หวง ห่วง คือบ่วงชั้นยอด

แสดงธรรม กลุ่มต้นบุญ เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2559
ท่านทรงกลด : อีกไม่กี่วันก็จะเป็นวันอาสาฬหบูชา เข้าพรรษาอีกคราหนึ่ง ความสุขของนักปฏิบัติคือการได้สนทนาธรรมกับผู้ที่ใฝ่ธรรม เพราะสนทนาแล้วมีแต่ความสุข สงบ เยือกเย็น ไม่เหมือนคุยแบบโลกๆ ทางโลกมีแต่วุ่นวาย เร่าร้อน เวลาคุยเรื่องทางโลก ใจนี่มันสะอิดสะเอียนเหลือที่จะกล่าวเลย อวดยศ อวดศักดิ์ อวยรวยกัน ส่วนใหญ่คนสนใจปฏิบัติ จะหนีนิพพานไม่พ้นหรอก เหมือนดอกบัวปริ่มน้ำแล้ว
จิตเป็นสมาธิครั้งหนึ่ง ยิ่งกว่าสร้างโบสถ์วิหารอีกนะ ผู้สนใจธรรม ไม่ดูหมิ่นธรรม ก็จะเจริญในธรรมยิ่งๆ ขึ้นไป บางคนนี่เท่าที่ผมรู้จัก ร่ำรวยมากเลยนะ แต่ไม่เคยสนใจธรรมะเลย บอกว่า ชีวิตเขาไม่เคยรู้จักความทุกข์ จะมอบหนังสือให้เขาก็บอกว่า ขอนึกก่อนนะว่าชีวิตนี้เคยทุกข์อะไรบ้าง เพราะรวยมาก อยากได้อะไร ใช้เงินซื้อได้หมด ความรวย ความสุข เลยปิดบังตาให้มืดบอดสนิทอย่างน่าเสียดายที่สุด พวกนี้จะมาสว่างไปมืด เกิดเป็นจิ้งจกตุ๊กแกเฝ้าคฤหาสน์ หลวงปู่ชาจึงสอนเสมอว่า รวยกับซวยนี่มันอยู่ใกล้ๆกัน คนไม่เห็นทุกข์ พูดธรรมะให้ตายก็เข้าไม่ถึงจิตหรอก อย่างมากก็ได้แค่ธรรมะเปลือกๆ เช่น การให้ทานรักษาศีล แต่เรื่องการภาวนานี่ยากมากๆ ที่จะสอนให้หยั่งถึง
แต่บางทีก็แสดงเรื่องกรรมบ้าง สำหรับเรื่องกรรม คำว่า ยุติธรรมนี่สำคัญนะ ยุติโดยธรรม บางคนไม่เคยคดโกงอะไรใครเลย ทำไมเกิดมาจึงถูกโกง ถูกเอารัดเอาเปรียบตลอดเวลา คนมองว่า ช่างไม่ยุติธรรมเสียเลย ที่จริงมันยุติธรรมที่สุดแล้ว ยุติโดยธรรม ธรรมหรือกรรมมันทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์ที่สุด ยิ่งกว่าผู้พิพากษาร้อยเท่าทวีคูณ เพราะเขาเคยโกงคนอื่นไว้ อย่างผมนี้เกิดมาทำไมจนยิ่งนัก วันหนึ่งนั่งสมาธิเห็นตนเองเที่ยวถือดาบไล่ปล้นสดมภ์เสบียงกรังข้าศึก เผาทิ้ง ให้เขาอดตาย จึงสาสมแล้วที่เกิดมาบางทีแทบไม่มีอะไรกินสมัยเด็กๆ นะ ที่พูดไม่ได้อวดเก่ง เพียงแต่อยากจะบอกว่า หากสงสัยว่า ทำไมเราได้รับกรรมแบบนี้ แบบนั้น ลองนั่งสมาธิดีๆ จะเห็น แล้วจะหายสงสัย เลิกโอดครวญโทษชะตาฟ้าดินอีกต่อไป จะได้แต่โทษตัวเอง แม้กรรมเล็กกรรมน้อยก็อย่าเผลอประมาทพลาดพลั้ง วันนี้ก็นั่งปิติอยู่ในห้องพักผู้พิพากษานะ มีน้องคนหนึ่งเห็นแมลงวันไม่ได้เลย เจอกันใหม่ๆ เที่ยวเอาหนังสือไล่ตีจนตาย เลยสอนเขาหลายๆ อย่าง เกี่ยวกับเรื่องกรรม (เผอิญ เราภาวนาแล้วเห็นอะไร มาเล่า แล้วเป็นจริงตามนั้น เขาเลยเชื่อ) เชื่อเรื่องกรรม วันนี้น้องเจอแมลงวัน เขาเที่ยวไล่ออกไปจากห้อง ไม่ตีตายเหมือนเก่า
