อะหัง สุขิโต โหมิ ขอให้ข้าพเจ้า (?) จงเป็นผู้ถึงสุข

แสดงธรรมกลุ่ม Natural Mind เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2559
ผู้ปฏิบัติ : ในบทแผ่เมตตาให้ตนเองที่ว่า อะหัง สุขิโต โหมิ ขอให้ข้าพเจ้าจงเป็นผู้ถึงสุข คำว่า ข้าพเจ้า หมายถึงอะไรครับในเมื่อกายไม่ใช่ของเรา วิญญาณไม่ใช่เรา แล้วอะไรคือเรา หรือเป็นไปเพื่อบัญญัติเท่านั้นครับ เวลาสวดรู้สึกขัดอยู่ในใจครับ
ท่านทรงกลด : นี่เป็นคำถามของผู้ปฏิบัติที่ถามมา ท่านนี้ปฏิบัติมานานหลงติดอยู่กับความว่างจนมาพบผม ผมได้แนะนำแนวทางการปฏิบัติไปพอสมควร เขาขอหนังสือมาตั้งแต่แรกๆ ผมก็ส่งไปให้อ่าน วันหนึ่งไปภาวนาที่วัดพระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต ปลีกวิเวกอยู่ตามลำพัง นี่คือ ที่แห่งหนึ่งบนเขาวัดพระอาจารย์สุชาติ ที่ท่านนี้ไปภาวนาเอาจริงจนเกิดความรู้แจ่มแจ้งว่า กายนี้ไม่ใช่เรา ของเราจริงๆ เหมือนอย่างที่ผมเคยเกิดความรู้แจ่มแจ้งนั่นคือ เห็นผมร่วงลงมาเป็นดินต่อหน้าต่อตา (ในสมาธิ) จิตก็หายสงสัยไปในบัดดล ความสงสัยว่า กายเนื้อนี้ใช่เรา ของเราแน่หรือ หมดไปแต่ยังไม่จบเพียงนั้น หลายคนพอถึงตรงนี้คิดว่า บรรลุธรรม เห็นธรรมแล้วหยุด จึงเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมากๆ
การปฏิบัติในปัจจุบันต้องอดทน ใจเย็น อย่างที่หลวงปู่ชาบอกว่า ต้องอดทนต่อสู้กับอารมณ์ทุกอย่างจึงจะได้มาซึ่งรสแห่งธรรมที่เยือกเย็น เมื่อถึงตรงนั้นจะยืน เดิน นั่ง นอน มันจะเยือกเย็นไปหมดเพราะจิตมันเย็น อะไรก็เย็นไปหมด เย็นจากเพลิงกิเลส ยังไม่ต้องดับกิเลสหรอก แค่ปฏิบัติเจริญสติปัฏฐานสี่จนจิตห่างจากกิเลส มันก็เยือกเย็นทั่วทุกขุมขนแล้ว จะหาสุขใดๆ ที่เคยมีมา หาได้ไม่เหมือนจริงๆ นะ อย่างผมหรือท่านๆ ต่างล้วนผ่านสุขทุกรูปแบบมาหมดแล้ว เมื่อมาพบสุขอันเกิดจากความเห็นชอบ (สัมมาทิฏฐิ) มันจะเป็นสุขอีกแบบหนึ่ง ความเยือกเย็นจะค่อยแผ่เข้ามาหรืออีกนัยหนึ่งจิตจะค่อยๆ เยือกเย็นด้วยตัวมันเอง เหมือนแต่ก่อนเราอยู่กับเตาไฟที่ร้อนระอุ พอรู้ว่าร้อน เราก็ค่อยๆ เดินถอยออกมา อาการที่จิตมันถอยออกมานี่แหละเรียกว่า สัมมาสังกัปปะ มันถอยเพราะอะไร เพราะมันเห็นชอบแล้วว่า ราคะก็ดี โทสะก็ดี มันร้อนรุ่ม แผดเผาใจเราทุกวันคือ ไม่เคยว่างเว้นแม้กระทั่งนอนหลับก็ยังตามเข้าไปในความฝัน เราถูกกิเลสมันร้อยรัดทิ่มแทงจิตใจไม่เคยมีวันหยุดพัก
