อินทรีย์ 5

แสดงธรรมกลุ่ม Natural Mind เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2559
ท่านทรงกลด : อินทรีย์ 5 เสมอกันเป็นอย่างไร คำว่า เสมอกันก็คือ ทำให้มากเสมอกัน ไม่ใช่ ศรัทธามากแต่ความเพียรน้อย ความเพียรมากแต่สติน้อย คือ ต้องมากเสมอกัน แล้วมันจะรวมกันเป็นพลังที่จะยังจิตให้ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวไปตามอารมณ์ เหมือนเสาไฟก็คือ จิต สายไฟฟ้าที่กระแสไฟฟ้าวิ่งผ่านไปมาคือ อารมณ์ทั้งปวง ต้องมีพลัง (พละ) ต้านอารมณ์อยู่ ไม่ไหลไปตามกระแสไฟ กระแสอารมณ์ที่วิ่งผ่านไปมา พอสติต่อเนื่องด้วยดี มันจะมีสมาธิอ่อนๆ ขึ้นมาให้เห็นล่ะ รู้ได้อย่างไรว่า มีสมาธิเกิดขึ้น ให้สังเกตเวลาอารมณ์ยินดีเกิด เราคล้อยตามไหม เวลาอารมณ์ไม่ดีเกิด เราคล้อยตามไหม ถ้าสมาธิเกิดจะไม่คล้อยตามแต่จิตจะตั้งมั่น ส่วนปัญญา เป็นตัวตัดสภาวะอารมณ์แต่ละเรื่อง โดยมีสติเป็นตัวห้าม ควบคู่กับสมาธิที่ตั้งมั่น เมื่ออารมณ์เกิด ไม่ว่าดีหรือร้าย ให้มีสติ จิตที่อยู่กับสติได้แน่วแน่คือ สมาธิ ขณะนั้นเห็นอารมณ์แยกออกไป (แต่ยังไม่เด็ดขาด) ให้พิจารณาให้เห็นความไม่เที่ยงของอารมณ์ที่กำลังจะเสื่อมดับให้เห็น เห็นอนิจจัง เห็นความทนอยู่ไม่ได้ เรียกว่า ทุกขังของอารมณ์ พอมันดับไป หาตัวตนไม่ได้ ดับไม่มีเหลือ ไหนล่ะตัวตนของอารมณ์ มันไม่มีเหลือให้ใครมาเป็นเจ้าเข้าเจ้าของหรอก ขณะที่เห็นสักแต่ว่าเห็น ขณะนั้นมันมีสติเกิดแล้ว เพราะถ้าสติไม่เกิด ไม่มีทางที่จะเห็นสักแต่ว่าเห็นได้
ขณะเกิดอารมณ์เป็นธรรมดาที่คนธรรมดาจะต้องเสวยอารมณ์นั้นก่อนคือ เข้าไปยึดคลุกคลีก่อนเป็นธรรมดา เพราะเคยชินมาเป็นล้านๆ ๆ ๆ ๆ กัปกัลป์ แต่พอเห็นสักแต่ว่าเห็น หมายความว่า เราได้ผละออกจากอารมณ์นั้นออกมาแล้ว เราจึงเห็นไง เหมือนเราอยู่ในบ้าน เราก็ไม่มีทางเห็นตัวบ้าน ต่อเมื่อเราเดินออกมาจากข้างในบ้าน นั่นแหละเราจึงเห็นตัวบ้าน ตอนที่ผละออกมาจากอารมณ์ ขณะนั้นจิตจะมีสติโดยอัตโนมัติ เพราะสติกับจิตจะติดกันอยู่ อย่างที่หลวงปู่เทสก์บอก รู้ (สติ) อยู่ที่ไหน ใจก็อยู่ที่นั่น จิตที่อยู่กับสติ ตั้งมั่นกับสติ ขณะนั้นคือสมาธิ สมาธิแปลว่า ความตั้งมั่นแห่งจิต หลวงปู่ชาก็บอกว่า มีสติคุ้มครองอยู่เสมอ นี่แหละคือ สมาธิ ถ้าเราเจริญสติปัญญาแบบนี้เนืองๆ เห็นอารมณ์ไม่เที่ยงอยู่เนืองๆ จิตก็ต้องมีวันเบื่อหน่ายขึ้นมา พออารมณ์เกิดมันก็เหมือนเดิมล่ะว้า เดี๋ยวก็ต้องเสื่อมดับๆ วันหนึ่ง อารมณ์เกิด จิตไม่เข้าไปคลุกคลี ออกมาตั้งมั่น แต่คราวนี้เป็นการตั้งมั่นแบบเด็ดขาด เป็นสมาธิที่เด็ดขาด ตรงนั้นจะเห็นธรรม ปัญญาที่เกิดในขณะเห็นธรรม ก็เป็นปัญญาเด็ดขาด เป็นโลกุตรปัญญาแล้วคราวนี้ ไม่เสื่อมไม่ดับ
ทำไมจึงใช้คำว่า ปัญญาเด็ดขาด เพราะมันจะเป็นปัญญาที่ตัดสังโยชน์เบื้องต้นได้นั่นเอง การปฏิบัติก็มีแค่นี้ เอาแค่นี้ก่อน อย่าเพิ่งไปเอาอรหัตผลเลย แค่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรก็เอาตัวรอดได้สบายแล้ว แต่ทั้งนี้ก็ต้องเริ่มต้นที่สัมมาทิฏฐินี่แหละ