หลวงปู่ชาก็เคยสอนนะ ถ้ามีคนบอกว่า นรกสวรรค์มี คนหนึ่งไม่เชื่อ ทำแต่บาปกรรม อีกคนเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ไม่ประมาท ทำบุญไว้ก่อน ถ้านรกสวรรค์ไม่มีก็เจ๊ากันไป ถ้าเกิดมีขึ้นมาก ใครโง่ ใครฉลาด ท่านถามคนฟัง บางคนก็มาหาผม บอกทุกข์เหลือเกิน ถูกเจ้านายกลั่นแกล้ง รังแก ไปทำงานไม่มีความสุขเลย ผมเห็นว่า เขายังเป็นคนใหม่ในทางธรรมอยู่จะสอนภาวนาคงไม่ได้เรื่อง เลยสอนว่า อย่างน้อยชีวิตเราก็ดีกว่าคนที่อยู่แถบสามจังหวัดภาคใต้ ไม่รู้ว่าวันนี้ออกจากบ้านไปจะได้กลับมานอนที่นอนเดิมหรือเปล่า อยู่ท่ามกลางความหวาดกลัว ของเรามีทุกข์เล็กๆ น้อยๆ ก็โอดครวญแล้ว ทุกข์ของคนอื่นใหญ่กว่ามากมาย ถ้าแย่จริงๆ ผมก็จะบอกครั้งสุดท้ายเลยว่า อย่างน้อยเราก็ยังมีลมหายใจอยู่ ดีกว่าหลายๆ คนที่ไม่มีโอกาสหายใจ ทำให้เขาได้สติ มีกำลังใจขึ้นมาได้
ครั้งหนึ่ง มีสุภาพสตรีนางหนึ่งไปนั่งร้องไห้อยู่หน้าหลวงปู่ชา หลวงปู่ชาก็ถามว่า เป็นอะไร ทำไมร้องไห้มากมายอย่างนี้ เธอก็เรียนหลวงปู่ว่า รถหายเจ้าค่ะ รถป้ายแดง ขับไม่ทันเท่าไร หายเสียแล้ว แล้วก็นั่งร้องไห้ หลวงปู่ชายังไม่ทันสอนอะไร สักพักหนึ่งก็มีชายคนหนึ่งเดินเข้ามากราบแล้วร้องไห้เหมือนกัน หลวงปู่ก็หันไปถามว่า อ้าว ! เป็นอะไรมาล่ะ คนนี้บอกว่า ลูกของกระผมสามคนกินข้าว อาหารเป็นพิษ ตายหมดเลยสามคน หลวงปู่จึงหันไปมองสุภาพสตรีนางนั้นแบบเงียบๆ ไม่ได้พูดว่าอะไร ปรากฏว่า เธอหยุดร้องไห้โดยไม่ต้องสอนอะไรเลย รถหายกับลูกตายหมดสามคน ทุกข์อันไหนมันใหญ่กว่ากัน ถ้ามันทุกข์มากก็ภาวนาว่า อย่างน้อยก็ยังมีลมหายใจอยู่ นี่เรียกว่า สอนแบบหยาบๆ ที่สุดสำหรับคนที่ไม่รู้อะไรเลย แต่ถ้าเป็นพวกเรา นักปฏิบัติอย่างพวกเรา เวลาทุกข์ก็เอาจิตมาไว้ที่ลมหายใจเข้าออก เป็นอานาปานสติเสีย แต่ถ้าเอาไม่อยู่จริงๆ ก็ท่องว่า อย่างน้อยก็ยังมีลมหายใจอยู่ ผมขอกล่าวว่า ยิ่งปฏิบัติมาก จะยิ่งเห็นทุกข์มาก ไม่ใช่ว่า ยิ่งปฏิบัติมากจะยิ่งสุขมากนะ จนกระทั่งจะเห็นเหมือนอย่างพระอรหันต์เห็น นั่นคือ ไม่มีอะไร นอกจากทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ และทุกข์เท่านั้นที่ดับไป ส่วนคนไม่ปฏิบัติคือคนโง่ ก็จะเห็นว่า อันนั้นคือสุข อันนี้คือสุข ก็แสวงหาสุขมาปรนเปรอ หารู้ไม่ว่า ทันทีที่คิดแสวงหาสุข นั่นคือตัณหา เหตุแห่งทุกข์เกิดแล้ว เมื่อจิตเราเห็นว่า โลกนี้ ชีวิตนี้ มีแต่ทุกข์ จิตเราจะเบื่อหน่ายในทุกข์ ออกจากทุกข์ ออกจากทุกข์ได้เมื่อใด ก็นิโรธเมื่อนั้น
ลองทอดสายตาแลดูหมู่ผู้คนทั้งหลายเถิดว่า ที่เขาเสวยอยู่ ที่แท้มันสุขหรือทุกข์กันแน่ พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า สูเจ้าทั้งหลายจงมาดูโลกอันงามตระการตาดุจราชรถอันคนเขลาติดข้องอยู่ แต่ผู้รู้หาข้องไม่ ทรัพย์สมบัติมากมายจะมาพร้อมกับความหวงแหนเสมอ ความหวงห่วง ความกังวล นี่แหละคือทุกข์ ภรรยาสวย สามีรูปงาม ก็มักจะมาพร้อมกับความห่วงหวงเช่นกัน ชื่อเสียงเกียรติยศ ก็จะมาพร้อมกับความหวงห่วงเหมือนกัน ใครจะมาว่าร้ายฉันหาได้ไม่ ต้องคอยรักษายศ รักษาศักดิ์ไว้
อนึ่ง บุตรธิดาเล่า พระพุทธเจ้าเองก็บอกไว้ไม่ใช่หรือว่า นั่นคือบ่วงชั้นยอดที่จะผูกมัดตราตรึงเราไว้กับโลก ลองมีบุตรสักคนหนึ่งเถิด หายใจเข้าออกมีแต่ใบหน้าของเขาลอยมา พระพุทธเจ้าจึงประทานนามบุตรของพระองค์ว่า ราหุล เมื่อทรงไปศึกษาวิชาสมาธิแบบอุทกดาบส อาฬารดาบส พอออกจากสมาธิมา ใบหน้าพิมพาราหุลก็ลอยมาบาดใจให้เจ็บลึก ทั้งคิดถึง ทั้งห่วงหา ต่อเมื่อบรรลุธรรม ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วนั่นแหละ ความคิดถึง ความห่วงหา ก็ทำอะไรพระทัยของพระองค์ไม่ได้อีกต่อไป เพราะจิตของพระองค์เปลื้องความห่วงหาออกจากจิตเสียสิ้นแล้ว ธุลีทุกข์ทำอะไรพระองค์ไม่ได้อีกต่อไป คงเหลือไว้แต่ความเมตตา สงสารที่จะโปรดพระนางพิมพา และพระราหุลให้พากันพ้นทุกข์ไปด้วยกัน
ขณะที่พระองค์ทรงพระชนม์ชีพอยู่ เวทนาขันธ์ก็ยังคงทำหน้าที่อยู่ ถามว่า พระองค์ยังมีทุกข์อยู่หรือไม่ ตอบว่า มีอยู่อย่างแน่นอนแต่จิตของพระองค์อยู่เหนือทุกข์ เหนือสุขเสียแล้ว โลกธรรมแปดทำอะไรจิตพระองค์ไม่ได้อีกต่อไป จิตของพระองค์ทรงอยู่เหนือโลก หรือที่เรียกว่าโลกุตระไปแล้ว
