สติคือมรรค

แสดงธรรม กลุ่มสายธารธรรม เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2561
ผู้ปฏิบัติ : จิตผู้เดินทาง ท่องเที่ยวไปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เสวยอารมณ์ที่เป็นแต่ทุกข์ และดับวนเวียนไปครั้งแล้วครั้งเล่านั้น มิอาจจะยึดเป็นแก่นสารได้เลย
ท่านทรงกลด : สิ่งใดไม่มีแก่นสาร สิ่งนั้นก็ไม่ควรยึดมั่นหมายมั่น เมื่อเห็นความจริงอย่างนี้ การปล่อยวางก็จะตามมา วันนี้บอกคุณหมอไปว่า การปล่อยวางไม่ใช่มรรค เป็นเพียงผล สติ ปัญญาที่เห็นตามจริงต่างหากคือมรรค เมื่อมีมรรค ก็ย่อมมีผล มีนิพพาน เราต้องเดินมรรคให้ถูกก่อน ผลจึงจะตามมา
อันนี้แหละคือ การทำวิชชาให้เกิด วิชชากับอวิชชามันก็อยู่ที่เดียวกัน เหมือนความมืดกับความสว่างก็อยู่ที่เดียวกัน อย่างห้องมืดห้องหนึ่ง เมื่อความสว่างเกิดความมืดก็หายไป ใจอันเดียวนี่แหละเป็นทั้งอวิชชาและวิชชา อวิชชาก็อยู่ที่ใจ วิชชาก็อยู่ที่ใจ ทำใจให้มีสติ มีปัญญา รู้เท่าทันอารมณ์ รูป นาม นี่แหละเรียกว่า ทำวิชชาให้เกิด วิชชากับปัญญาอันเดียวกัน หน้าที่เราคือ ฝึกใจเท่านั้นเอง จิตตัง ทันตัง สุขาวหัง จิตหรือใจที่ฝึกดีแล้วย่อมนำสุขมาให้ สุขแบบไหน ก็สุขแบบข้อธรรมที่ลงให้อ่านนี้แหละ
“ผู้ที่หยั่งถึงใจถึงธรรมที่แท้จริงนั้น โลกไม่ได้สงัดหรอก ใจต่างหากที่สงัดจากโลก สงัดจากความยินดียินร้าย สงัดจากนินทา สรรเสริญ สงัดจากสุข จากทุกข์ มันสงัดเสียจริง ๆ เป็นความสงัดที่เต็มไปด้วยสติปัญญา เป็นความสงัดที่เต็มไปด้วยสงบสุข สุขที่ไม่อาจพานพบได้ในโลกนี้หรือโลกไหน มันเป็นสุขเหนือโลก เลยเรียกว่า “โลกุตรสุข” คือ จะพบสุขอีกแบบหนึ่งที่ไม่เคยพบมาก่อน ไม่เหมือนสุขใดๆ ที่เคยพบมา พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ก็เพื่อนำพาพวกเราไปสู่สุขอันนี้นี่เอง แม้เทวดา พรหมก็ไม่อาจพบสุขอันนี้ได้เลย ต้องปฏิบัติเอง จึงจะถึงสัมผัสได้เอง เราได้แต่บอกทาง บอกมรรค
การปฏิบัติเบื้องต้นที่ลงให้อ่านบ่อยๆ และลงไว้ในหนังสือ ถ้าปฏิบัติตามนี้ จะไม่หลงทาง ไม่เสียสติวิปลาสอย่างแน่นอน ถ้าปฏิบัติไป ร้องไห้สลับหัวเราะ อันนี้จะบ้าได้ แต่ถ้ามีสติ ถ้าร้องไห้ ก็แค่ปิติ น้ำตาซึม ถ้าหัวเราะ จิตเท่านั้นที่หัวเราะ อาการทางกายไม่ปรากฏหรอก