ถ้าคนทำสมาธิได้ก็อาจจะมีวันหยุดพักบ้างนั่นคือ ภาวนาหนีกิเลสเข้าไปอยู่ข้างใน (จิตส่งใน) อยู่กับความสงบภายในแต่มันยังไม่สงบอย่างแท้จริง เพราะพอออกมาก็ถูกมันร้อยรัดทิ่มแทงอีก พระพุทธเจ้าจึงหนีอุทกดาบสและอาฬารดาบสไปแสวงหาทางพ้นทุกข์ด้วยตนเองก็เพราะเหตุนี้ เมื่อพระองค์ทรงค้นพบจิตใจตนเอง ค้นพบว่า ที่แท้ขันธ์ห้า อารมณ์ทั้งปวงหาใช่พระองค์ไม่ และเห็นอารมณ์ทั้งปวง กิเลสทั้งปวงเป็นของร้อน ของวุ่น และไม่อาจจะถือว่าเป็นเรา ของเราได้ เพราะพระองค์พบตนเสียแล้ว จิตของพระองค์ก็เดินถอยออกมาจากอารมณ์ จากกองเพลิงคือ กิเลสเหล่านั้น ตรงที่เห็นว่า อารมณ์ทั้งปวง กิเลสทั้งปวงไม่ใช่เรา ของเรา เพราะไม่เที่ยง เสื่อมดับไปเป็นธรรมดา ตรงนั้นเรียกว่า เห็นชอบ (สัมมาทิฏฐิ) พอเห็นชอบ เห็นแล้วว่า กิเลสทั้งปวงไม่ใช่เรา ของเรา แถมยังร้อนรุ่ม แผดเผาใจมาหลายกัปหลายกัลป์เหลือเกินแล้ว ใจมันก็จะถอยห่างออกมาเองโดยอัตโนมัติ เรียกว่า สัมมาสังกัปปะ ดำริออกจากกาม ออกจากความพยาบาท ออกจากความรัก ความหลง ความชัง ออกจากอารมณ์ทั้งปวง ใจที่มีสัมมาทิฏฐิจึงเป็นใจหรือจิตที่เยือกเย็น พอถึงตรงนั้นก็จะถึงบางอ้อว่า ทำไมหลวงปู่ชาจึงเทศนาเรื่อง สัมมาทิฏฐิที่เยือกเย็นอยู่ในหนังสือ 48 พระธรรมเทศนาของหลวงปู่ชา ลองไปหาอ่านรายละเอียดดู
ก่อนจะไปถึงตรงนั้นพวกเราอย่าใจร้อน การปฏิบัติธรรมของคนในยุคนี้ส่วนใหญ่จะใจร้อน เห็นคนอื่นทำได้ก็คิดว่าไม่ยาก พอทำไม่ได้ก็ท้อถอย เลิกราไปในที่สุด คนเราสั่งสมมาไม่เท่ากันแต่การปฏิบัติในแนวสติปัฏฐานสี่ พระพุทธเจ้าก็รับรองอยู่แล้วว่า หากเจริญต่อเนื่องกันอย่างเร็วเจ็ดวัน อย่างกลางเจ็ดเดือน อย่างช้าเจ็ดปี จะต้องบรรลุธรรมอย่างแน่นอนซึ่งผมก็ขอยืนยันตามพระพุทธดำรัสนี้
