แก่นธรรมจากปริศนาธรรม : พระพุทธรูปปางปฐมเทศนา

แสดงธรรม กลุ่ม Natural Mind เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2559
ท่านทรงกลด : ปริศนาธรรมเรื่อง พระพุทธรูปปางปฐมเทศนานี้ก็อัศจรรย์เหมือนกัน ผมไม่เคยสนใจมาก่อนเลยว่า พระปางนี้มีความหมายอย่างไร ไม่เคยศึกษาหาความหมาย จนมีกลุ่มธรรมหนึ่งเอามาลงถามในกลุ่ม ก็มีคนมากมายช่วยกันตอบ ผมมาเปิดอ่าน จึงตอบไปว่า
ขออนุญาตหลวงตาครับ จริงๆ พระปฐมเทศนา พระพุทธองค์ไม่ได้ตรัสสอนอะไรแก่ปัญจวัคคีย์ พระองค์เพียงแต่สอนว่า ภิกษุทั้งหลายทางสองทางที่สมณะไม่ควรเข้าไปข้องแวะ ส้องเสพ ทางหนึ่งคือ กามสุขัลลิกานุโยค (สุขเวทนา) แล้วพระองค์ก็ทรงยกพระหัตถ์ขวาขึ้นมา (ลองยกมือขวาขึ้นมา ยกแบบสบายๆ) คือ การประกอบตนให้พัวพันในกามทั้งหลาย ในความสุข ความยินดีทั้งหลาย อีกทางหนึ่งเล่า คืออัตตกิลมถานุโยค การทำตนให้ลำบาก (ทุกขเวทนา) แล้วพระองค์ก็ยกพระหัตถ์ซ้ายขึ้นมาหักนิ้วเข้ามาสองนิ้ว (ตามรูปล่าสุด ลองทำนิ้วแบบพระองค์ทำจะพบว่า เป็นการทรมานตน จะเห็นว่า เป็นทุกข์ขึ้นมาทันที)
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ความจริงคือทุกข์ การเกิดก็เป็นทุกข์ ความแก่ก็เป็นทุกข์ ความตายก็เป็นทุกข์ ความประสบกับสิ่งที่ไม่เป็นที่รัก ที่พอใจ ก็เป็นทุกข์ ความพลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่รัก ที่พอใจ ก็เป็นทุกข์ ความปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์ ว่าโดยย่อ ความยึดมั่น (อุปาทาน) ในทุกข์ (ทุกขเวทนา) ก็ดี ในสุขก็ดี (สุขเวทนา) นี่คือตัวทุกข์ (แล้วพระองค์ก็เอามือเอานิ้วมาแตะยึดติดกัน แล้วทรงแสดงธรรมต่อไปว่า ก็เหตุแห่งทุกข์คืออะไรเล่า ภิกษุทั้งหลาย ความจริงที่เป็นเหตุแห่งทุกข์คือ ความอยากในอารมณ์ที่น่ายินดี (กามตัณหา) ความทะยานอยากในความมี ความเป็น (วิภวตัณหา) ความไม่อยากมี อยากเป็น (วิภวตัณหา) คือ เหตุแห่งทุกข์ คือสมุทัย ส่วนการดับทุกข์ที่เรียกว่า นิโรธก็คือดับที่เหตุ ความสละตัณหา (จาโค) ความวางตัณหา (ปฏินิสสัคโค) ความปล่อยตัณหา (มุตติ) ความไม่พัวพันตัณหา (อนาลโย)
