แปลว่า “ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน” อันหมายถึงสตินั่นเอง ตรงนี้สำคัญ ให้อ่านทำความเข้าใจให้ดี ที่เราปฏิบัติธรรมกันมา บางคนสิบปี ยี่สิบปี แต่ไม่เห็นอะไรเลย เพราะไม่รู้จักสติคือ ความรู้สึกตัว  

ถ้าอยากรู้ว่าความรู้สึกตัวเป็นอย่างไร ง่ายนิดเดียว ลองหายใจเข้าลึกๆ ดูสิ มันจะรู้สึกตัวทั่วพร้อมขึ้นมา จะมีอาการตื่นรู้ขึ้น พระพุทธเจ้าจึงบรรลุธรรมด้วยสติ ด้วยความรู้สึกตัว (อานาปานสติคือ หายใจเข้า – ออก อยู่กับรู้ รู้สึกตัว)  ความรู้สึกตัวหรือสติ จะมีสภาวะกลางๆ ไม่ขึ้นไม่ลง แต่สงบ สุข  ใครพบสติ คนนั้นก็พบประตูพระนิพพาน อีกประการหนึ่ง ในระหว่างวัน เราเผชิญอารมณ์มากมายทั้งดีและไม่ดี อารมณ์ต่างๆ เรียกว่า เวทนา สุขเวทนาบ้าง ทุกขเวทนาบ้าง ให้มีสติรู้เท่าทัน คือ พอมีอารมณ์เกิด ไม่ว่าตาเห็นรูปที่พอใจ ไม่พอใจ หูได้ยินเสียงด่า เสียงชม ให้มีสติ คือรู้สึกตัวขึ้นมา พร้อมทั้งให้พิจารณาให้เห็นว่าอารมณ์นั้นเกิดได้ก็ดับได้  ไม่เที่ยงแท้ไปได้  ไม่ดับวันนี้ก็พรุ่งนี้  อันนี้เรียกว่า เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน เมื่อทำไปๆๆๆ ประกอบด้วยความเพียร มันก็เหมือนขับรถนั่นแหละ แรกๆ จะเก้ๆ กังๆ พอขับได้ก็จะคล่องแคล่วเป็นอัตโนมัติ 

สติที่สอนมาก็เช่นกัน พอทำไปได้ มันจะคล่องตัวของมันเอง เวลาคนด่า จิตจะวิ่งมาอยู่กับสติทันที เห็นอารมณ์โกรธดับไปต่อหน้าทันที ถ้าฝึกได้ขนาดนี้ก็ถือว่าใกล้บรรลุธรรมแล้ว คำว่าพุทโธ แม้จะแปลหรือมีความหมายว่า “สติ” แต่คำว่าพุทโธก็ไม่ใช่สติ การบริกรรมคำว่าพุทโธ จึงไม่ได้ทำให้สติงอกงามขึ้นแต่อย่างใด แต่อาจจะทำให้จิตสงบลงได้บ้าง ชั่วครู่ชั่วคราวเท่านั้นเอง  เพราะความสงบของจิตที่เกิดจากการบริกรรมก็ยังเป็นการปรุงแต่งของจิตอยู่ ต้องเจริญสติปัญญาจนจิตพ้นไปจากการปรุงแต่ง นั่นแหละจึงจะเป็นความสงบที่แท้จริง 

