ถาม-ตอบ

มีแบบไม่มี เป็นแบบไม่เป็น ได้แบบไม่ได้

 

แสดงธรรมกลุ่มสายธารธรรม เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2560

 

ผู้ปฏิบัติ  :   ข้อธรรมที่ว่า  เมื่อใดที่มีแบบไม่มี   เป็นแบบไม่เป็น  ได้แบบไม่ได้   เมื่อนั้นย่อมเป็นสข์  

                    ขอความกรุณาท่านอาจารย์ช่วยขยายความด้วยค่ะ

ท่านทรงกลด  :   ให้อยู่กับความมี ด้วยความไม่ยึดมั่นในสิ่งที่มี  

ให้อยู่กับความเป็น ด้วยความไม่ยึดมั่นในสิ่งที่เป็น

ให้อยู่กับความได้ ด้วยความไม่ยึดมั่นในสิ่งที่ได้

เมื่อเห็นตามจริงว่า สิ่งที่มี สิ่งที่เป็น สิ่งที่ได้ ล้วนเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จะถือเป็นเรา ของเราไม่ได้  ก็จะมีแบบไม่มี  เป็นแบบไม่เป็น  ได้แบบไม่ได้เองโดยอัตโนมัติ 

ดูดีๆ ดูให้ดี ดูให้เป็น ถึงรูปนี้ กายนี้ เวทนานี้ สุขนี้ ทุกข์นี้ อารมณ์ยินดี ไม่ยินดีนี้ มันใช่เราจริงหรือ สัญญา ความจำได้หมายรู้ ใช่เราจริงหรือ  สังขาร ความคิดปรุงแต่งใช่เราจริงหรือ  เหมือนอึก้อนหนึ่ง เมื่อเราถ่ายกดชักโครกทิ้งไป มันใช่เราจริงหรือ  สัญญาอย่างหนึ่งโผล่ขึ้นมาแล้วดับไป มันต่างจากอึตรงไหน  สุขอย่างหนึ่งเกิดขึ้นแล้วดับไป ต่างจากอึตรงไหน ความไม่พอใจอย่างหนึ่งเกิดขึ้นแล้วดับไป ต่างจากอึตรงไหน เวลานั่งถ่ายอึ  ให้โยนิโสมาสิการเช่นนี้   เวลาปวดท้องเข้าห้องน้ำ นั่นมันทุกข์แล้ว ทุกขเวทนา เห็นหรือไม่เล่า  พอถ่ายท้องได้ โล่ง ทุกข์ก็ดับไปแล้ว  ทุกข์ดับ ทำไมเราไม่ดับ  ถ้ามันใช่เรา พอทุกข์ดับ เราก็ต้องดับไปด้วยสิ  เพราะความเป็นจริง มันไม่ใช่เรา ของเรา เราจึงไม่ดับตาม   

แสดงมาถึงตรงนี้ หากเป็นสมัยพุทธกาล ก็จะมีคนได้ดวงตาเห็นธรรมจำนวนมาก เพราะเมื่อเห็นความจริงเช่นนี้ ใจเราก็จะผละออกมา  เมื่อเห็นใจก็จะเห็นธรรม  เอาตรงนี้ก่อน  หาใจให้พบก่อน  บางคนยังไม่รู้เลยว่า ใจคืออะไร  ก็บอกว่า พ้นทุกข์แล้ว   ปิดอบายได้แล้ว   เมื่อพบใจอย่างแจ่มแจ้ง ก็จะเห็นชัดเหมือนตาเห็นรูปว่า เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ความรู้สึกนึกคิดทั้งปวงหาใช่ใจไม่   

เครื่องมือที่จะทำให้พบใจ ไม่มีทางอื่น  ก็คือสตินี่เอง สติปัฏฐานสี่เป็นเครื่องแยกใจออกจากทุกข์ ออกจากขันธ์ห้า อารมณ์  บางคนก็ไลน์มาถามว่า ทำไมผมไม่ก้าวหน้าเลย  ก็ถามกลับไปว่า ได้เจริญสติตามแนวทางที่ให้ไว้บ้างหรือเปล่า  ถ้าเอาแต่อ่าน แต่ฟัง ก็ได้แค่ความเข้าใจ ความจำ ความปรุงแต่งเท่านั้นเอง  เวลาไม่มีทุกข์ก็นึกว่าพ้นทุกข์  ลองพบเข้าจริงๆ หนักๆ สิ ถ้าไม่หลอกตนเองก็ร้องไม่ออก 

เบื้องต้น หาใจตนเองให้พบก่อน  พระพุทธเจ้าจะถามภิกษุเสมอ พบใจหรือยัง  หรือมีหนุ่มห้าสิบคนวิ่งตามหาหญิงโสเภณี เพราะเธอขโมยของมีค่าไป มาพบพระพุทธเจ้า  พระพุทธเจ้าถามว่า พวกเธอตามหาอะไรกัน  ตามหาหญิงโสเภณีพระพุทธเจ้าข้า  ชายหนุ่มตอบ  พระพุทธเจ้าก็ถามว่า ระหว่างหาหญิงโสเภณีกับหา “ตน” จะหาอะไรดีกว่ากัน  พวกชายหนุ่มเหล่านั้นมีปัญญา ก็ตอบว่า หา ตน” พระพุทธเจ้าข้า  ถ้าอย่างนั้น เธอจงนั่งตั้งใจฟังธรรม  เราจะแสดงธรรมให้พบ ตน” ได้  เมื่อชายหนุ่มเหล่านั้นฟังธรรม ก็พบใจ พบตน  เลิกตามหาหญิงอีกต่อไป  ต่างพากันออกบวชเป็นภิกษุด้วยกันทุกคน  

คำว่า พบใจ เป็นเบื้องต้นของการนำไปสู่การพ้นทุกข์  แม้พระพุทธเจ้าท่านก็พบใจก่อน   พอพบ ท่านก็อุทานว่า เรานี่หลงตาม รอยโค มาตั้งนาน นึกว่าเป็น โค บัดนี้ เราพบ ตัวโค” แล้ว  รอยโค ก็คือ ขันธ์ห้า อารมณ์ โค ก็คือจิต  คือใจ  คือต้นเหตุแห่งธรรมทั้งปวง   เพราะใจถูกครอบงำด้วยอวิชชาคือ ความหลงเข้าใจว่า ขันธ์ห้าคือเราของเรา  ใจนี่จึงพาเกิด พาตายไม่รู้จบ  เมื่อเห็นแจ้งชัดตามจริงว่า ขันธ์ห้า อารมณ์ไม่ใช่เรา ของเรา จิตก็หลุดพ้นอยู่ตรงนั้นเอง  นี่คือ ความย่อแห่งปฏิจสมุปบาท  

ก็ขอให้เจริญสติ หาใจให้พบก่อน ที่เหลือจะตามมาเอง

 

ผู้ปฏิบัติ  :  ฆราวาสสามารถฟังธรรมอย่างเดียวแล้วจะได้ดวงตาเห็นธรรมเลยหรือไม่คะ

ท่านทรงกลด  :  ได้  แต่สมัยนี้เท่าที่ดู ไม่มี  ฆราวาสที่ว่าล้วนเกิดในสมัยพุทธกาล   เพราะสั่งสมบารมีมามาก จึงเกิดมาทันและได้ฟังพระธรรมเฉพาะหน้าพระพุทธเจ้า  

อย่างพวกเรา ถ้าบารมีมากพอ ก็คงไม่เกิดมาลำบากในการปฏิบัติในชาติปัจจุบันนี้  เมื่อบารมีไม่มากพอ สิ่งเดียวก็คือ ความเพียร อย่างหลวงปู่  ครูบาอาจารย์สายพระป่าทั้งหลาย ท่านก็เป็นลูกชาวนา ท่านมีแต่ความเพียรเท่านั้น เอาชีวิตเป็นเดินพันกว่าจะบรรลุธรรม พวกเรานี้ ฟังธรรมนิดๆ หน่อยๆ ก็จะเอาบรรลุธรรมกันแล้ว  จะเอาพ้นทุกข์ นิพพานกันแล้ว  หลวงปู่ พระอรหันต์รูปหนึ่ง จึงหัวเราะหญิงคนหนึ่งว่า อีหนูเอ๋ย ปฏิบัติแค่นี้จะเอานิพพาน  มันไม่ได้ง่ายอย่างนั้น  

ถ้าบารมีมากพอไม่เกิดหลงยุคแบบนี้หรอก จะเกิดในสมัยพุทธกาลฟังธรรมแล้วบรรลุธรรม อย่างน้อยโสดาปัตติผล  คนสมัยนี้ สติยังไม่รู้ว่าคืออะไร  จะบรรลุได้อย่างไร  จะเอาความจำ ความเข้าใจ มาเป็นเครื่องมือในการบรรลุธรรม เป็นไปไม่ได้

อย่างพระอนาคามี ละราคะ  ปฏิฆะได้แล้ว  ยังเหลืออีกตั้งห้าจึงจะบรรลุอรหันต์คือ  รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ และอวิชชา  ซึ่งเรื่องนี้เคยแสดงไว้ละเอียดในกลุ่มธรรมกลุ่มหนึ่งแล้ว  อวิชชาคือสิ่งสุดท้าย พอละได้จึงจะบรรลุอรหัตผล  ถ้าเราบรรลุอรหัตผลกันด้วยการฟังธรรมก็คงมีพระอรหันต์มากมายทีเดียว  

พระอรหันต์ที่ยังเสพกามอยู่  ไม่มี  พระอรหันต์ที่ยังดูหนังฟังเพลง ไม่มี  พระอรหันต์ที่คลุกคลีอยู่กับครอบครัว ไม่มี พระอรหันต์ที่กินข้าวครบสามมื้อ ไม่มี  พระอรหันต์ที่ยังเรียนหนังสือทางโลกอยู่ ไม่มี พระอรหันต์ที่ยังแสวงหาของอร่อยกิน หาที่เที่ยวเพลิดเพลินเจริญใจ ไม่มี  พระอรหันต์ที่กลัวตายอยู่ ไม่มี  

