ถาม-ตอบ

รู้อารมณ์ขณะทำงาน 

แสดงธรรม กลุ่มสายธารธรรม เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2560

 

ผู้ปฏิบัติ : ถ้าเราต้องทำงานวุ่นวายทั้งวัน เวลาทำงานอยู่ลำพังเราเอาใจจดจ่อกับงาน แต่พอมีคนมาหา มาพูดคุยปรึกษา เราอาศัยดูอารมณ์ ความรู้สึกที่มีขณะสนทนาว่า บางทีเราอยากพูดแต่ข่มใจให้เขาพูดจบก่อน ถือว่าเรามีสติรู้ตัวไหมคะ และบางครั้งเราพอใจ ไม่พอใจในการสนทนา นับเป็นการรู้อารมณ์ตามแนวปฏิบัติหรือยังคะ 

ท่านทรงกลด : การข่มใจให้เขาพูดให้จบก่อน ยังใช้เป็นแนวไม่ได้ เมื่อเราพอใจ ไม่พอใจ ให้รู้ทัน ก็จะเป็นการปฏิบัติแล้ว เมื่อพบเห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ชอบใจก็ให้มีสติรู้ทัน หยุดอยู่แค่นั้น หยุดอยู่แค่รู้ ไม่ให้พัฒนาก่อร่างสร้างตัวเป็นความอยากได้ อยากมี อยากเป็น ขึ้นมา ขณะเดียวกัน เมื่อพบเห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ไม่ชอบใจ ก็ให้มีสติรู้ทันเช่นกัน หยุดอยู่แค่นั้น ไม่ให้พัฒนาก่อร่างสร้างตัวเป็นความไม่อยากได้ ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น ขึ้นมา  หากทำได้อย่างนี้เนืองๆ เท่ากับสลัดความชอบออกจากใจ ความชอบใจก็จะเหลือใจ สลัดความไม่ชอบออกจากใจ ความไม่ชอบใจก็จะเหลือใจ จะพบใจก็ตรงนี้ วันใดพบใจ วันนั้นพบธรรม วันใดพบธรรม วันนั้นปิดอบายได้ และนี่แหละคือทางสายกลาง นี่แหละคือการปฏิบัติ ที่พระพุทธเจ้าสอนมีแค่นี้จริงๆ อย่าไปคิดค้นหาอะไรให้มากนักเลย

ผู้ปฏิบัติ : ต้องพยายามรู้ และหักห้ามใจไม่ให้เกิดความชอบใจ หรือไม่ชอบใจ ไม่ต่อเติมถูกต้องไหมคะ

ท่านทรงกลด : ที่ตอบมานั้น ถูกและไม่ถูก มันเป็นอย่างนี้นะ ตรงที่พยายามรู้ ไม่ต่อเติม อันนี้ถูก แต่ตรงหักห้ามใจไม่ให้เกิดความชอบใจหรือไม่ชอบใจ อันนี้ไม่ถูก เพราะเมื่อใดที่พยายามหักห้ามใจ นั่นคือเราปรุงแต่งแล้ว ถ้ารู้จริงๆ จะไม่ปรุงแต่ง ที่หลวงปู่ทาบอก รู้ซื่อๆ นั่นแหละ รู้ซื่อๆ คือ รู้แบบไม่ปรุงแต่ง ถ้ารู้แล้วยังถามอีก นี่ปรุงแต่งแล้ว รู้แบบนี้ไม่มีวันรู้ธรรมหรอก หลวงปู่ดูลย์ก็สอนว่า อย่าไปคล้อยตาม (อารมณ์) หรือหักหาญ ให้รู้ หยุดแค่รู้ หยุดแค่นั้น เมื่อมีอารมณ์มากระทบ ให้รู้ แล้วหยุดแค่นั้น เราไปหักห้ามมันไม่ให้เกิดไม่ได้เพราะเมื่อใดที่มีผัสสะ เช่น ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง ต้องมีเวทนาเกิดขึ้นตามมาโดยอัตโนมัติ ห้ามไม่ได้ ความชอบใจเรียกว่า สุขเวทนา หรือที่หลวงปู่ชาเรียกว่า ความยินดี ความไม่ชอบใจคือ ทุกขเวทนา หรือความยินร้ายเหมือนอย่างที่พระพุทธเจ้าสอนปัญจวัคคีย์นั่นแหละ 

ทางสองทางที่ไม่ควรข้องแวะคือทางสุข (กามสุขัลลิกานุโยค) อีกทางหนึ่งคือทุกข์ (อัตตกิลมถานุโยค) ก็คือ สุขกับทุกข์ ความยินดียินร้าย ความชอบใจ ไม่ชอบใจ แต่ก่อนผมก็สงสัยว่า ทำไมหลวงปู่ชาจะสอนเรื่องนี้มากๆ พอรู้เห็นธรรม อ้อ! หลวงปู่ชาท่านรู้เห็น เพราะไม่ข้องแวะอารมณ์ทั้งสองเหมือนพระโกณฑัญญะนี่เอง ทางสายกลางคือการปฏิบัติ จะเห็นธรรมรู้ธรรมอย่างไม่ต้องสงสัย ถ้าเราไม่เอาความชอบใจและไม่ชอบใจ จริงๆ นะ มันจะเกิดอะไรรู้ไหม มันจะเกิดความรู้สึกตัวคือสติขึ้น ถ้ามีสติก็เท่ากับไม่เอาความชอบใจ  ไม่ชอบใจ สติก็คือทางสายกลางนี่เอง ความรู้สึกกลางๆ   

ทีนี้ ถ้าเราฝึกสติไปด้วย ฝึกปล่อยวางความไม่ชอบใจ ความชอบใจไปด้วย การรู้ธรรมจะเร็วๆ ๆ ๆ ๆ มากๆ ๆ ๆ ๆ  ขอยืนยัน มันทำให้สติมีกำลังอย่างรวดเร็ว หลวงปู่ชาก็บอกและยืนยันว่า แล้วมันจะเร็วมาก การรู้ทันความยินดียินร้ายนี่นะมันจะทำให้รู้เห็นธรรมเร็วมาก  แต่ก็น่าเศร้าที่ลูกศิษย์ท่านไม่เข้าใจตรงนี้ ส่วนใหญ่ก็จะพากันนั่งหลับตาทำสมาธิ เอาความสงบกันอย่างเดียว เรื่องสติเรื่องปัญญานี่หายากที่ใครจะเดินตามท่าน สุดท้ายก็ไปไม่รอด อย่างที่เราเห็นข่าวพระสายหลวงปู่ชาสึกไปแต่งงานเมื่อหลายปีก่อน