ทำไมความรู้สึกตัวหรือสติจึงสำคัญ  นั่นเป็นเพราะสตินี่แหละคือกุญแจดอกสำคัญที่จะนำไปสู่การรู้จริงเห็นแจ้งในขันธ์ห้า และจะนำไปสู่การพ้นทุกข์ได้ในที่สุด  พระพุทธเจ้าตรัสรู้ก็อาศัยสติ (อานาปานสติ) หากไม่ใช่สติแล้ว พุทธศาสนาไม่อาจจะบังเกิดขึ้นในโลกได้เลย ศาสนาพุทธจึงเป็นศาสนาแห่งสติ ไม่ใช่ศาสนาแห่งความเชื่อ  เพราะคนเราไม่อาจพ้นทุกข์ได้ด้วยความเชื่อแต่จะพ้นทุกข์ด้วยสติ ด้วยปัญญา  หลวงปู่เทียน จึงสอนว่า “อะไรๆ ก็ไม่สำคัญเท่าสติ”  หลวงปู่สมชาย วัดเขาสุกิม ก็บอกว่า “สติตัวเดียวรู้แจ้งโลก” โลกในที่นี้คือ ขันธโลกหรือขันธ์ห้านั่นเอง ธรรมใดที่ไม่ประกอบด้วยสติ (ความรู้สึกตัว) ด้วยปัญญา (เห็นขันธ์ห้า อารมณ์ ตามความเป็นจริงว่าจะถือเป็นเรา ของเราไม่ได้) ธรรมนั้นไม่เป็นไปเพื่อความจางคลายความยึดมั่นถือมั่น ไม่เป็นไปเพื่อความสงบระงับแห่งจิต ต่อให้ปฏิบัติอยู่เป็นร้อยปี ก็จะไม่มีวันรู้เห็นธรรม ถึงธรรม พ้นทุกข์ ถึงความสงบที่แท้จริงได้เลย  การรู้เห็นธรรม เมื่อเห็นแล้วจะหายสงสัย หมดคำถาม ถ้ายังมีคำถาม แสดงว่ายังปรุงแต่ง (คิด) อยู่ จึงยังไม่ชื่อว่าเห็นจริง แต่เป็นการทึกทักเอา หลวงปู่ดูลย์จึงบอกว่า “จะรู้เมื่อหยุดคิด” คือหยุดปรุงแต่งนั่นเอง  

เมื่อสิบปีก่อน ผมไปบวชปฏิบัติอยู่กับพระอาจารย์อนันต์ วัดมาบจันทร์ ศิษย์หลวงปู่ชา  ท่านเล่าให้ฟังว่า วันหนึ่งเดินจงกรมอยู่ในป่า นึกในใจว่า ทำอย่างไรจึงจะรู้เห็นธรรมเร็วๆ คืนนั้นหลวงปู่ชาก็เทศน์เลยว่า การปฏิบัติที่จะรู้เห็นธรรมเร็วนั้น อยู่ที่อารมณ์นี่อารมณ์ยินดีก็ให้มีสติรู้เท่าทัน อารมณ์ยินร้ายก็ให้มีสติรู้เท่าทัน รู้ว่าไม่มีอารมณ์ไหนจริงแท้ ล้วนไม่แน่เป็นอนิจจังทั้งนั้น ไม่ควรหมายมั่น คำสอนหลวงปู่ชาเหมือนที่พระพุทธเจ้าสอนพระโกณฑัญญะเลย (ทางสายกลาง) ครั้งแรกที่ฟัง เอ! มันจะง่ายขนาดนั้นเลยหรือ ครั้นพอปฏิบัติดู ไม่ง่ายเลย เผลอให้อารมณ์มันกัดเอาทุกที แต่เมื่อทำจริงไม่ย่อท้อ จนสติต่อเนื่องไม่ขาดสาย จึงเห็นจริงดังที่หลวงปู่ชาสอน กราบพระพุทธเจ้า กราบหลวงปู่ชา ครูบาอาจารย์ทั้งหลายสนิทใจ ไม่สงสัยอีกต่อไป

การพิจารณากายนี้มี ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นต้น หรือที่เรียกว่า กายคตาสติ มีจุดหมายเพื่อให้เห็นความเป็นจริงของร่างกายว่า เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จะถือเป็นเรา ของเราไม่ได้ จิตจะได้เบื่อหน่าย คลายความยึดมั่นถือมั่นในกายออกมา ไม่ใช่พิจารณาแล้วเกิดนิมิต ติดอยู่ในนิมิต ซึ่งแม้จิตจะสงบแต่ก็ไม่เกิดปัญญาแต่อย่างใด จึงต้องระวัง ไม่หลงเข้าไปติดในกับดักแห่งการภาวนาดังกล่าว พระพุทธเจ้าสอนให้เอากายเป็นเครื่องระลึกรู้ของจิต เพื่อให้รู้ว่า กายนี้ไม่เที่ยง เป็นอนิจจัง ท่านไม่ได้สอนให้เอากายเป็นเครื่องเพ่ง เป็นเครื่องอยู่ของจิต ไม่อย่างนั้นก็ไม่ต่างจากพวกฤาษีชีไพรที่เพ่งดิน เพ่งน้ำ เพ่งไฟ เพ่งลม นั่นเอง

