อ่านธรรมะด้วยปัญญา

แสดงธรรม กลุ่ม Natural Mind เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2559
ท่านทรงกลด : มีสมาชิกเล่าให้ฟังว่า ตอนบวชอยากจะหาหนังสือปฏิบัติอ่านสักเล่ม ก็มีพระรูปหนึ่งบอกว่า มีหนังสือเล่มหนึ่งดีมากๆ ว่าแล้วก็เอาหนังสือที่มีผู้จัดพิมพ์มาให้สมาชิกท่านนี้ ท่านก็เห็นเป็นหนังสือที่ผมเขียนและมีผู้รวบรวมทำเป็นหนังสือ พูดไปก็ยกตัวเองอีกแล้ว แต่ก็มีท่านอื่นบอกว่า หนังสือเล่มนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการพ้นทุกข์อย่างจริงจัง ไม่เหมาะกับคนโลกๆ ใครอยากอ่านอะไรลึกซึ้ง เช่น ปฏิจจสมุปบาท อิทัปปัจจยตา อาจจะผิดหวัง เพราะผมไม่ได้เขียนไว้เลย สิ่งเหล่านี้เมื่อท่านปฏิบัติเดินแนวทางการเจริญสติอย่างที่ผมวางไว้ในภาษาบ้านๆ ทำอย่างจริงจัง พอเห็นธรรม ท่านจะหายสงสัยในเรื่องปฏิจจสมุปบาททันที พระอานนท์ถึงบอกว่า ปฏิจจสมุปบาทนี่เป็นของกล้วยๆ และถูกพระพุทธเจ้าดุเอาว่า มันเป็นของกล้วยๆ สำหรับพระอริยบุคคล แต่สำหรับปุถุชน ไม่กล้วยเลย
ผมบอกหลายคนว่า ถ้าปุถุชนเขาเถียงกันเรื่องปฏิจจสมุปบาท ให้เดินหนีทันที เพราะยังไม่ทันเดินไปถึงบ้านเลยก็เถียงกันแล้วว่า บ้านมีกี่ประตู กี่หน้าต่าง บันไดอยู่ตรงไหน เวลาฟังพวกนี้พูด คนพูดพูดไปก็งงตัวเอง คนฟังไม่ต้องพูดถึง ยิ่งบทความที่เขียนธรรมะเรื่องพวกนี้ด้วยแล้วอย่าไปอ่านเลย มันจะงุนงงและท้อใจไปเปล่าๆ
พูดถึงการเขียนบทความธรรมะ เมื่อช่วงเย็น ในไลน์สองกลุ่มเอาบทความเรื่องในหลวง ร. 9 บรรลุภูมิธรรม มีทิพยอำนาจทางจิต ทำนองว่า ในหลวงคงบรรลุอนาคามีบ้าง บางคนไปโน่น บอกในหลวงบรรลุอรหัตผลเพราะเห็นสื่อจิตกับพระสังฆราชองค์ก่อนหรือกับท่านพุทธทาสได้ เลยเข้าใจไปอย่างนั้น ผมเห็นแล้ว ตอนแรกจะวางเฉยตามปกติของจิต แต่สงสารคนที่ไม่รู้เรื่องจะเข้าใจอะไรผิดๆ ไป เลยเข้าไปแหย่เสียหน่อยว่า ไม่ใช่อย่างนั้น ถ้าในหลวงเป็นพระโพธิสัตว์จะยังไม่บรรลุมรรคผลใดๆ ทั้งสิ้น จะบรรลุต่อเมื่อมาเกิดแล้วตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น ทิพยอำนาจของพระองค์เกิดจากอำนาจสมาธิที่พระองค์ทรงบำเพ็ญอยู่ต่างหาก บทความนี้จึงคลาดเคลื่อนจากความจริง และอาจทำให้คนเข้าใจไปผิดๆ ไปได้
หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ท่านก็เป็นโพธิสัตว์ มีอำนาจสมาธิรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า รู้วาระจิตผู้อื่นได้เช่นกัน บทความนั้นบอกว่า ในหลวงบรรลุมรรคผลแล้ว และคงบรรลุมรรคผลขั้นสูงทีเดียวจึงสื่อกับพระอริยะเจ้าได้ นี่ การเขียนธรรมะ ถ้าไม่รู้จริงเป็นอันตรายทั้งคนเขียนและคนอ่าน จริงๆ นะ ผมถึงเตือนคนรู้จักหลายๆ คนว่า ธรรมะนี่ถ้าไม่รู้จริง อย่างน้อยถึงขั้นโลกุตระชั้นต้น อย่าไปเขียนเลย เหมือนคนตาบอดเล่าเรื่องช้างให้คนตาบอดด้วยกันฟัง ถ้าจะเขียนควรจะเป็นคน “ตาดี” คือได้ดวงตาเห็นธรรมแล้วนั่นแหละ จึงจะไปรอดทั้งคนเขียนและคนอ่าน ธรรมะที่เขียนทุกวันนี้ เป็นการเขียนตามความคิด ความเข้าใจ การค้นคว้า การจำ การจินตนาการทั้งนั้น แต่ถ้าเขียนข้อคิด สะกิดใจอะไรประมาณนี้ก็คงพอได้