หลวงปู่ชาจึงสอนเหมือนกันว่า การปฏิบัตินี้ต้องให้อยู่เหนือเวทนา อยู่เหนือสุข เหนือทุกข์ นอกเกิด เหนือตาย ถึงตอนนั้น แม้จะมีทุกข์ก็เหมือนน้ำบนใบบัว จะแปดเปื้อนใบบัวสักนิดหนึ่งก็หามิได้ เพราะใบบัวไม่ยอมให้น้ำซึมซับอีกต่อไป คงรับทราบแล้วปล่อยวาง รับทราบแล้วปล่อยวางเท่านั้นเอง ตถตา ทุกข์แม้จะมีอยู่รอบตัว แต่จะทำอะไรดวงจิตที่เปลื้องเสียแล้วมิได้เลย หลวงปู่มั่นจึงบอกว่า จิตที่เปลื้องออกจากอารมณ์ทั้งปวง เรียกว่า บริสุทธิ์ จะยืน เดิน นั่ง นอน จิตก็กอปรด้วยสติโดยอัตโนมัติ แต่ก่อน เวลานอนไม่เคยเป็นสุข มีเรื่องนี่ โน่น นั่น เข้ามาให้คิดปรุงแต่งมากมาย ตอนนี้แม้จะมี ก็ปล่อยให้มันผ่านเลยไป แค่รับทราบ แล้วปล่อยไป เพราะรู้ถึงที่ของมันเสียแล้วว่า แท้จริง ภาพต่างๆ ที่ลอยเข้ามา มันไม่มีอะไร เป็นเพียงมายา เหมือนหยดน้ำบนยอดหญ้า โดนแสงแดดแผดเผาก็ดับไป ความทุกข์ ความเจ็บป่วย ก็มีเหมือนเดิม มันจะปวดหัวจนสมองแทบจะระเบิด ก็รับรู้ รับทราบ มันจะเป็นไข้สูงจนปรอทแทบจะแตก ก็รับรู้ รับทราบ มันก็เป็นของมันอย่างนั้น แล้วมันก็เสื่อมไป ดับไปเป็นธรรมดาของมันอย่างนั้น
คราวนี้พอมันป่วยอีก เราก็รู้ถึงที่มันเสียแล้ว เห็นความจริงของมันเสียแล้วว่า มันไม่ยั่งยืนหรอก มันป่วยได้ก็หายได้ ถ้าไม่หายก็ตายเสีย ก็จบเรื่องกันไป พอตาย ไอ้ที่ป่วยก็ต้องตายเหมือนกัน เห็นไหม มันเที่ยงแท้แน่นอนเสียเมื่อใด ความป่วย ความทุกข์เนี่ย ถ้าเราเชื่อพระพุทธเจ้าว่า สิ่งทั้งปวงไม่เที่ยง เราก็ไม่ควรท้อใจเมื่อเวลามีทุกข์ เพราะทุกข์ก็คือส่วนหนึ่งในสรรพสิ่ง นิจจังก็คืออนิจจัง อนิจจังก็คือนิจจัง
อย่างอาการป่วยของผมครั้งนี้หนักมาก หมอไม่ทราบเหตุ เจาะเลือดครั้งแล้วครั้งเล่า เอาภาวนาเข้าช่วย หายไปเอง ไม่ได้รักษาอะไรเลย หมอนัดไปเจาะเลือด ก็ไม่ไป (ตอนป่วย) เจาะก็ไม่เจอ เลิกไปหาหมอ ภาวนาเอา (กลางคืน) กลางวันก็ทำงานไปตามปกติ มันก็ยังให้โอกาสนะ กลางวันไม่มีอาการอะไร พอกลางคืนปวดหัวแทบระเบิด อาการเหมือนไข้สมองอักเสบ ปวดที่สุดในชีวิต ตอนเป็นไซนัสยังไม่ปวดเท่านี้เลย ถ้าไม่มีหลักภาวนา คงแย่เหมือนกัน
