ถาม-ตอบ

สติคือวิญญาณขันธ์

 

แสดงธรรม กลุ่มสายธารธรรม เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2561

 

ผู้ปฏิบัติ : ขอท่านทรงกลด อธิบายความหมายของ  ผู้รู้ เข้าใจ จำได้ขึ้นใจ แทงตลอดด้วยดี ด้วยความเห็น ด้วยค่ะ และผลของการมีลักษณะเช่นว่านี้คืออย่างไรคะ

ท่านทรงกลด : ผู้รู้คืออะไร  ผู้รู้ก็คือ พุทธะ  พุทธะแปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน  ผู้รู้มีสองแบบ   แบบไม่จริงกับแบบจริง  ผู้รู้ออกมาจากจิต นี่คือคำของหลวงปู่ชา  ทุกวันนี้เราต่างก็หาผู้รู้กันเหลือเกิน คนนั้นคนนี้พบผู้รู้แล้ว  เท่าที่ฟังๆ ดู เป็นการพบด้วยการคิดการเข้าใจไปเสียสิ้น  เคยลงข้อธรรมเตือนสติว่า ถ้าท่านง่วนแต่ตามหาผู้รู้ ท่านจะไม่มีวันพบผู้รู้ แต่ถ้าท่านตามหาสติ ท่านจะพบผู้รู้  เพราะผู้รู้ก็คือสตินั่นเอง

หลวงปู่สิม บอกว่า คำว่าสติก็คือผู้รู้  คำว่ารู้ๆ คือ รู้อยู่ ไม่ปล่อยจิตไปตามอารมณ์ทุกประการ คำสอนของหลวงปู่สิมช่างตรงกับประสบการณ์ทางจิตของเราเสียนี่กระไร เราคิดว่า เราเห็นอยู่คนเดียว พอมาเจอคำสอนของครูบาอาจารย์ หายสงสัยในครูบาอาจารย์จริงๆ  

แล้วทำไมผมกล่าวว่า  ผู้รู้มีสองแบบ  ถ้าจำกันได้ ผมจะบอกเสมอว่า สติมีสองแบบคือ  แบบที่ต้องคอยกำหนด กับแบบอัตโนมัติ  นั่นแหละคือคำตอบว่า  ทำไมผู้รู้มีสองแบบ  แบบไม่จริงก็คือ  ยังต้องคอยกำหนดกันอยู่  ก็คือสติที่ต้องคอยหมั่นฝึกหมั่นเพียรเจริญกันอยู่นี่แหละ  ตรงนี้คือผู้รู้ไม่จริง เพราะยังเสื่อมดับได้อยู่ แต่เมื่อเราเจริญสติมากเข้าๆ เปลี่ยนที่อยู่ของใจจากที่เคยอยู่กับอารมณ์มาอยู่กับสติหรือผู้รู้นี้ได้ ผู้รู้จริงจึงจะเผยโฉมออกมาให้ยล  ผู้รู้จริงก็คือ จิตหรือใจนั่นเอง  จิตนี่เป็นสติอัตโนมัติ  เมื่อพบผู้รู้จริงแล้ว ผู้รู้ไม่จริงก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป  

              ส่วนที่หลวงปู่ดูลย์บอกว่า พบผู้รู้ให้ฆ่าผู้รู้ ไม่ได้ให้ฆ่าแกงแบบนั้น หมายถึง ให้ละความยึดมั่นในผู้รู้ต่างหาก  เรื่องนี้ลึกซึ้งจริงๆ นะ  ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่แสดง เพราะจะทำให้งงกันเปล่าๆ เพราะการเอาธรรมะของครูบาอาจารย์มาอ้าง หากไม่รู้จริง อธิบายไปผิดๆ ก็บาปกรรมได้  เพราะการกล่าวของท่านกล่าวตามธรรมที่ปรากฏในใจของท่าน หรืออย่างหลวงตามหาบัวเล่าว่า หลังจากบรรลุพระอนาคามีแล้ว ไปเดินจงกรม เกิดความรู้ผุดขึ้นว่า ถ้ามีต่อมผู้รู้ก็ยังมีภพ  คำว่า ความรู้ที่ผุดขึ้นในใจกับความคิด คนละอันกัน  ความรู้ที่ผุดในใจนี่ จะเกิดต่อเมื่อเราอบรมจิต  เมื่อจิตสงบจะเกิดความรู้ขึ้นมาเป็นความรู้ที่เกิดหลังจากความคิดดับไป  ความรู้อันนี้แหละสำคัญมากในการปฏิบัติเพราะจะทำให้ละกิเลสอะไรๆ ได้ ถ้าคิดจะละ ไม่มีทางละได้หรอก ของอย่างนี้จะใช้ความคิดความเข้าใจละก็ไม่ได้ด้วย  ต่อให้คิดให้ถึงใจแค่ไหนก็ละไม่ได้หรอก  จะละได้ต่อเมื่อเกิดญาณทัสสนะหรือความเห็นขึ้นในจิตเท่านั้น ส่วนที่หลวงตาเกิดความรู้ขึ้นว่า ถ้ามีต่อมผู้รู้ก็ยังมีภพอยู่ที่นั่น คำว่า ภพคือการเกิด  หมายความว่า  ท่านยังต้องไปเกิดเป็นพรหมอยู่ที่สุทธาวาส และต้องไปภาวนาต่อที่นั่นเพื่อบรรลุอรหัตผล พรหมชั้นสุทธาวาสเป็นที่อยู่ของพระอนาคามี ต่อมผู้รู้ของท่านก็คือ การยึดจิตเป็นตัวเป็นตน ที่มันยึดได้เพราะยังละวิญญาณขันธ์ไม่ได้ มันยังมีตัวรู้ให้ยึดอยู่  หลวงปู่ดูลย์จึงบอกว่า วิญญาณขันธ์คือชั้นในสุดที่ต้องละ  ตอนเห็นธรรม บรรลุโสดาบันแล้ว แม้จะพบจิตแล้ว แต่ยังละอะไรไม่ได้  เพราะชั้นเห็นกับชั้นละมันคนละชั้น  ละเวทนา  สัญญา  สังขารได้ นี่คือ พระอนาคามี  เหลือวิญญาณขันธ์ชั้นในสุด  ละได้จึงจบกิจ