ส่วนท่านที่ชอบนั่งหลับตาภาวนา จิตตกภวังค์หายไป บางทีก็ออกมาไม่ได้ อยู่ในนั้น ก็ขอให้ระวัง บางทีจิตพอใจภาวะนั้นไม่ยอมออกก็จะเกิดอันตรายตามมา สิ่งเหล่านี้ถ้าปฏิบัติแบบมีสติจะไม่เกิดเลยเพราะจิตจะมีสติกำกับตลอด ต่อเมื่อบรรลุโสดาปัตติผล วิปัสนูกิเลสต่างๆ ก็ทำอะไรจิตไม่ได้อีกต่อไป เพราะจิตออกจากอารมณ์ได้แล้ว คนปฏิบัติผิดจะพบวิปัสนูกิเลส ถ้าปฏิบัติถูกแม้จะพบก็จะรู้ทันไม่เข้าไปข้องแวะเอง แต่วิปัสนูกิเลสที่ร้ายที่สุดคือ การหลงว่า ตนเองบรรลุธรรม ใจเป็นธรรมแล้ว ทำให้หยุดความเพียร คิดว่า ตนเองหมดอวิชชาแล้ว อยู่รอวันตาย สุดท้ายก็ตายไปแบบโมฆบุรุษ ให้สังเกตตนเอง ตนเองย่อมรู้ดีที่สุด สักขีภูโต โลภะ ราคะ โทสะ โมหะ ยังมีไหม ยังวิ่งตามอารมณ์ วิ่งตามคำพูดคนอยู่ไหม คนที่จบกิจจริงคือ พระอรหันต์ ไม่มีพระอรหันต์ที่ไหนเสพกามอยู่ พระอรหันต์ที่เป็นฆราวาส ไม่มี ให้อยู่กับความรู้สึกตัว อย่าอยู่กับอารมณ์นาน อยู่กับอารมณ์แป๊บเดียว ให้รีบกลับมา จำไว้นะ
ผู้ปฏิบัติ : อารมณ์ มีอยู่ แต่ไม่มีผู้เสวยอารมณ์ เหมือนน้ำบนใบบัว
ท่านทรงกลด : สาธุๆ
หลวงปู่ชาบอกว่า ไม่ใช่ให้เราหนีกิเลส ไม่ใช่ให้กิเลสหนีเรา แต่จงอยู่กับมันอย่างมีสติ เหมือนน้ำกับใบบัว แม้อยู่ด้วยกันแต่น้ำไม่อาจซึมเข้าใบบัวได้ หลวงปู่ดูลย์ ก็บอกว่า จิตที่พ้นจากอารมณ์ ขาดจากการปรุงแต่งแล้ว ทุกข์ก็อาศัยอยู่ไม่ได้ พระอรหันต์ทุกองค์ จะมีสภาวะจิตอย่างนี้ การจะไปถึงสภาวะดังกล่าว ต้องเริ่มต้นให้ถูกก่อน ความคิดนั้นง่าย แต่การเข้าถึงไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยาก พวกเรานี้ถือว่ามีบุญมากๆๆ ไปอ่านประวัติการปฏิบัติผมดูเถิด กว่าจะรู้เห็นอะไร เลือดตาเแทบกระเด็น ลองผิดลองถูกมามาก แต่ก็ไม่ได้เขียน แต่เมื่อรู้ว่าทางนี้ถูก ก็เขียนเฉพาะทางนี้ทางเดียวเลย ทางนี้ก็คือ ทางสายเอก เอโกมัคโค คือ สติปัฏฐานสี่นั่นเอง หากปฏิบัติตามที่เขียนไว้ หรือที่เอามาสรุปให้อ่านบ่อยๆ พระพุทธเจ้าก็รับรองว่า อย่างเร็วเจ็ดวัน อย่างกลางเจ็ดเดือน อย่างช้าเจ็ดปี ต้องเห็นผล อย่างน้อยโสดาปัตติผล ซึ่งก็บอกได้เลยว่า มีหลายคนทีเดียวที่ปฏิบัติตามแล้ว สภาวะจิตเข้าใกล้สิ่งที่ผมพูดมากขึ้นๆ และจะไม่หนีไปไหนได้หรอก