สมัยนี้ ความรู้เรื่องพระอริยเจ้าของพวกเรามีน้อยมาก จึงพากันเข้าใจอะไรผิดๆ มากมาย  จนบางทีก็รู้สึกสลดใจ สังเวชใจ  ที่น่าขันที่สุดก็คือ บางคนเข้าใจว่า นั่งสมาธิจิตรวมแล้วบรรลุโสดาบัน บรรลุธรรม หรือไปพบจิตว่างแล้วเข้าใจว่า บรรลุอรหัตผล  แล้วก็หลงติดอยู่ในความว่าง  ตายไปก็ไปเกิดเป็นพรหมลูกฟัก  ถูกหลอกกันมามากมายเหลือคณานับ  จึงต้องไตร่ตรองด้วยสติปัญญาก่อนเชื่ออะไรง่ายๆ    

กาลามสูตร พระพุทธเจ้าก็สอนไว้ ครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าแสดงธรรมจบ หันมาถามพระสารีบุตร (ตอนนั้นยังไม่บรรลุอรหัตผล) ว่า สารีบุตร เธอเชื่อไหม  พระสารีบุตร ตอบ ยังไม่เชื่อพระพุทธเจ้าข้า  พระพุทธเจ้าก็ชมว่า ดีแล้ว ถูกแล้วๆ   เมื่อปฏิบัติไปถึงที่ของมัน ไม่ต้องมีใครมาบอกหรอก มันเห็นเอง เชื่อเอง 

ธรรมที่เราตอบนี้อาจจะเผ็ดร้อน เด็ดขาด ก็เป็นไปตามสภาวะจิตที่เด็ดขาดของเรา  ขณะที่แสดง เคยสังเกตไหม เวลาคนหมู่มากไปกราบพระอริยเจ้า ท่านไม่สอนอะไรเลย อย่างมากก็ศีลธรรม การให้ทาน แล้วให้พร แต่พอคนหมู่มากจากไป เหลือเราตามลำพัง ท่านจะสอนธรรมะลึกซึ้งถึงจิต ถึงนิพพานทีเดียว เพราะท่านรู้ว่า หากแสดงธรรมที่ลึกซึ้งในขณะนั้น แล้วมีบางคนไม่เชื่อ ปรามาส ลุกพรวดพราดออกจากศาลาไป คนนั้นก็จะไปเกิดในมหานรก จะปฏิบัติธรรมอย่างไรก็ไม่มีทางบรรลุมรรคผล พระพุทธเจ้าจะกล่าวถึงคนแบบนี้ว่า ฉิบหายใหญ่แล้วคือ ปิดทางการบรรลุธรรม 

หลังๆ เราจึงบอกบ่อยๆ ว่า เมื่อปฏิบัติลึกซึ้งเข้าไป เราไม่อยากแสดงธรรม หรือตอบปัญหาให้มากมาย เพราะสภาวะจิตของเราที่แสดงนี่แหละ มันทำร้ายคนที่ปรามาส พรวดพราดออกไปด้วยเจตนาไม่ดี  ขณะแสดงตอบ จะบอกให้ก็ได้ว่า จิตเราทรงตัวเป็นสมาธิ กำลังจิตแผ่ซ่านออกไปทุกทิศทาง บางทีก็ได้กลิ่นธูปหอม กลิ่นดอกไม้แปลกๆ เพราะมีพวกตามองไม่เห็นมาแอบฟัง แอบอ่านอยู่ หากท่านไหนที่คลางแคลงในการปฏิบัติของเรา ก็ขอให้ออกจากกลุ่มไป  อย่าอยู่ทำร้ายตนเองอีกเลย เราขอเตือนจริงๆ นะ อย่าเห็นเป็นของเล่น ธรรมะนี่ไม่ใช่ของที่จะมาพูดเล่นเย้าหัวอะไรกัน ธรรมพระพุทธเจ้าเป็นของสูง คนดูหมิ่นธรรม ไม่มีวันจะเข้าถึงธรรมหรอก  เวลาเราทำกรรมไม่ดี ก็ไม่ค่อยคิดอะไร คิดว่าไม่มีอะไรหรอก เรื่องแค่นี้เอง แต่เวลาผลกรรมนั้นส่งผล จะเป็นจะตายขึ้นมาทีเดียว ตอนทำไม่คิด มาคิดได้ตอนผลกรรมส่งผลแล้ว มันช่วยอะไรไม่ได้หรอก   

เล่าก่อนจบไว้ว่า เมื่อหลายปีก่อน ได้สนทนาธรรมกับหลวงปู่รูปหนึ่งในวัดป่าแห่งหนึ่ง พอกราบลาจะกลับ ท่านก็ร้องบอกเบาๆ ว่า โยมปฏิบัติได้ถึงขนาดนี้ ให้ระวังคนรอบข้างตัวโยมให้ดีนะ เราก็ย้อนถามกลับไป ทำไมหรือหลวงปู่ อย่าให้เขาละเมิดในตัวโยม ทำไมหรือหลวงปู่ “เขาจะวิบัติ”