ตัววิญญาณขันธ์มันหลอกหลวงตามหาบัวอยู่ให้เห็นเป็นจิต  เป็นตัว เป็นตน จริงๆ จิตก็จิต วิญญาณก็วิญญาณ คนละอันกัน   เมื่อท่านละวิญญาณขันธ์ และละความยึดมั่นในตัวเองได้ นั่นแหละจึงจบกิจ   พระพุทธเจ้าจึงสอนว่า สัพเพ  ธัมมา  นาลัง อภินิเวสายะ สิ่งทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น  แม้จิตเองก็ไม่ควรยึดมั่น จึงจะวางได้สนิทจริง  

แล้วสติมาจากไหนเล่า  สติก็มาจากขันธ์ห้านี่แหละ  พระพุทธเจ้าไม่ได้ไปเอาสติมาจากนอกโลก ในอวกาศที่ไหน ท่านเอาขันธ์ห้ามาเรียนรู้ขันธ์ห้าเพื่อนำไปสู่การพ้นทุกข์ สติคืออะไรในขันธ์ห้า คำตอบก็คือวิญญาณขันธ์นั่นเอง เมื่อตากระทบรูป อายตนะภายนอกกับภายในกระทบกันก็เกิดวิญญาณคือ ความรู้สึกทางตาขึ้นมา เรียกว่า จักขุวิญญาณ  จริงๆ วิญญาณมีที่เดียวคือที่ใจ  แต่เรียกต่างกันไปเพื่อให้เห็นภาพเท่านั้นเอง จิตก็ปรุงแต่งวิญญาณขึ้นมาทำหน้าที่รับรู้ทางตา หู จมูก  ลิ้น กาย ใจ ถ้าเห็นธรรมแล้วจะเห็นแจ้งเลยว่า เวลาตาเห็นรูปจะเกิดความรู้สึกตัวขึ้นมา ความรู้สึกทางตา ทางหู ทางใจอะไรนี่ ก็คือสติ พระพุทธเจ้ามาบัญญัติใหม่เพื่อให้แตกต่างจากขันธ์ห้า  เรียกว่า  สติคือความรู้สึกตัว  จะรู้สึกทางตา หู จมูก มันก็คือรู้สึกเหมือนกันหมด  เมื่อรู้สึกสุข อันนี้คือ เวทนา  พอแยกความรู้สึกกับสุขออก  หลวงตามหาบัวก็บอกว่า  เรียนมาก็อย่างหนึ่ง พอเห็นก็อีกอย่างหนึ่ง  

ตัวสติที่เป็นวิญญาณขันธ์ก็ยังเป็นผู้รู้ไม่จริง ผู้รู้จริงก็คือจิต แต่มันอยู่ติดกัน มีสภาวะเหมือนกันมาก  เหตุนี้ในปฏิจจสมุปบาท จึงเริ่มต้นขันธ์ห้าด้วยวิญญาณ เพราะอวิชชาก่อให้เกิดสังขาร สังขารตัวนี้ยังไม่ใช่สังขารในขันธ์ห้า แต่เป็นการปรุงแต่งของจิต ปรุงแต่งอะไร  ปรุงแต่งวิญญาณออกมาก่อน สังขารก่อให้เกิดวิญญาณ  แล้วตัววิญญาณนี่แหละจึงไปแตกเหล่าแตกกอเป็นส่วนที่เหลือของขันธ์ห้า ตัววิญญาณแรกก็คือปฏิสนธิวิญญาณนั่นแหละ  เมื่อเราปฏิบัติทวนกระแสเข้าไป  สุดท้ายต้องละวิญญาณที่ติดกับจิต จึงเหลือจิตที่บริสุทธิ์  ชั่วขณะที่ละความยึดมั่นในวิญญาณก็ขณะเดียวกับละความยึดมั่นในจิต  เพราะจิตที่แท้จริงมันว่าง จึงไม่มีอะไรจะให้ยึดอยู่แล้ว  ส่วนวิญญาณก็คือปรมาณูสุดท้ายที่ต้องละ นี่คือคำสอนของหลวงปู่ดูลย์ 

