วิธีจัดการกับปัญหาทางโลกแรงๆ อารมณ์แรงๆ

แสดงธรรม กลุ่มสายธารธรรม เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2560
ผู้ปฏิบัติ : ปัญหาทางโลกแรงๆ สําหรับผู้ที่มีเหตุทางโลกแรงๆ ใจก็จะไปคลุก วนเวียนกับอารมณ์นั้นๆ บ่อยๆ ควรทำอย่างไรคะ
ท่านทรงกลด : ที่ใจไปคลุกกับอารมณ์นั้นบ่อยๆ เพราะไม่เห็นตามความเป็นจริงของอารมณ์นั้นๆ ซึ่งแรกๆ ก็ห้ามไม่ได้ เพราะเคยชินอยู่กับมันมานานแสนนาน เป็นล้านๆ กัป จึงต้องพิจารณาให้เห็นตามความเป็นจริงของมัน เมื่อเห็นตามจริงก็จะไม่ไปคลุกคลี ยิ่งเห็นตามจริงได้มากเท่าใด ก็วางได้เร็วขึ้นมากเท่านั้น ตรงนี้เอง ที่เป็นเครื่องทดสอบกำลังสติของเราว่าฝึกมาดีแค่ไหน
สมัย พุทธกาลมีสตรีคนหนึ่งบรรลุอนาคามี พระก็สงสัยว่าบรรลุจริงหรือ วันหนึ่งสตรีท่านนั้นนิมนต์พระไปฉันอาหารเช้าที่บ้าน ระหว่างฉัน มีคนวิ่งมาบอกว่า ลูกของสตรีท่านนั้นตายแล้วนะ พระก็สังเกตอาการของสตรีท่านนั้น ท่านไม่แสดงอาการอะไรเลย นิ่งสงบ ถวายอาหารไปตามปกติ ซึ่งถ้าเป็นคนปกติ ต้องร้องไห้ วิ่งออกไปดูลูกที่ตายแล้ว นั่นเป็นเพราะอะไร เพราะอารมณ์ไม่เข้าไปในใจท่านเลย เหมือนน้ำกลิ้งบนใบบัว เรียกว่า อารมณ์มาไม่ถึงใจแล้ว ละอารมณ์สุขทุกข์ได้เด็ดขาดแล้ว ที่ท่านละได้ เพราะเห็นตามจริงแล้วว่า อารมณ์ไม่ว่าทุกข์ โศก หรือยินดีแค่ไหน เกิดแล้วดับไป ไม่อาจจะถือเป็นเรา ของเราได้เลย จิตท่านไม่เสวยอารมณ์เลย
ทีนี้ สำหรับพวกเรา เมื่ออารมณ์แรงๆ เกิด ตรงนี้แหละจะฝึกสติได้เป็นอย่างดี อย่าหนีมันเชียว ถ้าสติดี มันจะไม่จมอยู่นาน ถ้าสติแย่ จะจมอยู่เป็นวันเป็นคืน เหตุทางโลกแรงๆ แค่ไหน หากมีสติรู้ทัน มันจะหยุดอยู่นอกใจ ไม่เข้ามา เหมือนน้ำกลิ้งบนใบบัว เรียกว่า จิตไม่เสวยอารมณ์ แต่ถ้ายังคลุกอยู่ แสดงว่า ฝึกมายังไม่ดี สติอ่อน ผมถึงบอกเสมอว่า สติกับทุกข์นี่แหละเป็นเครื่องทดสอบมรรค บางคนอ่านธรรมะ ฟังธรรมะเข้าใจหมด พอเจอของจริง จมเป็นวัน เฝ้าครุ่นคิดทุบตีตนเอง นี่แสดงว่ายังไม่ไปถึงไหนเลย เรื่องทางโลกแรงๆ นี่แหละของดี สติกับทุกข์มันอยู่ตรงข้ามกัน เวลามีเรื่องทางโลกแรงๆ มากระทบ ย่อมทุกข์เป็นธรรมดา แต่เมื่อทุกข์แล้ว ต้องมีสติ สติจะเป็นตัวตัด ถ้ามีทุกข์แล้วจมอยู่กับทุกข์ แสดงว่าไม่มีสติ (สัมมาสติ) เลย