ถ้ามรรคถูกผลย่อมถูกเสมอ จริงๆ ประวัติการปฏิบัติของผมมีมากมาย เขียนบันทึกไว้เป็นหนังสือตั้งห้าหกเล่ม แต่เอามาลงบางส่วนเท่านั้นเอง ธรรมะลึกซึ้งที่ผุดขึ้นมาก็บันทึกไว้ แต่ขี้เกียจเอามาเขียน เขียนไป คนก็ไม่รู้เรื่อง ไปถึงก็รู้เองแหละ เพราะมัน “รอย” เดียวกัน
ที่ว่าความคิดนั้นง่ายแต่การเข้าถึงไม่ง่ายหมายความว่า การคิด การเข้าใจ มันไม่ยากหรอก มีความจำดีก็พูดเหมือนที่ครูบาอาจารย์สอนได้เป๊ะๆ ทีเดียว แต่มันไม่ได้ออกมาจากใจที่เป็นธรรมจริงแบบครูบาอาจารย์ที่ท่านสอน
ผู้ปฏิบัติ : กระผมพอจะเกิดความเข้าใจว่า มีแต่แก้วที่ปราศจากน้ำเสียใดๆ เจือปน จึงจะบรรจุน้ำที่ดีได้เต็ม จิตที่ว่างขาดจากความปรุงแต่ง จึงพร้อมที่จะรองรับธรรมอย่างเต็มภูมิ
ท่านทรงกลด : สาธุๆ อย่างเด็กหลายคน พูดธรรมะคล่องมากๆ คนไม่รู้ทันก็นึกว่าเด็กคนนี้คงบรรลุธรรมแล้วกระมัง เมื่อตรวจสอบดู ก็หาบรรลุไม่ เป็นแต่ความจำความเข้าใจเท่านั้นเอง ทำให้นึกถึงเรื่องที่หลวงปู่ชาเล่าเรื่องหนึ่ง ท่านบอก เดินผ่านกุฏิเณร ได้ยินเสียงเณรพูดธรรมะคล่องมากๆ แล้วสิ่งที่เณรพูด มันถูกหมดเลย ตรงตามที่ครูบาอาจารย์สอนทุกอย่าง ท่านคงนึก เอ! เณรองค์นี้คงบรรลุธรรมแล้วกระมัง ตอนเช้า มีคนมาบอกว่า เณรรูปดังกล่าวผูกคอตายแล้ว คนบรรลุธรรมที่ไหนจะฆ่าตัวตาย
การปฏิบัติจึงต้องระวังเรื่องการคิด การเข้าใจ การจำ ให้มาก เข้าใจแล้ว พักมันไว้ก่อน ทำให้มากเข้าไว้ ถ้าไม่พัก จะเกิดสภาวะความคิดปิดความเห็นได้ จะเกิด เอ ! ใช่ไหมหนอ ๆ ๆ ตลอดทาง จิตที่จะรู้ธรรมจะต้องอยู่ในสภาวะพ้นการปรุงแต่ง อสังขตธรรม ถ้ายัง เอ! ใช่ไหมหนอๆๆ เท่ากับยังปรุงแต่งอยู่ จึงไม่มีวันจะรู้เห็นอะไรเลย ทำไมสภาวะนั้นต้องพ้นการปรุงแต่ง อธิบายได้แบบกล้วยๆ เลยว่า เมื่อเราเจริญสติ ปัญญา จนเต็มรอบ จิตตั้งมั่น พ้นจากขันธ์ห้า อารมณ์ทั้งปวง สภาพธรรมของขันธ์ห้า อารมณ์เป็นเรื่องปรุงแต่งทั้งนั้น เมื่อพ้นออกมา มันก็ไม่ปรุงแต่ง สลัดความปรุงแต่งออกไป เหลือไว้แต่สภาพไม่ปรุงแต่ง ที่เรียกว่า วิสังขาร