ผมจึงบอกพวกเราเสมอว่า ธรรมะของพระพุทธเจ้าช่วยได้จริงๆ เวลาเจ็บป่วย เวลามีทุกข์ นึกถึงคุณพระพุทธเจ้าแล้วจะน้ำตาไหลนะ ยิ่งภูมิจิตภูมิธรรมสูงขึ้นๆ ไป จะยิ่งซึ้งใจในคำสอนของพระองค์ท่าน จิตมันบอกเลยว่า ชาตินี้จะไม่ทิ้งการปฏิบัติ เพราะนี่คือทางเดียว เอโกมรรคโค ที่จะพ้นทุกข์ ขออย่างเดียว เมื่อมีทุกข์ อย่าหนีทุกข์ ส่วนใหญ่จะเจอแต่พวกทำเล่นๆ ให้เผชิญทุกข์ด้วยสติ ด้วยปัญญา ด้วยการรู้เท่าทันในทุกข์ จริงๆ ที่ทุกข์ เพราะไปยึดทุกข์มาเป็นเรา ของเรา ถ้าเห็นว่าทุกข์ก็เหมือนใบไม้ เขียวได้ก็เหี่ยวได้ ไม่มีอะไรเที่ยงแท้ไปได้หรอก จิตจะคลายตัวออกจากทุกข์โดยอัตโนมัติ แรกๆ จะไม่รู้ตัวหรอก แต่ถ้าพิจารณาบ่อยๆ จะเกิดความรู้สึกตัว (สติ) มากขึ้นๆ มันจะเกิดความรู้สึกตัว สั่งสมขึ้นเรื่อยๆ เรียกว่า สติเจริญขึ้นๆ ๆ ขณะเดียวกัน ยืน เดิน นั่ง นอน ให้พยายามรู้สึกตัว เต็มไปด้วยสติ หรือจะหายใจเข้า หายใจออก ให้มีสติรู้ลม ดูลมหายใจก็ได้ อารมณ์ทั้งดีไม่ดี ยินดี ยินร้าย เกิดขึ้นก็จงรู้เท่าทันว่า ไม่มีอารมณ์ไหนเที่ยงแท้ไปได้สักอารมณ์เดียว สติ (เรียกว่าสตินทรีย์) จะแก้กล้า เมื่อเต็มรอบของมัน มันจะสำแดงฤทธิ์ออกมาให้รู้ธรรมเห็นธรรม หายสงสัย เป็นปัจจัตตัง ความคิดจะหายไปสิ้น (หยุดปรุงแต่ง) แต่จะเกิดดับให้เห็นอยู่เฉพาะหน้า โดยที่จิตเราไม่ได้เข้าไปร่วมเล่นด้วย ต่างคนต่างอยู่ เมื่อนั้นจะพบตน เห็นตน ผู้ใดเห็นจิต ผู้นั้นเห็นธรรม
หลวงปู่ชาบอกว่า คนเห็นตนจะเห็นว่า ที่แท้ตนนั้นมันไม่มี (มันว่าง) ขณะเดียวกันจะเห็นความคิด ความรู้สึกทั้งปวง สัญญาทั้งปวง (ขันธ์ห้า) ไม่ใช่ตน นึกถึงหลวงตามหาบัว ตอนท่านเดินจงกรมอยู่ชายป่า (ตอนนั้นยังไม่บรรลุธรรม) มองไปในหมู่บ้าน ชาวบ้านกำลังร้องรำทำเพลงอย่างสนุกสนาน แล้วท่านก็สมเพชตนเองว่า มาทำอะไรอยู่นี่ ทำไมไม่ไปแสวงหาความสุขที่ชาวบ้านกำลังมีกัน แต่ท่านก็ไม่ไป คงทำความเพียรต่อไป จนบรรลุมรรคผลนิพพานในที่สุด ท่านก็ไม่กลับมาเกิดอีก ไม่ต้องกลับมาเผชิญความทุกข์ ความแก่ ความเจ็บ ความตายอีกต่อไป ส่วนชาวบ้านนั้นก็ยังคงพากันเกิด แก่ เจ็บ ตายไม่รู้จักจบสิ้น บางคนตายแล้วก็ไปอบายภูมิได้รับทุกข์แสนสาหัสเพราะประมาทในการใช้ชีวิตแบบคนในสมัยนี้แหละ พระพุทธเจ้าจึงย้ำเสมอว่า ท่านจงสละสุขทางโลกที่เป็นสุขเพียงปลายเล็บ เร่งหาทางพ้นทุกข์อันเป็นสุขใหญ่ บรมสุขเถิด เป็นสุขที่เยือกเย็น ไม่เร่าร้อน เพราะดับเพลิงกิเลสลงได้เสียสนิทแล้ว แม้เราจะยังดับเพลิง (สามกอง) ยังไม่ได้ในทันใด หากอบรมสติปัญญาดังกล่าวมาจะทำให้กิเลส เพลิงที่เร่าร้อนค่อยๆ สงบลง ค่อยๆ เย็นลง จนดับสนิทในที่สุด
