ถาม-ตอบ

สมาธินิมิต

แสดงธรรมกลุ่ม Natural Mind เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2558
ท่านทรงกลด :
เรื่องที่จะเล่าเป็นเรื่องเร้นลับของจิตซึ่งปกติจะไม่ค่อยคุยเท่าใดนัก
โดยเฉพาะตอนแรกๆ ที่ตั้งกลุ่ม จะพยายามเลี่ยง
ต่อมาพอคุ้นเคยและถือเป็นญาติทางธรรมแล้วก็มีหลุดมาบ้างเพราะถือว่า
รับผมเป็นลูก เป็นหลาน เป็นพี่น้อง เป็นเพื่อนกันแล้ว
หลังจากเห็นว่าอะไรเป็นอะไร
กลับไปอ่านพระไตรปิฎกจับความได้ว่า เหตุที่พระพุทธเจ้าสอน
หรืออริยสาวกสอนแล้วคนเห็นธรรมเป็นจำนวนมาก
เพราะท่านสอนให้เห็นตามความเป็นจริงของรูปของนาม
เมื่อจิตคนฟังส่งกระแสตามไปเห็นจริงตามนั้น จิตก็ละความยึดมั่นในรูป
นามได้ สังเกตไหม พระพุทธเจ้าจะสอนซ้ำไปซ้ำมา อ่านเหมือนน่าเบื่อ
แต่เพื่อให้คนฟังได้คิดตามนั่นเอง แค่เพียงท่านเข้าใจ
จิตท่านก็พัฒนาแล้วนะ ความเข้าใจหรือความเห็นชอบมันจะค่อยๆ
พอกพูนขึ้น
มีท่านหนึ่งบวชเรียนมาหลายชาติแล้ว พอเห็นผ้าเหลือง
สัญญาเก่าก็ตามมา อยากจะบวชอีก แต่เพราะเป็นคนคิดมาก
จึงบรรลุธรรมช้า แต่เมื่อบรรลุแล้วจะแตกฉานเหมือนพระสารีบุตร
จะเป็นผู้มากด้วยปัญญา พระสารีบุตร พระพุทธเจ้าเทศน์อะไรๆ ก็ไม่เชื่อ
พอพระองค์สอนเสร็จ หันไปถาม สารีบุตร เธอเชื่อไหม สารีบุตรตอบ
ยังไม่เชื่อพระเจ้าข้า พระพุทธเจ้าบอก ดีแล้วๆ อย่าเพิ่งเชื่ออะไรง่ายๆ
แต่ท่านไม่เชื่อแล้ว ก็ลองปฏิบัติดู ไม่ใช่ไม่เชื่อแล้ว ผละหนีไป สึกไป
นั่นมิใช่วิสัยของปราชญ์ ท่านบรรลุธรรมช้ากว่าพระโมคคัลลานะ
พระโมคคัลลานะใช้เวลาเจ็ดวัน (อรหัตผล) ท่านใช้เวลาสิบห้าวัน
พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนท่าน แต่สอนฑีฆนขพราหมณ์
(พราหมณ์เล็บยาว) ท่านก็ส่งกระแสจิตตามไป บรรลุอรหัตผล (ตอนนั้น
บรรลุโสดาบันแล้ว) หลวงปู่มั่นบอก พระโสดาบัน หากจะบรรลุอรหัตผล
ง่ายเหมือนพายเรือตามน้ำ หน้าที่พวกเรา
ต้องทำดวงตาเห็นธรรมให้เกิด ที่เหลือไม่ต้องทำมาก