              วิญญาณขันธ์กับจิตมันเหมือนกันมาก จึงทำให้คนหลงเข้าใจไปได้ว่า มันคือจิต  เวลายึดก็เลยยึดเสียทั้งคู่เพราะมันเหมือนกัน  วันนี้ก็ลึกซึ้งมากๆ ขอให้อ่านผ่านๆไปแล้วกัน อย่าจริงจังกับสิ่งที่แสดงมาก ส่วนที่ควรจริงจังก็คือ  หาสติให้พบก่อน  พบแล้วอยู่กับสติ เดี๋ยวก็จะพบผู้รู้จริงตามมา  ที่ว่า รู้จริง  ก็คือ  รู้แล้วไม่เสื่อมดับ  

เรื่องผู้รู้ ถ้าจะก้าวหน้าในการปฏิบัติ  ขอให้พักไว้ก่อนเถิด  เอาสติกันก่อน  บางคนสติยังไม่รู้จักเลย จะไปหาผู้รู้ได้ที่ไหนจริงๆ ที่หลวงตามหาบัวบอกว่า ต่อมผู้รู้ๆ ก็คือวิญญาณขันธ์นั่นแหละ ท่านบอกว่า  ตอนนั้นงงเป็นไก่ตาแตก หลวงปู่มั่นก็เพิ่งละสังขารไป ไม่รู้จะไปถามใครที่ไหน   แต่สุดท้ายท่านก็ละได้ด้วยปัญญาของท่าน การปฏิบัตินี้ถ้าบรรลุโสดาบันแล้ว สกทาคามี อนาคามี อรหัตผล จะตามมาเองโดยอัตโนมัติ  หนีไม่พ้นหรอก มันเป็นไปตามครรลองของธรรมอยู่แล้ว  อย่างที่ผมตอบปัญหาธรรม ก็ตอบตามครรลองของธรรมคือ  ตอบตามที่ เห็น” อยู่  ไม่ได้ไปค้นตำราอะไรที่ไหนมาตอบ  ถ้าใครจะแย้งก็ขอยอมแพ้ไม่รู้หนทางจะเถียงอะไรกับใคร  

มีคนถามมาว่า ปกติไปแสดงธรรมที่ไหนหรือเปล่า  ก็บอกว่า ไม่ได้รับแสดงที่ไหน ไม่รับโต้ธรรม ปาฐกถา เพราะจะให้คนตาดีกับคนตาบอดมาเถียงกันเรื่อง ช้าง” ไม่มีวันรู้เรื่องหรอก  ขี้เกียจทำให้คนสร้างบาปกรรมเปล่าๆ เรื่องช้างหรือเรื่องจิตนี่ ถ้าไม่เห็นธรรม ไม่มีวันคุยกันรู้เรื่องจริงๆ ได้แต่บอก  ส่วนใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ไม่ได้ใส่ใจ  พระพุทธเจ้าจึงสอนพระอานนท์ว่า อานนท์ ทำให้มาก เจริญให้มาก จะได้หายสงสัย  

สำหรับส่วนตัวผมแล้วก็ไม่ได้เก่งกาจอะไร ความสามารถที่จะไปล่วงรู้วาระจิตใครเป็นอย่างไรไม่มีหรอก เห็นแต่จิตตนเองเท่านั้นก็พอแล้ว  บัดนี้จิตมีราคะ  มีโทสะ  จิตฟุ้งซ่าน  จิตมีสติ  ไม่มีสติ  จิตหลง  จิตรู้  แต่พอจะบอกแนวทางได้ว่า อันไหนใช่ อันไหนไม่ใช่เท่านั้นเอง  อันไหนปลอมอันไหนจริง  และยิ่งปฏิบัติไปๆ ก็เห็นจริงตามที่ครูบาอาจารย์สอนทั้งหมด  

               อย่างหลวงปู่ดูลย์บอกว่า คนอื่นอยู่กับอะไรไม่รู้ แต่เราอยู่กับ รู้”  อยู่กับรู้ โดยไม่ยึดรู้นี่แหละคือการอยู่ที่ประเสริฐสุด  มันสงบเยือกเย็นเสียจริงๆ  อยู่กับรู้คืออะไร  ก็คืออยู่กับสติอัตโนมัตินั่นเอง  พระอรหันต์มีสติเต็มร้อย  ท่านก็อยู่กับรู้เต็มร้อย   กิเลสอะไรแทรกไม่ได้แล้ว  วางภาระคือเครื่องร้อยรัดทิ่มแทงเสียได้แล้ว มันก็เป็นสุขเท่านั้นเอง ตรงนี้ก็ยืนยันได้ว่าที่หลวงปู่ดูลย์พูดถูกต้องจริงๆ