อย่าเอาความเข้าใจมาเป็นธรรม มิฉะนั้นจะได้แต่ความจำ

แสดงธรรมกลุ่มสายธารธรรม เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2560
ผู้ปฏิบัติ : ถ้าจะสรุปความเข้าใจของตัวเองว่า ทุกสรรพสิ่งเป็นสิ่งสมมุติ สมมุติว่า มีเรา มีตัวเรา แล้วเราเองที่ปรุงแต่งขึ้นมาว่า มันมีสุขหรือมีทุกข์ มีหนาวหรือมีร้อน มีโกรธและมีไม่โกรธ เป็นการปรุงแต่งด้วยความคิดหรือที่สมมุติขึ้นมาทั้งสิ้น ใช่ไหมคะ แท้จริง ใจก็คือว่างๆๆ เดิมแท้ เขาก็อยู่ของเขาอย่างนั้น แต่เพราะถูกปรุงแต่งเท่านั้นเอง จึงวนๆๆ ไปตามวัฏสงสาร ใช่ไหมคะ
ท่านทรงกลด : เข้าใจถูกแล้ว แต่ก็เป็นแค่เพียงความเข้าใจเท่านั้นเอง เปลี่ยนความเข้าใจเป็นความเห็นแจ้งจึงจะถูกต้อง ความเข้าใจอย่างนี้ แม้เด็ก ป. 4 ก็เข้าใจได้ พูดได้เหมือนกัน แต่จะทำให้ “เห็น” อย่างที่เข้าใจนี่สิ มันยากตรงนี้ พอเห็นแล้ว ก็ไม่ต้องเข้าใจ ที่จะมาเข้าใจอย่างนั้น เข้าใจอย่างนี้ มันหมดไปเอง อย่าเอาความเข้าใจมาเป็นธรรม ความเข้าใจก็เป็นเพียงสังขารคือการคิดปรุงแต่งอย่างหนึ่งเท่านั้น เข้าใจถูกทุกอย่าง แต่ไม่รู้จักสติ ไม่รู้จักปัญญา ก็หาประโยชน์อะไรไม่ได้
อนึ่ง ที่เขียนมาก็ยังมีความเข้าใจผิดอยู่ ใจไม่ได้ถูกปรุงแต่ง ใจต่างหากที่ปรุงแต่งสิ่งต่างๆ ออกมา ธรรมทั้งปวงไหลมาแต่เหตุ เหตุก็เพราะใจปรุงแต่ง พระสารีบุตรเมื่อได้ฟังพระอัสสชิสอนสั้นๆ แค่นี้ ใจท่านก็ผละออกมาจากสิ่งที่ปรุงแต่ง เหลือใจโดดเด่นอยู่ พบใจ พบธรรม บรรลุโสดาปัตติผล
อย่างที่บอกว่า สิ่งทั้งปวงเป็นสิ่งสมมติ อันนี้เด็ก ป. 3 ป. 4 ก็พูดได้แบบนกแก้วนกขุนทอง ทุกวันนี้เรามีแต่ผู้เข้าใจธรรม แต่ผู้เข้าถึงธรรมไม่มีหรือมีแต่น้อย
ความเห็น เป็น “ญาณ” ความเข้าใจเป็นสังขาร ธรรมใดที่ยังปรุงแต่งอยู่ ธรรมนั้นยังหาชื่อว่าเป็นธรรมแท้ไม่ ขอให้จำไว้ว่า ถ้าเห็นจะหายสงสัย
การเข้าใจ การคิดพิจารณาของปุถุชนกับพระอริยบุคคลก็ต่างกัน ปุถุชนจะคิดเข้าใจโดยไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรเลย จะไหลตามความคิดไปแบบไม่รู้เรื่อง แต่อริยบุคคลจะคิดด้วยการรู้เท่าทัน รู้ว่าอันไหนจิต อันไหนคิด อันไหนอารมณ์ พอคิดแล้ว ก็ดับทันที ไม่มีอะไรค้าง อริยบุคคลจึงเป็นอยู่ด้วยจิตว่าง ไม่มีอะไรจะต้องยึด และไม่มีอะไรจะให้ยึด เพราะเห็นอยู่ตรงหน้าว่า อารมณ์ความคิดทั้งปวงเกิดแล้วดับไปทันที