เมื่อไม่ปรุงแต่งย่อมไม่เสื่อมดับ สภาพธรรมที่รู้เห็นในขณะจิตนั้น (เรียกว่าบรรลุธรรมขั้นใดขั้นหนึ่ง) พ้นจากการปรุงแต่งจึงไม่เสื่อมดับ จิตที่ตั้งมั่นเป็นสัมมาสมาธิ รู้ธรรมเห็นธรรม จึงพ้นจากการปรุงแต่งโดยปริยาย ความรู้เห็นในขณะนั้น ไม่เสื่อมดับเลยจนนิพพานก็ไม่เสื่อมดับ เป็นจิตที่มีปัญญาวิสุทธิ์ จะเรียกว่า วิสุทธิจิตก็ได้
ปัญญามี ๒ แบบ ก่อนรู้เห็นธรรมยังเป็นปัญญาปรุงแต่ง เมื่อรู้เห็นธรรมแล้ว เรียกว่า โลกุตรปัญญา ไม่เสื่อมดับ เห็นอย่างไรก็อย่างนั้น ไม่กลับไปกลับมา ไม่เหมือนความคิดความเข้าใจ กลับไปกลับมาได้ ก่อนจะถึงขั้นปัญญาสลัดคืน (ปฏินิสสัคคานุปัสสี) ต้องประกอบด้วยศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิและปัญญา
สมัยนี้อยู่ๆ จะไปใช้ปัญญาสลัดเลย ไม่มี สมัยพุทธกาลมี อย่างพระสารีบุตรฟังธรรมโดยย่อจากพระอัสสชิ ก็ใช้ปัญญาสลัดได้เลย ปัญญาเรากับปัญญาพระสารีบุตรมันคนละชั้นกัน จะเทียบกันไม่ได้ แม้ครูบาอาจารย์ อย่างหลวงปู่มั่น หลวงปู่ชา หลวงปู่ดูลย์ ก็ไม่สามารถใช้ปัญญาสลัดเลยทันที ท่านเริ่มจากความเพียร เจริญสติ สมาธิและปัญญา ปัญญาที่ท่านเจริญ เช่น การพิจารณากาย เรียกว่า กายคตาสติ อย่างหลวงตามหาบัว บรรลุอนาคามีก็เพราะเจริญกายคตาสติ ปัญญาที่จะสลัดได้ จะต้องเป็นปัญญาที่รู้แจ้งเห็นจริงในรูปนามเท่านั้น ถ้าเป็นปัญญาแบบความคิดแบบโลกๆ ทำไม่ได้เลย หลวงปู่มั่นก็เจริญกายคตาสติ ค่อยๆ แจ้งในกายก่อน ให้ปัญญารู้แจ้งในกายก่อน เวลาเราเจริญกายคตาสติ จนจิตสงบลงไป จะเกิดปัญญารู้แจ้งในกาย พอรู้แจ้งมันก็สลัดความยึดมั่นในกายออกมาเปลาะหนึ่ง ภูเขาจะสะเทือนให้เห็นเลย นั่นแหละ มันจึงจะสลัดได้จริง ถ้าสลัดแบบความคิดมันก็หลอกตัวเองเท่านั้นเอง ลองพรุ่งนี้ลูกตายสักคนก็จะเห็นว่าสลัดได้จริงหรือเปล่า สามีตาย ภรรยาตาย พ่อตาย แม่ตาย ถ้าคนสลัดกายได้จริงเขาจะรู้เท่าทัน เพราะเห็นแจ้งมาแล้วว่า กายนี้เป็นแค่ธาตุ เห็นนะ ไม่ใช่คิดเอา หมายเอา จำเอา เป็นการเห็นด้วยจิต เรียกว่า ญาณทัสสนะ หาความหมายของสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขาไม่ได้เลย ลูกตาย เมียตาย ผัวตาย พ่อตาย แม่ตาย มันก็ “นิ่งสงบ” อยู่ได้ เพราะเห็นแล้วว่าไม่มีอะไรตาย มีแต่ธาตุดิน น้ำไ ฟ ลม เท่านั้นที่ตายคือ เสื่อมไปตามสภาพธรรมดาของเขาเท่านั้นเอง