อย่างผู้หญิงสวย ผู้ชายหล่อนี่เห็นแล้วเคลิ้ม หลง เพราะเห็นผิด พรุ่งนี้ ไปที่ทำงานหรือไปเจอหญิงงาม ชายหล่อ ให้เห็นแบบนี้นะ ตอนแรกเขาก็สวย หล่อดีอยู่หรอก ซึ่งจริงๆ ธรรมชาติมันก็สอนเราตลอดเวลา แต่เราเองต่างหากมองไม่เห็น หรือเห็นก็ตาบอดไป ให้สังเกตดูเวลาเขายิ้มสิ ยังสวย ยังหล่ออยู่อีกไหม เวลาคนยิ้ม หัวเราะ เราเห็นอะไร เห็นฟัน
ถามคุณหมอ ฟันกับกระดูกนี้ต่างกันไหม เอากระดูกแตกชิ้นหนึ่ง กับฟันแตกชิ้นหนึ่งมาวางด้วยกัน เราจะแยกออกไหม ในทางธรรมะ ฟันและกระดูกคืออันเดียวกัน แต่เรียกแยกกันเพื่อความสะดวกในการพิจารณาประกอบกับสถานที่อยู่ก็ต่างกัน จริงๆ แล้ว เวลาคนเรายิ้ม หัวเราะนี่ เขาโชว์ให้เห็นกระดูกอยู่ตลอดเวลา เหมือนคนอมกระดูกไว้ท่อนหนึ่ง ฟันนี้ถ้าไม่แปรงสักสามสี่วัน มันจะเป็นอย่างไร มันสกปรกไหม ธรรมชาติมันเป็นของสกปรก ถ้าไม่สกปรก เราก็คงไม่ค่อยทำความสะอาดวันละสองสามเวลาหรอก หรือใครคิดว่า ธรรมชาติมันสะอาด ลองไม่แปรงฟันสักสามวันทีเถิด
แล้วฟันนี่มันเที่ยงไหม มันมีฟันแบบไม่ผุ ไม่พังไหม ไม่มีหรอก นี่ไง เขาเรียกว่า เห็นตามจริง เห็นชอบ สัมมาทิฏฐิ มรรคมีองค์แปดแล้ว ถ้าเห็นตามจริงอย่างนี้ เห็นว่า ฟันก็ไม่ต่างจากกระดูกชิ้นหนึ่ง มีเสื่อม มีพัง จิตเราจะสงบ จะไม่ฟุ้งซ่าน ก่อร่างสร้างภพสร้างชาติอะไรเลย นอกจากเห็นอารมณ์ยินดี ยินร้ายตามจริงแล้ว เราก็ควรจะเห็นกายตามจริงด้วย ลองเอาไปใช้ดู ผมก็ใช้วิธีนี้แหละ ไม่มีอะไรมากหรอก การปฏิบัติที่ผ่านมา ในหนังสือก็เขียนไว้มากเห็นแล้ว มันไม่ถึงขนาดกำจัดราคะอะไรได้หรอก แต่มันก็ทำให้สติเราดีขึ้น สมาธิก็ดีขึ้น
จริงๆ พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เอาปัญญาอบรมสมาธินะ ปัญญาก็คือ ความเห็นชอบนี่แหละ อย่าทำเป็นเล่นไปนะ ในสมัยพุทธกาล มีพระรูปหนึ่ง เห็นสตรีนางหนึ่งยิ้มเห็นฟัน ก็เอาฟันมาพิจารณาด้วยไตรลักษณ์ จิตเกิดถอดถอนความยึดมั่นในรูป ในนาม พรวดเดียวถึงอรหัตผลเลยทีเดียว ธรรมใดที่ไม่เป็นไปเพื่อความสงบ ระงับ ไม่ได้เป็นไปเพื่อละความยึดมั่น ถือมั่น ธรรมนั้นไม่ใช่ธรรมของพระพุทธเจ้า
อย่าไปติดสมาธิที่ไม่ผ่านสติมากนัก อันนี้อันตราย หลวงปู่ชาก็เตือนบ่อย เราไม่มีญาณไปหยั่งรู้ท่านได้ แต่ขอให้ดูคำสอน คำสอนสะท้อนสภาวะจิตของท่านได้ แต่คนที่จะดูพระแท้ได้ อย่างน้อยก็ต้องรู้เห็นธรรมเป็นพระอริยบุคคลเบื้องต้นบ้างแล้ว เพราะเห็น “ร่องรอย” ท่านแล้ว จึงพอจะบอกได้ ทำไมพระอริยะเจ้าเบื้องต้นหรือคนที่รู้ธรรมเห็นธรรมจึงบอกว่า พระรูปไหนเก๊ พระรูปไหนแท้ เพราะใจท่านเป็นธรรมแล้ว ท่านย่อมรู้แยกแยะได้ว่า อันไหนธรรม อันไหนไม่ใช่ธรรม เหมือนเซียนพระสมเด็จ ถ้าลองมีพระแท้แขวนอยู่ที่คอ ดูอยู่ทุกวัน ไปเจอสมเด็จเก๊ก็บอกได้ไม่ยาก ฉันใดก็ฉันนั้น เพราะเขาเห็นของแท้ประจักษ์ใจ ประจักษ์ตามาแล้ว ของปลอมจึงหลอกเขาไม่ได้