รอยโคไม่ใช่โค

แสดงธรรม กลุ่มสายธารธรรม เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2560
ผู้ปฏิบัติ : ขอท่านทรงกลดโปรดขยายความกระจ่างในข้อธรรมที่ว่า รอยโคไม่ใช่โค ด้วยค่ะ
ท่านทรงกลด : รอยโคก็คือ ความรู้สึกนึกคิดทั้งปวง
โคก็คือ จิตหรือใจ
เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้ จึงอุทานว่า เราหลงตามรอยโคมานานหลายล้านๆๆ กัป แม้ชาตินี้ออกบวชแล้ว ยังหลงตามอยู่อีกตั้งหกปี บัดนี้เราพบตัวโคแล้ว ความหลงผิดว่า รอยโคคือโคสิ้นแล้ว โคคือใจ จิตกับใจอันเดียวกัน “ผู้ใดพบจิต ผู้นั้นพบธรรม” พุทธพจน์ ตัวที่จะช่วยให้พบโคคือ สติ
ผู้ปฏิบัติ : บ่อยครั้งที่รู้สึกตัวว่า หลงคิด ก็พยายามหายใจลึกๆ เพื่อให้สติกลับมา ซึ่งก็กลับมาบ้าง ไม่กลับมาบ้าง เป็นอย่างนี้อยู่ทั้งวันจนบางครั้งก็เริ่มท้อใจกับการปฏิบัติค่ะ ท่านอาจารย์พอจะมีคำแนะนำในเรื่องนี้บ้างไหมคะ
ท่านทรงกลด : เพียร เพียร และเพียร หลายคนล้มเลิกเพราะเหตุนี้ จึงบอกว่า ควรพิจารณากายบ้าง ดูอารมณ์บ้าง อย่าทำอยู่อย่างเดียว เราทำแค่นี้มันจึงไม่ถึงไหนไง ต้องทำทุกอย่างเพื่อให้สติมีกำลัง เมื่อสติมีกำลังจึงจะแยกจิตออกมาให้เห็น
ผู้ปฏิบัติ : รอยโคคือ จิตที่ไปเสวยอารมณ์ต่างๆ แต่โคก็คือ จิตที่มีสติกำกับรู้ ใช่ไหมครับ
ท่านทรงกลด : รอยโคคือ อารมณ์ที่จิตหลงเข้าไปเสวยหรือยึดเพราะเห็นผิดว่า นั่นคือตน ของตน โคก็คือจิต ส่วนสติเป็นตัวแยกโคออกจากรอยโค โคไม่ใช่สติ คืนที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ท่านเจริญอานาปานสติ จึงพบโค
ผู้ปฏิบัติ : สติคือ การปรุงแต่งอย่างหนึ่งใช่ไหมคะ แล้วจะมีผู้รู้มารู้ตัวสตินี้ใช่ไหมคะ
ท่านทรงกลด: สติก็คือ ผู้รู้ เป็นการปรุงแต่ง เราใช้สติเพื่อนำไปสู่การพบจิตเดิมที่เป็นผู้รู้จริงหรือธาตุรู้ คำว่า อยู่กับรู้ ก็คือ ให้จิตอยู่กับสติ เมื่อถึงเวลามันจะเห็นหมด ไม่สงสัย
ตัวรู้คือ สติ ในการปฏิบัติที่ว่า ปฏิบัติจิต ปฏิบัติใจ โดยให้ใจอยู่กับใจนี้ก็คือ ให้มีสติกำกับใจ ให้เป็นสติถาวร ไม่ใช่สติคล้ายๆ หลอดไฟที่จวนจะขาด เดี๋ยวก็สว่างวาบ เดี๋ยวก็ดับ แต่ให้มันสว่างติดต่อกันไปตลอดเวลา เมื่อมีสติติดต่อกันไป ใจก็มีสติควบคุมอยู่ตลอดเวลา เรียกว่า อยู่กับตัวรู้ตลอดเวลา ตัวรู้ก็คือ สตินั่นเองหรือจะเรียกว่า พุทโธก็ได้ พุทโธที่ว่า รู้ตื่น เบิกบานก็คือ ตัวสตินั่นแหละ เมื่อมีสติ ความรู้สึกนึกคิดต่างๆ ก็จะเป็นไปได้โดยอัตโนมัติ เวลาดีใจก็จะไม่ดีใจจนเกินไป สามารถพิจารณารู้ได้โดยทันทีว่า สิ่งนี้คืออะไร อะไรเกิดขึ้น และเวลาเสียใจก็ไม่เสียใจเกินไปเพราะว่าสติมันรู้อยู่แล้ว
คำสอนของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล จากหนังสือหลวงปู่ฝากไว้ มีว่า “คำชมก็เป็นคำชนิดหนึ่ง คำติก็เป็นคำชนิดหนึ่ง เมื่อจับสิ่งเหล่านี้มาถ่วงกันแล้ว จะเห็นว่า มันไม่แตกต่างกันจนเกินไป มันเป็นเพียงภาษาคำพูดเท่านั้นเอง ใจมันก็ไม่รับ เมื่อใจไม่รับก็รู้ว่าใจไม่มีความกังวล ความกังวลในเรื่องต่างๆ ก็ไม่มี ความกระเพื่อมของจิตก็ไม่มี ก็เหลือแต่ความรู้อยู่ในใจ”
คำสอนนี้หมายถึง สติมันรู้อยู่ในตัว ไม่มีอะไรจะไปรู้อะไร เพียงแต่เปลี่ยนที่อยู่ของใจจากที่เคยชินอยู่กับอารมณ์ ให้มาอยู่กับสติเท่านั้นเอง อยู่ได้สนิท จิตก็ตั้งมั่น เกิดสัมมาสมาธิหรือมัคคสมังคี ก็จะรู้แจ้ง เห็นธรรมเมื่อนั้นเอง นี่คือ มรรคที่ถูกต้อง ผิดไปจากนี้ไม่ใช่มรรค เมื่อไม่ใช่มรรค ผลที่ได้จึงเพี้ยนผิดไป