จิตมันจะทำของมันเอง บางทีก็งงเหมือนกัน
จะภาวนาอะไรอยู่ได้ทั้งวันทั้งคืน
เมื่อเช้านี้ ภาวนาแล้วเกิดสมาธินิมิตแปลกอยู่ ปกติจะไม่บอกไม่เล่า
ใครจะบันทึก บันทึกไว้ แต่นิมิตครั้งนี้น่าจะเป็นประโยชน์ต่อพวกเรา
การทำสมาธินี่ หากจิตยังไม่เข้าโลกุตรมรรค นิมิตจะหลอกได้ง่าย
การเดินมรรคมีสองแบบ คือ โลกียมรรคและโลกุตรมรรค
ตอนแรกเดินแบบโลกียมรรคก่อน (คือ เจริญสติ สติปัฏฐานสี่นั่นแหละ)
ซึ่งก็แสดงไปมากเหลือเกินแล้ว มรรคนี่ ขึ้นอยู่กับปัจเจกบุคคลด้วย
บางคนภาวนานี่ ไม่มีนิมิตอะไรเลยสงบอย่างเดียว แต่บางคนจะมีนะ
อย่างหลวงปู่มั่น แม้ท่านจะบรรลุอนาคามี หรืออรหัตผลแล้ว
ก็ปรากฎเป็นเรื่องปกติ
เคยมีผู้ถามหลวงปู่ดูลย์ว่า นิมิตมีจริงหรือเปล่า หลวงปู่ดูลย์ตอบว่า
ที่เขาเห็นนะจริง (คือ เห็นจริง) แต่ที่ถูกเห็นไม่จริง หมายความว่า
นิมิตที่ปรากฎ เมื่อเกิดแล้วก็ดับไปเป็นธรรมดา ท่านมุ่งหมายว่า
อย่าเข้าไปหมายมั่น ยึดมั่นในนิมิต เมื่อปรากฎรู้ว่าอะไรเป็นอะไร
นำมาเจริญปัญญาเรา แล้วก็วางเสีย ถ้าติด พอวันหลังภาวนาอยากเห็น
คราวนี้กิเลสเกิด หรือเกิดฤทธิ์เกิดเดชก็ไม่ต้องไปไหนกัน
อย่างท่านหนึ่ง ตอนที่ผมเริ่มแสดงธรรมใหม่
ขณะแสดงก็ไลน์มาบอกว่า ตอนนี้มีเปรตหรือผีมาขอส่วนบุญอยู่ ทำไงดี
ท่านนี้เท่าที่คุยดู ภาวนาดี มีของเก่ามากทีเดียว
ผมก็บอกอย่าไปสนใจมาก ถ้าไม่ใช่พ่อ แม่ ญาติ ก็อย่าไปสนใจ
ไม่เช่นนั้นเขาจะไปบอกพวก พวกจะมาอีกเพียบ คราวนี้
ไม่ต้องภาวนากันแล้ว มานั่งคอยช่วยไอ้ผีพวกนี้
การภาวนาก็ไม่ก้าวหน้า เพราะมัวช่วยโน่น นี่ นั่นอยู่
เราต้องเอาตัวให้รอดก่อนระดับหนึ่ง แล้วค่อยกลับไปช่วย จริงๆ
เขาทำกรรมไว้อย่างไร ก็ต้องปล่อยบ้าง อุเบกขา ตอนหลังๆ
ผมเริ่มผ่อนคลาย (เพราะคนตื่นหนีไปหมด แทนที่จะได้ประโยชน์)
ถ้าคุยเล่าแรกๆ ไม่รู้จักกันเลย หน้าตาก็ไม่เคยเห็น จะดูถูกปรามาส
จะเป็นบาปกรรมเปล่า
นิมิตที่จะเล่า ขอให้ทำใจกลางๆ สำหรับผู้มาใหม่
เมื่อภาวนาตามแบบฉบับของผม บอกแล้วว่า
หากแยกจิตออกจากอารมณ์ได้สักครั้ง การภาวนาจะไม่ยากเท่าใดนัก