ผู้ปฏิบัติ : โง่มานานแล้ว
ท่านทรงกลด : ถ้าหายโง่แล้วก็อนุโมทนาด้วยนะ แต่ต้องหายโง่ด้วยปัญญาที่รู้แจ้งจริงๆ นะ จึงจะหายจริง ถ้าไม่อย่างนั้น มันก็มีโอกาสจะกลับไปโง่ได้เหมือนเดิม โง่เรื่องกายก็เป็นอวิชชาเปลือกนอก เปลือกในสุด โน่น วิญญาณขันธ์ เอาเปลือกนอกให้หายโง่ก่อนก็จะดีทีเดียว การจะทำเรื่องโง่ให้หายขาดก็ต้องเจริญสตินี่แหละ หายแล้ว เกิดใหม่ (ถ้ายังเกิด) ก็ไม่กลับไปโง่อีก เพราะมันเคยเห็นมาแล้ว
เหมือนเราเห็นเป็ดเป็นไก่ เห็นไก่เป็นเป็ด วันหนึ่งพอรู้ว่าอะไรเป็ดอะไรไก่ก็หายโง่ ไปเจอเป็ดก็บอกได้ เจอไก่ก็บอกได้ว่าอันไหนเป็ด อันไหนไก่ อันนี้คำสอนของหลวงปู่ชานะ หมายความว่า ให้มัน “แจ้ง” เสียว่า อันไหนเป็ด อันไหนไก่ ต่อไปก็ไม่โง่แล้ว ก็ขอให้ประกอบความเพียรกันให้มากๆ เถิด ใครเล่าจะล่วงรู้ความตายที่จะมาในวันพรุ่ง อย่าทำตัวแบบชาวโลกที่สนุกสนานกินเที่ยวนอนไปวันๆ อยู่เลย พบพุทธศาสนาแล้ว ไม่รู้จักค่า ก็เหมือนไก่ได้พลอยนั่นแหละ
วันนี้ก็คุยกับคุณหมอว่า การปฏิบัติต้องเริ่มต้นตั้งแต่ตื่นนอนไปจนถึงเข้านอน จึงเรียกว่า ปฏิบัติเป็นวงกลมอย่างที่หลวงปู่มั่นสอน ในหนังสือก็เขียนไว้หมดแล้ว สติปัฏฐานสี่ในชีวิตประจำวัน ตื่นมา เข้าห้องน้ำ แต่งตัว กินข้าว ไปทำงาน กลับบ้าน จนเข้านอน ก่อนนอนก็สาธยายอาการสามสิบสองเสียหน่อย ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง จนถึงเยื่อสมอง ลองทำทุกวันๆ เถิดจะเกิดอัศจรรย์ในใจโดยไม่ต้องไปถามใครเลย ครูบาอาจารย์ที่ดีที่สุดก็คือ กายเรา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนี่แหละ ไม่ต้องไปแสวงหาอะไรให้มาก
เห็นอะไร ไม่ต้องคิด ใส่อนิจจังเข้าไปเลย คาถาพระพุทธเจ้า อนิจจัง ทำๆ ไป จิตใจที่เปลี่ยนไป จะเป็นตัวชี้วัดความก้าวหน้าโดยไม่ต้องไปให้ใครสอบอารมณ์อะไรหรอก ไม่มีใครจะรู้อารมณ์ตัวเองเท่าตัวเองหรอก เพราะทุกอย่างมันเป็นสักขีภูโต อยู่ในตัวแล้วนั่นเอง
“ไม่แน่” อนิจจัง นี่แหละคือ ปัญญาที่จะทำให้สลัด “ทุกอย่าง” ล่ะ
ขอให้เจริญในธรรมทุกคนนะ