ครั้งหนึ่ง หลวงปู่ดูลย์ขณะเดินทางมารักษาตัวที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ คืนนั้น มีการจุดพลุเฉลิมฉลอง ลูกศิษย์ก็พาหลวงปู่มานั่งดูพลุไฟ แล้วถามหลวงปู่ว่า สวยไหมหลวงปู่ หลวงปู่ตอบสั้นๆ ว่า “มันเกิดดับไวมาก” ที่หลวงปู่ตอบ ไม่ได้หมายถึงพลุไฟเกิดดับ แต่หมายถึง อารมณ์ยินดีที่เกิด (เนื่องมาจากดูไฟพลุ) ดับลงไวมากต่างหาก ไม่เหลืออะไรค้าง
แต่ก่อนไม่เข้าใจปฏิปทาหลวงปู่อย่างหนึ่งคือ เวลามีใครถามอะไร ท่านจะตอบสั้นๆ ไม่อธิบายเยิ่นเย้อ ตอนนี้เข้าใจชัดแจ้งแล้ว หากเป็นพระหรือฆราวาสทั่วไปถาม ท่านจะตอบสั้นๆ เพราะตอบยาว ลึกไป ก็ไม่มีประโยชน์ แต่หากมีพระปฏิบัติมาถาม ท่านจะตอบยาวๆ
ครั้งหนึ่ง มีคณะพระจากกรุงเทพฯ ถามหลวงปู่ว่า การปฏิบัติที่ลัดสั้นมีไหม หลวงปู่ตอบว่า มี คือ การทำญาณให้เกิด เสมือนตาเห็นรูป ทั้งนี้เพื่อเป็นไปซึ่งความรู้แจ้งพระนิพพาน พระกลุ่มนั้นก็ไม่เข้าใจ (รู้สึกจะเป็นพระราชาคณะด้วยนะ) ท่านก็ตอบเหมือนเดิม แล้วท่านก็ชี้ไปที่พระรูปหนึ่งที่อยู่ข้างๆ ท่าน บอกว่า “เจ้านี้กำลังทำอยู่” คำว่าเจ้านี่กำลังทำอยู่คือ กำลังเจริญสติอยู่นั่นเอง
หากพวกเราเจริญสติอย่างจริงจัง จนวันหนึ่งเกิดสภาวะตาเห็นรูป (ญาณ) ก็จะรู้เองว่า มันต่างจากความคิดความเข้าใจอย่างไร จะเห็นว่า มันคนละเรื่องกันเลย ความเข้าใจกับตาเห็นรูป จะเห็นอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด เกิด ดับ อยู่ตรงหน้า เหมือนตาเห็นมือถืออยู่ในขณะนี้ มันแยกเด็ดขาดออกมาให้เห็น นั่นแหละจึงจะเรียกว่าตาเห็นรูป
อย่าไปมัวเอาความเข้าใจมาเป็นธรรม จะได้แต่ความจำและเสียชาติเกิดที่เกิดมาพบพุทธศาสนาแล้ว แต่ไม่ได้อะไรเลย ความเข้าใจไม่ได้ช่วยให้พ้นทุกข์ได้ อย่างไม่มีข้าวกิน ทำงานเงินเดือนไม่พอใช้ พี่น้องล้วนต้องพึ่งพา ความเข้าใจว่า พี่น้องเป็นสิ่งสมมติ ความหิวเป็นสิ่งสมมติ มันช่วยให้พ้นทุกข์ได้ไหม ถ้าไม่หลอกตนเอง มันไม่ได้หรอก แต่ถ้าลองเจริญสติ แยกจิตออกจากเวทนาได้สิ จะเห็นว่า มันช่วยได้ ช่วยได้อย่างไร ไปถึงจะรู้เอง แต่บอกให้ว่า ใจนี่มีอำนาจเหนือทุกสิ่ง ถ้าพบใจแล้ว ก็จะเห็นจริงตามที่กล่าว
ขอให้เจริญในธรรมทุกท่าน