หลวงพ่ออนันต์ วัดมาบจันทร์ ขนาดท่านได้สมาธิสูงแล้ว หลวงปู่ชายังไล่ให้ไปพิจารณากายก่อนคือ เจริญกายคตาสติ ซึ่งในหนังสือกว่าจะถึงกระแสธรรมกล่าวไว้ค่อนข้างมากแล้ว เมื่อเราพิจารณากายอันได้แก่ ผม ขน เล็บ ฟัน หนังจนจิตหายสงสัย ต่อไปก็จะไม่ยากเลย ท่านที่ถามมานี้ก็ได้พิจารณากายจนตอนนี้หายสงสัยในเรื่องกายแล้วแต่ก็ถามผมมาตามที่ยกมาให้ดู ถึงแม้ท่านจะไม่ถาม ท่านก็จะได้รับคำตอบในเร็ววันอยู่แล้ว เพราะจิตจะวิวัฒนาการไปโดยอัตโนมัติอย่างที่หลวงพ่อพุธเคยบอกไว้
ที่ท่านแผ่เมตตาให้ตนเองแล้วจิตมันถามตัวมันเองแบบอย่างที่ยกมาให้ดู อะหัง สุขิโต โหมิ ขอให้ข้าพเจ้าจงเป็นผู้ถึงสุข พวกเราเคยสงสัยเหมือนท่านนี้หรือเปล่า ในเมื่อกายนี้ไม่ใช่ของเรา วิญญาณไม่ใช่ของเรา จิตกำลังวิวัฒนาการไปหาตัวมันเองแล้ว รูป (กายนี้) ไม่ใช่เรา ของเรา เวทนา (ความรู้สึกสุขหรือทุกข์) ก็ไม่ใช่เรา ของเรา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็ไม่ใช่เรา ของเรา นี้รวมเรียกว่า ขันธ์ห้า
สมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าสอนให้เห็นว่า ขันธ์ห้าไม่ใช่เรา ของเราอย่างไร ท่านจะไล่ถามไปทีละข้อ รูป (กาย) เที่ยงหรือไม่เที่ยง ภิกษุก็ตอบว่า ไม่เที่ยงพระพุทธเจ้าข้า เพราะต้องเสื่อมไปดับไปในที่สุด มีใครอยู่เกินสองร้อยปีบ้าง ไม่มี พระพุทธเจ้าก็ถามต่อว่า สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นทนอยู่ได้หรือไม่ (ทุกขัง) ภิกษุก็ตอบว่า ไม่ได้พระพุทธเจ้าข้า ก็สิ่งใดไม่เที่ยง ต้องเสื่อมดับทำลาย ไม่อยู่ในบังคับบัญชาของใคร หาแก่นสารไม่ได้ สิ่งนั้นจะหาตัวตนที่แท้จริงได้หรือไม่ (อนัตตา) ภิกษุก็พากันตอบว่า หาตัวตนไม่ได้พระพุทธเจ้าข้า (อนัตตา) เช่นนี้แล้ว รูปนี้ กายนี้ไม่เที่ยงเป็นทุกขัง หาแก่นสารตัวตนที่แท้ไม่ได้ เป็นอนัตตา ควรหรือที่เราจะพึงยึดมั่น ถือมั่นว่า นี่คือเรา ของเรา ภิกษุตอบว่า ไม่ควรพระพุทธเจ้าข้า พระพุทธเจ้าก็ถามต่อไปว่า แล้วเวทนาเล่า เที่ยงหรือไม่เที่ยง ความสุข ความทุกข์ ความยินดี ความยินร้าย หรือความรู้สึกเฉยๆ เกิดแล้วเสื่อมดับไปเป็นธรรมดา เที่ยงหรือไม่เที่ยง ไม่เที่ยงพระพุทธเจ้าข้า ทนอยู่ไม่ได้ หาแก่นสารตัวตนไม่ได้ แม้สัญญาความจำได้หมายรู้ก็เช่นกัน สังขารเล่า ความคิดปรุงแต่งแล้ว คิดเรื่องนั้นไม่นาน เรื่องใหม่ก็โผล่มาให้คิด เรื่องเก่าก็ดับไป วนเวียนซ้ำซากอยู่ชั่วนาตาปี ควรหรือที่จะหมายมั่นในความคิดปรุงแต่งว่าเป็นเรา