ถาม-ตอบ

อุบัติเหตุเกิดจากขาดสติหรือกรรม

อุบัติเหตุเกิดจากขาดสติหรือกรรม

แสดงธรรม กลุ่มสายธารธรรม เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2560

 

ผู้ปฏิบัติ  :  ขับรถไปเกิดอุบัติเหตุ นึกสงสัยว่า เราขาดสติหรือว่าเป็นผลจากเจ้ากรรมนายเวรหรือผลกรรมคะ 

ท่านทรงกลด  :  ถ้าทางโลกเขาจะบอกว่า ขาดสติ  แต่ทางธรรม ไม่เรียกว่าขาดสติ ทุกอย่างล้วนแต่เกิดจากกรรม ไม่มีคำว่าบังเอิญ เมื่อเกิดอุบัติเหตุแล้ว ถ้าไม่มีสติรู้เท่าทันอารมณ์ไม่ยินดีที่เกิดจากอุบัติเหตุ นี่ต่างหากจึงจะเรียกว่า ขาดสติ  

ผมนี่ก็ขับรถชนโน่น นี่ นั่น  แม้จะระวังแทบตายก็ยังเกิด บางทีขับดีๆ คนอื่นก็ขับมาชน มันคนละเรื่องกันนะ อย่างเราวางมีดไว้ในลิ้นชักแล้วก็ลืม   วันหนึ่งเปิดลิ้นชักหานาฬิกา ท่ามกลางของที่วางไว้เต็มไปหมด มือก็ไปถูกมีดบาด คนทางโลกก็จะว่าเป็นเพราะขาดสติ  ไม่ดูให้ดี จริงๆ ตรงนี้ ไม่ใช่สติแต่คือ สัญญาความจำต่างหาก 

สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือ พวกที่ไปหลงเอาความคิด ความเข้าใจ ความระลึกได้แบบสัญญามาเป็นสติ ถ้าเรารู้จักสติจริง จะแยกได้เองว่า สิ่งไหนใช่สัมมาสติหรือมิจฉาสติ 

มีสติมากกับเรื่องเกิดอุบัติเหตุคนละเรื่องกัน  สติที่มีเป็นสติทางธรรมคือ สติที่รู้เท่าทันอารมณ์ต่างหาก  พออารมณ์ใดๆ เกิด สติจะตัดอารมณ์ทันทีเรียกว่า อารมณ์มาไม่ถึงจิต  สติหรือความรู้สึกตัวที่มากจะคุ้มครองจิต  ไม่ได้คุ้มครองกาย  

ถ้าสติคุ้มครองกายได้ คนมีสติมากๆ ก็ไม่ต้องเจ็บป่วย หกล้มอะไรสิ หลวงปู่ พระอรหันต์มากมาย เดินหกล้มตีลังกา  อย่างหลวงตามหาบัวเคยเล่าว่า  เดินไปสะดุดรากไม้ในป่า   เห็นไหม ท่านยังมีอุบัติเหตุเลย  แถมท่านก็บอกว่า ตกใจนึกว่างู ฟังดีๆ นะ ตรงนี้ ท่านยังมีตกใจอยู่ แต่ ตกใจ” มันทำอะไรจิตท่านไม่ได้  เกิดแล้วดับทันที ตกใจเป็นอารมณ์หนึ่ง จิตท่านพ้นไปจากอารมณ์ทั้งปวงแล้ว  ตกใจจึงทำอะไรจิตท่านไม่ได้ เหมือนน้ำไหลผ่านใบบัวไป ทำอะไรใบบัวไม่ได้นั่นแหละ ถ้าเห็นธรรม จะเห็นตลอดไปถึงสภาวจิตพระอรหันต์  อธิบายได้ไม่ยาก ตกใจก็เป็นขันธ์ ท่านยังไม่ดับขันธ์  ขันธ์มันก็ทำงานของมันเท่านั้นเอง เหมือนเราอยู่ในครัว บางทีมือไม้ก็ปัดไปโดนนั่น นี่ ตกแตก ไม่ใช่ว่า เราจะไม่มีสติ มันคนละเรื่องกัน  

วันหนึ่งพอจิตขาดจากอารมณ์ จะเป็นสติอัตโนมัติ คือเป็นเอง ไม่ต้องกำหนด  ดังข้อธรรมที่เขียนไว้ว่า  “ถ้าออกจากความคิด ทำใจอยู่กับ “รู้” ได้  จะพ้นจากทุกข์ทั้งปวง”  หลวงปู่ดูลย์จึงบอกว่า “คนเราทุกวันนี้ เขาเป็นทุกข์เพราะความคิด” ที่ทุกข์ก็เพราะคิด ถ้าไม่คิดก็ไม่ทุกข์ เมื่อ รู้” แล้ว แม้จะคิดก็ไม่ทุกข์  สติคือ  แม่ทัพใหญ่ หาสติให้พบ  ก็จะก้าวหน้าในการปฏิบัติ สติคือ ความรู้สึกตัว ความรู้สึกกลางๆ (ทางสายกลาง) สติไม่ใช่ความคิด ไม่ใช่สุข ไม่ใช่ทุกข์ ไม่ใช่อารมณ์สบาย แช่ ไม่ใช่ความระลึกได้แบบสัญญาความจำได้หมายรู้ เมื่อพบสติก็จะแยกได้ว่า อันไหนคือสติ อันไหนคืออารมณ์ ตรงรู้เท่าทันกิเลสว่า ไม่เที่ยง ตรงนั้นคือ ปัญญา มันคู่กันสติกับปัญญา เมื่อมีสติก็มีปัญญา เมื่อมีปัญญาก็มีสติ เมื่อจิตมีสติก็คือ จิตอยู่กับสติก็จะเห็นอารมณ์ กิเลสว่า ไม่เที่ยง เป็นอนิจจัง จะถือเป็นเรา  ของเราไม่ได้ ให้พากันเห็นอย่างนี้นะ 

สติจะนำไปสู่การพบจิตเดิม  เมื่อพบแล้วก็จะพบว่า  จิตเดิมนั่นแหละคือ  สติแท้ สติบริสุทธิ์  สติที่ไม่ต้องคอยกำหนด สติอัตโนมัติ พระพุทธเจ้าจึงบอกว่าพระอรหันต์คือ  ผู้มีสติเต็มร้อย จิตที่ไม่บริสุทธิ์ก็เพราะไปยึดเอาสิ่งที่ปรุงแต่งมาห่อหุ้มจิตไว้เพราะหลงเข้าใจว่า สิ่งที่ปรุงแต่งคือตน 

สำหรับเราแล้ว ศีลนี้เป็นของหยาบ ถ้าจะปฏิบัติธรรม ศีลต้องพร้อมแล้ว สตินี่แหละคือศีล คือสมาธิ คือปัญญา ถ้ายังมัวพะวงกับศีลก็ยังห่างไกลการเข้าถึงธรรม