พอจิตสงบลงไป ก็ปรากฎนิมิตแปลกอย่างหนึ่งขึ้นมาในสมาธิ นั่นคือ
เห็นตัวเองเดินทางอยู่เส้นทางหนึ่ง ความรู้สึกบอกว่า นี่คือ ทางกลับบ้าน
ขณะนั้นก็หันไปมองข้างหลังด้วยความไม่ตั้งใจ
ก็เห็นขบวนรถมากมายมองไปสุดลูกหูลูกตา
กำลังขับตามมาอย่างกระชั้นชิด บนเส้นทางเส้นหนึ่งซึ่งแปลกมาก
มันเป็นเส้นทางเล็กๆ จริงๆ แคบๆ เหมือนเราเอาท่อนแป๊บขีดเป็นทาง
แต่ขบวนรถเหล่านั้นต่างก็ขับอยู่บนรอยทางเล็กๆ นี้
ไม่มีคันใดออกนอกโผล่มาให้เห็นเลย
ทุกคันอยู่ในเส้นทางเรียบร้อยดีมาก ขบวนรถที่ว่านี้ก็แปลก มีทั้งรถเก่า
รถใหม่ มีทั้งรถเกวียนและรถเบนซ์ ก็เกิดอัศจรรย์ใจว่า นี่คืออะไร
เกิดความรู้ขึ้นว่า ต่อไปจะมีคนเดินทางเส้นนี้อีกมากมายเหลือคณานับ
มีทั้งคนหนุ่มสาว (รถใหม่) คนแก่ชรา (รถเก่า) คนยากคนจน
(รถเกวียน) คนร่ำรวย รถเบนซ์ เส้นทางนี้คืออะไร คือ
มรรคมีองค์แปดนั่นเอง ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงค้นพบ เป็นเส้นทางกลับบ้าน
และทิ้งแผนที่เป็นวาจาไว้ให้ แต่คนรุ่นหลังเขียนขึ้นใหม่ตามความคิด
ความเข้าใจของตน รอยเดิมแห่งมรรคที่ถูกต้องจึงเลอะเลือนไป
แม้ครูบาอาจารย์ อย่างหลวงปู่มั่น หลวงปู่ชา หลวงปู่ดูลย์ หลวงปู่เจี๊ยะ
เมื่อเดินทางถึงบ้านแล้ว บอกว่า เส้นทางที่พระพุทธเจ้าบอกน่ะ
ถูกต้องแล้ว อย่าไปบัญญัติอะไรขึ้นใหม่เลย ก็ไม่มีใครเชื่อ
หลวงปู่ชาเคยเทศน์อยู่บทหนึ่ง เรื่อง บ้านที่แท้จริง ลองไปหาอ่านดู
นั่นแหละครับนิมิตที่เห็นเมื่อเช้าละ เล่าให้ฟังขำๆ จะหัวเราะดังๆ
ก็ได้ครับ ไม่ว่ากัน แต่อย่างที่บอก เหมือนขนโคกับเขาโค
คนมีมากเหมือนขนโค แต่คนสนใจหาทางพ้นทุกข์ มีน้อยเหมือนเขาโค
ยังติดสนุกสุขกับโลกๆ แบบไม่ลืมหูลืมตา ถ้าเคยมีมา ยังไง
ก็ต้องมีเหตุให้มาทางนี้ มีน้องคนหนึ่ง เป็นผู้พิพากษาในกลุ่มนี้
บอกเวลา เข้ามาอ่านไลน์ในกลุ่มนี้ เหมือนมาอยู่อีกโลกหนึ่ง
เรื่องนิมิตที่เล่า ก็ไม่ได้มีอะไร รู้แล้ววางก็เท่านั้น จะมีคนมา
ไม่มาก็ตามเหตุตามปัจจัย คนเราถ้ามีวาสนาบารมีร่วมกันมา
เคยประพฤติปฏิบัติด้วยกันมา ยังไงก็ต้องมาพบกัน
ทางโลกนี่บ้ามามากแล้ว วันใดเห็นจิตเห็นธรรม จะหยุดบ้าทางโลก
เหมือนหลวงปู่มั่นด่าตนเอง เออ เรานี่หลงเที่ยวเวียนว่ายตายเกิดอยู่
บ้าจริงๆ ท่านเล่าว่า บางทีไปเกิดเป็นสุนัข ติดอยู่ตั้งห้าร้อยชาติ

ส่วนผมถ้าไม่มีใครเดินเป็นเพื่อน ก็จะเดินกลับบ้านไปคนเดียวเงียบๆ
แต่ผมยืนยันว่า ถ้าท่านปฏิบัติถึง เอาจริงๆ
ครูบาอาจารย์ไม่ทิ้งท่านอย่างล้านเปอร์เซ็นต์ นัตถิ ปัญญา สมอาภา
แสงสว่างเสมอด้วยปัญญาไม่มี ผมเข้าใจแล้วว่า
คืนหนึ่งขณะภาวนาจิตสงบลงไป แล้วเกิดความรู้ขึ้นว่า
การแสดงธรรมครั้งนี้ไม่เสียผล ไม่เสียผลคือแบบนี้นี่เอง
พระพุทธเจ้าบอกว่า อย่าประมาทในเรื่องกรรม
ครั้งหนึ่งพระอาจารย์อนันต์ อยากได้พระเครื่องหลวงปู่ชามาก
มีคนเอาไปแล้วยิงไม่เข้า จะขอตรงๆ ก็อาย เลยบอกให้เณรไปขอ
กระซิบบอกนะ หลวงปู่ชา นั่งอยู่โน้น ไกลๆ
หันมาทางพระอาจารย์อนันต์ บอก นันต์ จะเอากับเขาด้วยหรือ
ธรรมย่อมคุ้มครองผู้ประพฤติธรรม คุ้มครองในที่นี้ไม่ได้หมายถึง
คุ้มครองไม่ให้ตายนะ ไม่ให้เจ็บป่วยนะ แต่เมื่อเจ็บป่วย
เมื่อตายจะมีสติกำกับไม่ไปอบายภูมิ เวลาภาวนาจิตสงบครั้งหนึ่ง
มันยิ่งกว่าสร้างโบสถ์นะ ถ้าท่านภาวนาจิตสงบทุกวัน
ก็เหมือนได้สร้างโบสถ์วันละหลังเลยล่ะ คิดดูบุญมหาศาลเพียงใด
พระพุทธเจ้าจึงสรรเสริญการภาวนาว่า เป็นบุญสูงสุด ความสงบคือ
ยอดแห่งบุญ