อนึ่ง การคิดบวกที่ชอบสอนๆ กันอยู่นี่ไม่ใช่สติ เช่น เวลารถถูกชนอย่างแรง ก็คิดว่าไม่เป็นไร มีรถหลายคัน หรือรถมีประกัน หรือนั่งแท๊กซี่ก็ได้ อันนี้คือการคิดบวก หรือคิดว่า คนไม่มีรถเขาก็ยังไปทำงานได้ อันนี้ก็คิดบวกอีก ความคิดคือสังขาร คือการปรุงแต่ง คนละเรื่องกับสติ หรือการตั้งคำถามก็เหมือนกัน เช่น เสื้อผ้าขาด ก็คิดว่าไม่เป็นไร ใครทำให้ขาด ก็ให้คนนั้นซื้อให้ใหม่ การตั้งคำถามก็ยังไม่ใช่สติ มีเป็นการปรุงแต่งอย่างหนึ่ง สติต้องรู้สึกตัวขึ้นมา (หายใจลึกๆ ก็ได้) อยู่กับความรู้สึกตัวตรงนั้น ถ้ามีสติจริงๆ (สัมมาสติ) เวลามีอารมณ์แรงๆ จะเห็นอารมณ์อยู่อีกฝั่งหนึ่ง มันเหมือนจะถูกแยกออกไป แต่ในขั้นฝึก มันยังไม่แยกเด็ดขาดหรอก มันแค่เหมือน แต่ทำแค่นี้ไปก่อนเพียงพอที่จะเอาอารมณ์นั้นมาพิจารณาให้เห็นว่าไม่เที่ยง อนิจจัง ไม่มีอารมณ์ไหนเที่ยงแท้ไปได้ ให้ฝึกอย่างนี้เนืองๆ เรียกว่า มีสติรู้เท่าทันอารมณ์ หรือจะเรียกว่าเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐานก็ได้ หลวงปู่ชาบอกว่า การรู้ธรรม เห็นธรรมจะเร็วๆ มาก ซึ่งผมก็รับรองตามที่หลวงปู่ชาบอก
เรื่องสติทางโลกกับทางธรรม จึงต้องเข้าใจให้แจ้งชัดด้วย ถ้าไม่เข้าใจ ปฏิบัติธรรมเป็นร้อยปีก็ไม่มีวันบรรลุธรรม สมัยพุทธกาลพระพุทธเจ้าสอนไม่กี่คำ คนก็บรรลุธรรม ท่านสอนว่า ท่าน (สาวก) จงมีสติ ออกจากความเศร้าหมองของกาม แค่นี้เอง พระสาวกก็บรรลุโสดาบัน อนาคามี อรหัตผลกันมาเยอะแล้ว เพราะอะไร เพราะท่านเข้าใจความหมายของคำว่า “สติ” นั่นเอง
ส่วนคำว่า “ออกจากเครื่องเศร้าหมองของกาม” หมายถึง เมื่อใดที่จิตคลุกคลีด้วยกาม จิตย่อมเศร้าหมอง จิตปรุงแต่งกาม ราคะ โทสะ แล้วคลุกคลีกับสิ่งที่ตนปรุงแต่งขึ้นมา จึงเศร้าหมองไป เมื่อออกจากสิ่งที่ปรุงแต่ง จิตก็เป็นอิสระ ผ่องใสบริสุทธิ์ การที่เห็นอย่างนี้ได้ต้องมีสติที่ถูกต้องก่อน จึงจะเห็นว่า จิตเศร้าหมองด้วยกาม ท่านจึงสอนสติก่อน ดังนั้นเวลามีเรื่องทางโลกแรงๆ ก็จงมีสติรู้เท่าทัน ยิ่งมีสติดีเท่าไร ก็จะคลุกคลีกับอารมณ์น้อยลง ออกจากอารมณ์ได้เร็วขึ้น ถ้าเป็นตรงกันข้ามแสดงว่า สติยังแย่อยู่ ลองนำไปพิจารณากันดู