ของเรา มันเกิดดับอยู่ตลอดเวลาอย่างนี้ ไม่ควรพระพุทธเจ้าข้า วิญญาณ ความรู้สึกทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายหรือทางใจเล่าเที่ยงหรือไม่เที่ยง ตาเห็นรูป วิญญาณความรู้แจ้งทางตาเกิดขึ้นแล้วดับไป แม้ทางหู จมูก ลิ้น กาย ใจก็ทำนองเดียวกัน เมื่อทั้งรูป (กาย) เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ต่างก็ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ หาแก่นสารตัวตนไม่ได้เป็นอนัตตา ควรหรือจะหมายมั่นในขันธ์ห้าว่านั่นคือเรา ของเรา ภิกษุทั้งหลายเห็นอย่างนี้ (เห็นชอบ) ก็จะเกิดสภาวะหนึ่งขึ้นในบัดดลนั่นคือ มีอะไรบางอย่างหลุดจากการเกาะเกี่ยวในขันธ์ห้า อารมณ์ทั้งหลายออกมาตั้งเด่น (หลวงปู่เทสก์ ใช้คำว่า ลอยเด่น) มันเป็นการเผชิญหน้าครั้งยิ่งใหญ่และสำคัญที่สุด ระหว่างอะไรที่หลุดออกมาจากภาวะเกาะเกี่ยวยึดโยงอยู่กับขันธ์ห้า กับตัวขันธ์ห้าเอง สิ่งนั้นคือ “จิต” จะเห็นว่า ขันธ์ห้า รูปนี้ กายนี้ก็ดี เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณหรือความรู้สึกนึกคิดทั้งปวง (อารมณ์) ก็ดี หาใช่เราเลยแม้แต่นิด เราก็คือ สภาวะที่หลุดออกมาจากการเกาะเกี่ยวยึดมั่น (อุปาทาน) ในขันธ์ห้านั่นเอง หลวงปู่ชาบอกว่า ผู้ใดพบจิต ผู้นั้นพบตน แต่จะเห็นว่า ตนนั้นที่แท้มันไม่มี (มันว่าง) ท่านบอกว่า มันไม่ใช่ว่างแบบไม่มี แต่มันว่างแบบมี ถ้ารู้ธรรมเห็นธรรมก็จะพูดเหมือนกันแบบนี้ เพราะเห็นสิ่งเดียวกัน
อะหัง สุขิโต โหมิ ขอให้ข้าพเจ้าจงเป็นผู้ถึงสุข คราวนี้รู้กันหรือยังว่า “ข้าพเจ้า” นี่คือใคร ความจริงในหนังสือที่ผมเขียนได้พูดเรื่องนี้ไว้ชัดแจ้งในตัวอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า เรานี่หลงตามรอยโคอยู่หลายกัปกัลป์ แม้ชาตินี้ออกผนวชแล้วยังหลงตามอยู่อีกตั้งหกปี บัดนี้เราพบตัวโคแล้ว ตัวโคก็คือ ข้าพเจ้า คือ จิต รอยโคก็คือ อารมณ์ทั้งปวง ผู้ใดพบตนจะพ้นโลก หลวงปู่ขาวก็พูดไว้ อมตะวาจาของหลวงปู่มั่น เห็นใจตนแล้วก็คือ เห็นธรรม อารมณ์ทั้งปวง ขันธ์ห้าทั้งหลาย นั่นแหละขึ้นชื่อว่าของปลอม