การอ่านธรรมที่แสดงนี้ แม้ใจสงบเยือกเย็นแม้เพียงชั่วช้างกระพือหู นั่นย่อมมีอานิสงส์ใหญ่ยิ่งแล้ว ยิ่งกว่าสร้างโบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญเสียอีก จิตที่เยือกเย็นเพราะอ่านธรรมที่แสดง จะสะสมบ่มตัวโดยอัตโนมัติเพราะจิตเองก็พยายามพาตัวมันพ้นจากกองทุกข์ กองเพลิงกิเลส ราคะ โทส โมหะนี้อยู่นั่นเอง จิตจะเยือกเย็นด้วยสติ ด้วยปัญญา ด้วยความเห็นชอบ เห็นตามธรรมที่แสดง เยือกเย็นเพราะรู้เท่าทันอารมณ์ รู้เท่าทันกิเลส เหมือนเมื่อฝนมา ความร้อนเพราะอากาศอบอ้าวก็หายไป ฉะนั้น อีกนัยหนึ่ง เหมือนเมื่อความสว่างมา ความมืดก็หายไป อะไรสว่าง ใจเรานี่แหละสว่างด้วยสติ ด้วยปัญญา หลวงปู่ดูลย์จึงสอนว่า ถ้าเราเจริญสติอย่างต่อเนื่อง จิตจะสว่าง แต่ถ้าไม่ต่อเนื่องก็เหมือนหลอดไฟติดๆ ดับๆ ไม่สว่างเสียที คนที่จิตสว่าง เวลาฝันว่าตัวเองไปเที่ยวที่ไหนจะเหมือนมีไฟส่องสว่างอยู่ในตัว ไปที่ไหนก็สว่างไปทั่ว มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ จิตสว่างหรือจิตผ่องใสบริสุทธิ์นี่คือเป้าหมายสูงสุดของพุทธศาสนา เปลื้องจิตออกจากอารมณ์ได้ เรียกว่า ผ่องใสบริสุทธิ์ นี่คือ อมตวาจาของหลวงปู่มั่น เปลื้องกับสำรอกก็อย่างเดียวกัน อาการ ท่วงท่า ลักษณะอาการทำนองเดียวกัน จิตจะค่อยๆ สำรอก เปลื้องตนออกจากอารมณ์ ออกจากกิเลส จะมีสติด้วยตัวมันเองจนเกือบจะเป็นสติบริสุทธิ์
พระพุทธเจ้ากล่าวว่า พระอรหันต์คือผู้มีสติบริสุทธิ์ แล้วจะเห็นอารมณ์ไม่ว่าดีหรือไม่ดี สุขหรือทุกข์ ยินดีหรือยินร้าย เป็นของอาจม เป็นของน่าสะอิดสะเอียน ไม่ควรเข้าไปคลุกคลี ไม่ควรเข้าไปเสวย ไม่ควรเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยเลยแม้แต่ปลายเล็บ ปล่อยให้อารมณ์ทั้งปวง ทุกข์ทั้งปวง ลอยเท้งเต้ง ค้างเติ่ง เงื้อง่าอยู่ แต่ทำอะไรเราไม่ได้เลยแม้แต่นิด เพราะเรารู้เท่าทันเสียแล้วว่า เอ็งมันไม่เที่ยงแท้แน่นอนไปได้เลยแม้แต่อารมณ์เดียว จิตก็เป็นอิสระโดยสมบูรณ์ ทุกข์ทั้งปวง อารมณ์ทั้งปวง กิเลสทั้งปวง ครอบงำจิตเราไม่ได้อีกต่อไป นี่แหละเรียกว่า ผ่องใสบริสุทธิ์
แสดงธรรมมาก็พอสมควรแก่เวลา หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับทุกท่านไม่มากก็น้อย ขอความเจริญในธรรมได้โปรดมีแด่ทุกท่านเทอญ