แล้วหนทางในการดับทุกข์เล่าเป็นไฉน หนทางในการดับทุกข์ก็คือ มรรคมีองค์แปด เริ่มด้วยสัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ เห็นว่า ไม่ว่าสุขเวทนาก็ดี (กามสุขัลลิกานุโยค พระหัตถ์ขวา) ทุกขเวทนา (อัตตกิลมถาานุโยค พระหัตถ์ซ้าย) สองอย่างนี้ไม่ควรข้องแวะ ไม่ควรหมายมั่น เมื่อข้องแวะสุข หมายมั่นสุข ย่อมเกิดกามตัณหา ภวตัณหาตามมาอย่างมิต้องสงสัย เมื่อข้องแวะทุกข์ หมายมั่นยึดมั่นในทุกข์ ย่อมเกิดวิภวตัณหาตามมาเช่นกัน
เมื่อเห็นว่าทั้งทุกข์ (อารมณ์ยินร้าย) และสุข (อารมณ์ยินดี) ไม่ควรข้องแวะ ส้องเสพดังที่ยกมากล่าวไว้แต่ต้น เพราะนอกจากจะเป็นเหตุแห่งทุกข์แล้ว ทั้งสองนี้ก็เป็นสิ่งไม่เที่ยง เป็นอนิจจัง ไม่ควรหมายมั่น ยึดมั่น จิตก็ดำริออกจากกาม (สัมมาสังกัปปะ) วาจาชอบ การงานชอบ การเลี้ยงชีวิตชอบ เมื่อเห็นชอบอย่างต่อเนื่อง ความเพียรชอบ จิตก็ละความยึดมั่นในอารมณ์ทั้งทุกข์และสุข มีสติขึ้นมา และตั้งมั่นเป็นสัมมาสมาธิ นั่นคือ จิตอยู่ตรงกลางระหว่างทุกข์และสุข (วงกลมระหว่างมือทั้งสอง) ว่างเปล่า บริสุทธิ์
พระโกณฑัญญะได้สดับฟังพระธรรมเทศนาเช่นนั้นก็ส่งกระแสจิตตามไป เห็นจริงดังคำพระพุทธองค์ จิตท่านก็ละอารมณ์ทั้งชอบใจและไม่ชอบใจ มาตั้งมั่นอยู่ เห็นอารมณ์ไม่ว่าดีหรือไม่ดี เกิดดับๆ ๆ ๆ เหมือนสายน้ำไหลนิ่งอยู่ตรงหน้า หาสาระแก่นสารอะไรไม่ได้ ที่เคยคิดว่า อารมณ์ทั้งปวงคือ สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา หมดลงตรงนั้น อุทานขึ้นว่า ยังกิญจิ สุมุทะยะธัมมัง สัพพันตัง นิโรธะธัมมันติ สิ่งใดเกิดเป็นธรรมดา สิ่งนั้นย่อมดับเป็นธรรมดา จะถือเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา ไม่ได้เลย จึงเกิดดวงตาเห็นธรรม พระพุทธเจ้าก็อุทานว่า โกณฑัญญะรู้แล้วหนอ ๆ
พอเห็นคำถาม คำตอบมันก็ไหลออกมาเอง โดยไม่ต้องคิด บางคนอาจจะหัวเราะว่า มันจะเป็นไปได้อย่างไร ไม่คิดแล้วคำตอบจะมาจากไหน คำตอบจะออกมาแบบไม่ต้องคิด จิตนั่นแหละตอบโพล่งๆ ออกมา ไหลออกมา โดยไม่ต้องใช้สังขารขันธ์คือความคิดปรุงแต่งทำงานเลย ทำให้บางคนในกลุ่มธรรมกลุ่มนั้น อ่านคำตอบเรื่องนี้ บอกศรัทธาเลย คำตอบแบบนี้เคยอ่านพบในหนังสือที่ไหนมาก่อนไหม ไม่เคยหรอก ผมเองก็ไม่เคยเหมือนกัน ก็เป็นเรื่องอัศจรรย์อีกเรื่องหนึ่ง พูดไปใครที่ไม่รู้เรื่องก็จะหาว่าโม้นะ จำได้ว่า พอตอบเสร็จ หลวงตาเจ้าของกระทู้ เอ่ยคำว่า สาธุๆ ๆ