ผมตอบคำถามนี้ไปสั้นๆ ว่า กาย (รูป) ไม่ใช่ข้าพเจ้า เวทนาไม่ใช่ข้าพเจ้า สัญญาไม่ใช่ข้าพเจ้า สังขาร (ความคิดปรุงแต่ง) ไม่ใช่ข้าพเจ้า วิญญาณก็ไม่ใช่ ข้าพเจ้าก็คือ จิตอันหนึ่งนั่นเอง หลวงปู่ชาก็บอกว่า เรานี้คือ จิตอันหนึ่ง แต่จิตจะมีอะไร จิตก็ไม่มีอะไร (เพราะมันว่าง) แต่เป็นความว่างที่บรมสุข เพราะปราศจากการปรุงแต่งเสียแล้ว
การปฏิบัตินี้จึงอย่าใจร้อน ให้เพียรเฝ้าดูกาย ดูลมหายใจ ดูอารมณ์ที่ผ่านมาในระหว่างวัน จะยืน เดิน นั่ง นอนให้พยายามประคองสติคือ ความรู้สึกตัวเข้าไว้ แค่นี้แหละ อย่าเพิ่งไปเรียนลัด ถามหาผู้รู้อะไรเลย เอาแค่เห็นลม เห็นกาย เห็นอารมณ์ไม่ใช่เรา ของเราก่อน แค่นี้ก่อน เครื่องมือที่จะทำให้เห็นก็คือ พระไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หลวงปู่ชาบอกว่า เจออะไรก็ใส่อนิจจังเข้าไป เจอกาย เจอลม เจออารมณ์ ก็หนีไม่พ้นอนิจจังทั้งนั้นแหละ หลวงตามหาบัวบอกว่า ไม่เอาอนิจจัง เอาทุกขังหรืออนัตตาก็ได้ สุดแท้แต่อันไหนทำให้ปัญญางอกงามดีกว่ากัน จิตสงบมากกว่ากัน คนที่ถามมานี้ตอนนี้จิตมันหายสงสัยเรื่องกาย เรื่องลมไปแล้ว มันกำลังเรียนรู้เรื่องอารมณ์ เวทนา สัญญา สังขาร แล้วสุดท้ายก็จะพบทำนองเดียวกันกับกายนั่นแหละ วันใดที่จิตแยกออกจากขันธ์ห้า อารมณ์ได้เด็ดขาด (สักครั้งหนึ่ง) จิตก็จะหายสงสัยไปเองว่า ตัวข้าพเจ้านี่คือใครหนอ
ตรงที่เห็นขันธ์ห้าอารมณ์ไม่ใช่เรา (ข้าพเจ้า) ตรงนั้นจะละสักกายทิฏฐิได้ ตรงที่หายสงสัย คือละวิจิกิจฉาได้ พอเห็นว่าขันธ์ห้าไม่ใช่เรา ก็จะหายสงสัย หากมีที่เคยคิดจะไปฆ่าใคร ลักของใคร ผิดลูกผิดเมียใคร โกหกใครมันก็หมดไปโดยปริยาย เพราะเห็นชัดแจ้งว่า ที่ว่า “ใคร” “ใคร” นี้ ที่แท้มันไม่มี “ใคร” อย่างที่เคยหลงเห็นมาก่อนนี้ ก็จะละสีลัพพตปรามาสไปโดยอัตโนมัติ จะทรงศีลห้าเป็นปกติ โดยไม่ต้องคอยสมาทาน เพราะใจเป็นศีลไปแล้ว โสดาปัตติผลเกิดตรงนี้แหละ ละสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา และสีลัพพตปรามาสลงได้ในคราวที่เห็นว่า ขันธ์ห้าไม่ใช่จิต จิตไม่ใช่ขันธ์ห้านั่นเอง ขันธ์ห้าไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ห้า