บางคนไปเขียนสภาวะจิตพระอริยะเจ้า ทั้งๆ ที่ตนยังเป็นปุถุชนอยู่เลย ไม่มีทางเขียนได้ถูกเลย เว้นแต่จะคิดเอา จินตนาการเอา ซึ่งบางทีก็ฟลุคมีถูกต้องบ้าง ทำไมถึงบอกว่า เป็นอันตรายทั้งคนเขียน คนอ่าน คนเขียนธรรมะผิดๆ ตายไปก็ไม่พ้นอบาย คนอ่านปฏิบัติผิดๆ แล้วไม่บรรลุธรรม ตอนตายก็สงสัยขึ้นมา ก็ลงอบายเหมือนกัน นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น อย่าเห็นเป็นของสนุกไป หรืออย่างทุกวันนี้เขียนหนังสือธรรมะขายกันเบิกบานสำราญใจเป็นกอบเป็นกำ บอกได้เลย นรกทั้งนั้นแหละ เมื่อวานก็มีคนมาบอกผมเปรยๆ ว่า หนังสือที่ผมเขียน ถ้าวางขาย คงได้เงินหลายตังค์แล้ว ผมก็บอกว่า นั่นสิ
เล่าให้เพื่อนที่มาใหม่ฟัง หนังสือที่เขียนตอนแรกคณะกรรมการก็ถกเถียงกันว่า จะวางขายดีไหม บางคนก็บอกติดต่อช่องทางจำหน่ายได้ เช่น ร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ผมก็กลุ้มใจอยู่ (จริงๆ ไม่อยากทำขาย) อยู่ๆ หลวงปู่บุญส่ง เป็นพระที่เราตั้งใจว่า จะถวายเงินส่วนหนึ่งที่เหลือจากการพิมพ์ให้ท่านไว้สร้างโบสถ์ก็เดินทางเข้ามาที่กรุงเทพฯ คณะกรรมการทำหนังสือมีเจตนาดีคือ จะขายหนังสือเอาเงินมาช่วยหลวงปู่สร้างโบสถ์นั่นแหละ หลวงปู่บุญส่ง ฐิตสาโร อยู่ จังหวัดจันทบุรี เป็นพระแท้ ใครอยู่ใกล้ไปกราบได้นะ ที่อยู่วัดอยู่ท้ายหนังสือนั่นแหละ
คณะกรรมการก็หอบเอาต้นฉบับไปให้หลวงปู่พิจารณา พร้อมเอากับรูปผม (ในมือถือ) ให้ท่านพิจารณาด้วย ท่านพิจารณาแล้วบอกว่า หนังสือนี้ต่อไปจะเป็นแรงบันดาลใจให้คนหันมาปฏิบัติธรรมกันเยอะ ให้พิมพ์แจกเป็นธรรมทานทั้งหมด ไม่ให้ขาย ท่านว่า ธรรมะนี้ไม่ควรเป็นธรรมพาณิชย์ แล้วท่านนั้นก็เซอร์ไพรส์ผมด้วยการขออนุญาตโทรศัพท์ให้ผมได้คุยกับหลวงปู่ในขณะนั้น คุยเสร็จหลวงปู่พูดทิ้งท้ายว่า “เออ นานๆ จะได้เจอคนจริงเสียที” ผมยังจำได้อยู่ สิ่งที่หลวงปู่พูด บัดนี้เป็นความจริงแล้ว หนังสือเล่มที่หลวงปู่เมตตาอ่านให้ในคืนนั้น กำลังเป็นแรงบันดาลใจให้คนหมู่มากจริงๆ หลวงปู่บอกกับลูกศิษย์ (ซึ่งต่อมาเอาคำหลวงปู่ไปโพสต์) ในคืนนั้นว่า ไฟฟ้าตามถนนหนทาง ยังมีวันดับ แต่ประทีปธรรมหากส่องสว่างในใจใครแล้ว ไม่มีวันดับ ยิ่งต่อยิ่งสว่างไสว ตอนคุยโทรศัพท์กับท่าน ผมรู้สึกได้ถึงพลังอะไรบางอย่างส่งมาจากหลวงปู่ เหมือนตอนที่เคยไปกราบหลวงปู่ศรี มหาวีโร สองต่อสองที่วัดป่ากุง จังหวัดร้อยเอ็ด ไม่ผิดเพี้ยนเลย