ตอนนี้เปิดโอกาสให้ถามปัญหาได้ครับ ส่วนตัว ผมชอบคำถามสดๆ แบบนี้นะ  หลายคนสงสัยว่า เอาอะไรมาตอบ คำตอบคือ ใจ ให้ใจนั่นแหละเป็นผู้ตอบ เพราะธรรมทั้งปวงมาจากใจ ไม่ได้ไปค้นคว้าเปิดค้นอะไร ยกเว้นถามเรื่องคำศัพท์ ปริยัติ บาลี อันนี้ก็ต้องค้น เพราะภาษาสมมติบางอย่างเขาก็สมมติให้ความหมายไว้อีกทีถ้าไปแย้ง ไปพูด ก็เถียงกันเปล่าๆ หลวงตามหาบัวจึงบอกว่า เขียนอย่างหนึ่ง พอปฏิบัติก็อีกอย่างหนึ่ง เป็นอย่างนี้จริงๆ

ผู้ปฏิบัติ  :  จำเป็นไหมที่ผู้ปฏิบัติจะขอดูจิตเลย  ไม่ดูกาย

ท่านทรงกลด  :  ควรจะทำไปด้วยกันเพราะจิตนี้เป็นของละเอียด ดูยาก ตามไม่ทันหรอก หลวงปู่เทียนจึงสอนว่า ให้รู้เท่าทันกายเพื่อไปรู้เท่าทันการเคลื่อนไหวของใจ ถ้าไปดูจิตเลย ถ้ามีปัญญาก็พอได้ แต่ส่วนใหญ่จะไม่มี จึงควรทำไปพร้อมกัน เพราะเราต้องการจะทำให้ “สติ” มันโต พอโต มรรคก็จะสมังคีให้เห็น หลวงตามหาบัวท่านก็บอกให้ดูกาย แต่จากประสบการณ์ผม จะทำไปพร้อมๆ กัน กลางคืนก็พิจารณากาย กลางวันก็ยืน เดิน นั่ง ให้รู้สึกตัว และดูจิตคือดูอารมณ์ไปด้วย  แล้วมันจะเร็วมากๆ มันจะเสริมซึ่งกันและกันอยู่ในตัว อย่างเราดูกาย พอเห็นกายตามจริง จิตจะผละจากความยึดมั่นในกายออกมา ขณะนั้นจิตมีสติเกิดขึ้น การที่จิตละออกมาได้แสดงว่า สติมีกำลัง ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา พละห้า กำลังทั้งห้า ต้องสม่ำเสมอกัน ที่สำคัญอย่าใจร้อน ปลูกต้นไม้ หน้าที่เราคือรดน้ำ พรวนดิน ให้ปุ๋ย  พอมันโตเต็มที่ เต็มรอบ มันจะออกผลให้เชยชมเอง ข้อสำคัญคือ ต้องปลูกเป็นและดูแลเป็นด้วย  อย่าไปยอมแพ้พวกแมลง หนอน ที่มาไต่ตอม ยั่วเย้า อันได้แก่ อารมณ์ฝ่ายต่ำนั่นเอง มันจะชักพาให้ออกจากกลุ่มทิ้งทางธรรมไปได้ง่ายนะ ถ้าขาดปัญญา

ผู้ปฏิบัติ : ผู้เริ่มปฏิบัติธรรม  ควรจะไปทำการค้นคว้า ทำความเข้าใจกับขันธ์ห้า องค์ประกอบของขันธ์ห้า  การทำงานของขันธ์ห้า ความหมายภาษีบาลีพื้นฐาน เช่น  เวทนา สัญญา สังขาร ฯลฯ  ก่อนหรือไม่

ท่านทรงกลด :  ถ้าทำได้ก็จะทำให้การปฏิบัติธรรมคล่องตัวขึ้น ในหนังสือผมก็เขียนไว้ จะได้รู้ว่ามันคืออะไร พระพุทธเจ้าท่านก็สอนอยู่เรื่องสองเรื่องคือ  ขันธ์ห้ากับจิตแค่นี้แหละ เรื่องกาย เรื่องความสุข ความทุกข์ (เวทนา) เรื่องความจำได้หมายรู้ (สัญญา) เรื่องความคิดปรุงแต่ง (สังขาร) เรื่องความรู้สึกทางตา ทางหู ทางกาย (วิญญาณ) แต่ก่อนก็สงสัยว่า พระพุทธเจ้าไปเอาเรื่องเหล่านี้มาจากไหน