คราวนี้เวลาแผ่เมตตาให้ตนเองว่า อะหัง สุขิโต โหมิ ขอให้ข้าพเจ้าจงเป็นผู้ถึงสุข อรรถรสที่ได้จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะเป็นการแผ่เมตตาที่กอปรด้วยปัญญา รู้เท่าทันคำว่า “ขอให้ข้าพเจ้าจงเป็นผู้ถึงสุข” เสียแล้ว เพราะเห็นแล้วว่า ที่แท้ข้าพเจ้านั้นหาตัวตนไม่ได้ มันมีเหมือนไม่มี (มันว่าง) เป็นการแผ่เมตตาในขั้นอริยบุคคลคือ แผ่เมตตาด้วยการปล่อยวาง ไม่หมายมั่นในตน ในใคร คำว่า จงเป็นผู้ถึงสุข ก็ไม่ต้องปรารถนาแล้วเพราะจิตที่ถึงจิตนั่นแหละเป็นสุขที่สุดแล้ว บรมสุข ถึงใจคือถึงธรรม ความปรารถนาทั้งหลายคือ สมุทัย คือ เหตุแห่งทุกข์
หลายปีก่อน ขณะที่ผมรดน้ำต้นไม้ที่บ้าน เกิดความรู้ผุดขึ้นว่า หมดความปรารถนาที่จะแสวงหาสุขก็หมดทุกข์ ความปรารถนาในสุขคือ เหตุแห่งทุกข์คือ สมุทัย เมื่อถึงตรงนั้น ประโยคที่ว่า ขอให้ข้าพเจ้าจงเป็นผู้ถึงสุขก็เป็นเพียงสมมติบัญญัติ ท่องไปตามบทสวดเท่านั้น ใจเมื่อถึงใจ ถึงธรรมเสียแล้ว มันก็เป็นสุขอยู่ในตัวแล้ว ไม่ต้องปรารถนาสุขใดอีก ไม่มีอะไรที่จะต้องถึงหรือไม่ถึงอีกต่อไป
ในเบื้องต้นนี้ขอให้พยายามทำความเห็นชอบให้เกิดเสียก่อน เห็นกายนี้ ลมหายใจนี้ อารมณ์ทั้งปวงนี้ ไม่เที่ยง ไม่จีรัง ไม่ควรหมายมั่น พิจารณาอย่างนี้ทุกวันๆ เนืองๆ จิตจะคลายตัวออกมาเอง ทำความรู้สึกตัวบ่อยๆ ยืน เดิน นั่ง นอน วันหนึ่งเมื่อแยกจิตออกจากอารมณ์ได้ เกิดความเห็นชอบที่เป็นโลกุตรมรรค ตอนนั้นก็ไม่ต้องอะไรมากแล้ว จิตตอนนั้นจะแน่วแน่มุ่งตรงต่อพระนิพพานโดยฝ่ายเดียวและเป็นไปโดยอัตโนมัติ พระพุทธเจ้าจึงรับรองว่าไม่เกินเจ็ดชาติ (พระโสดาบันเกิดอีกไม่เกินเจ็ดชาติ) ก็จะบรรลุอรหัตผล ดับเพลิงกิเลส เพลิงทุกข์ได้โดยสิ้นเชิง หยุดการเวียนว่ายตายเกิดกันเสียที
เวลาจิตแน่วแน่มุ่งตรงต่อพระนิพพานนี้อะไรก็เอาไม่อยู่นะ พอเจออารมณ์ปุ๊บ บางทีมันสลัดทิ้งไม่เหลือซากเลย อารมณ์นั่นแหละคือ เชื้อให้เกิดภพชาติ จิตที่เสวยอารมณ์ทุกขณะก็คือ เกิดภพ เกิดชาติอยู่ทุกขณะนั่นเอง จึงขอให้พยายามให้มีสติรู้เท่าทันอารมณ์ให้มากๆ ให้บ่อยๆ ทำอยู่เนืองๆ ต้องอดทนต่อสู้ สวนกระแสโลกจึงจะถึงกระแสพระนิพพาน เมื่อถึงตรงนั้นจะนึกถึงคำพูดต่างๆ ของผมที่ได้แสดงไป ไม่ต้องไปสู้กับใคร สู้กับอารมณ์ตัวเองนี่แหละ พระพุทธเจ้าตรัสว่า ชนะตนเป็นเลิศกว่าชนะสิ่งอื่นทั้งปวง