พระโสดาบันท่านเห็นอย่างไร

แสดงธรรม กลุ่มต้นบุญ เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2559
ท่านทรงกลด : พระโสดาบันนี้ท่านก็เห็นชัดแจ้งด้วยญาณว่า ขันธ์ห้านี้ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของเรา เพราะท่านเห็นแล้วว่า ตัวตนที่แท้ก็คือสภาวะหนึ่งที่แตกต่างไปจากขันธ์ห้าอย่างสิ้นเชิง นั่นคือ จิตที่แยกมาจากขันธ์ห้านั่นเอง ที่ผมกล่าวเสมอๆ ว่า ผู้ใดเห็นจิต ผู้นั้นพบตนอย่างแท้จริง เมื่อพบตนจะเห็นว่า ที่แท้ ตนนี้ไม่มีอะไร (จิตว่าง) พระพุทธเจ้าจึงกล่าวว่า ผู้ใดเห็นจิต (พบจิต) ผู้นั้นเห็นธรรม โสดาปัตติผลเกิดตรงนี้เอง หลังจากนั้นจิตของเขาก็จะวิวัฒนาการไปตามลำดับ ตามธรรมชาติว่า ขันธ์ห้านี้นอกจากไม่ใช่เรา (เพราะเห็นมันเกิดดับๆ ไปต่อหน้าต่อตา) มันยังไม่ใช่ของเราอีกนี่นา ตรงที่เริ่มเห็นว่า ขันธ์ห้าไม่ใช่ของเรา กายนี้ไม่ใช่ของเรา เวทนานี้ไม่ใช่ของเรา สัญญาคือความจำได้หมายรู้ สังขารคือความคิดปรุงแต่ง วิญญาณคือความรู้สึกทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนี้ก็ไม่ใช่ของเรา ตรงนี้แหละเรียกว่า เริ่มเห็นอนัตตา แต่พระปัญจวัคคีย์ท่านโชคดี เมื่อจิตท่านก้าวสู่โสดาปัตติผลด้วยกันทุกคนแล้ว พระพุทธเจ้าก็มาต่อยอดด้วยการแสดงธรรมเทศนาอนัตตลักขณสูตรว่าด้วยขันธ์ห้าเป็นอนัตตาให้ทันที เมื่อจิตของพระปัญจวัคคีย์เห็นตามจริงตามที่พระบรมศาสดาแสดง จิตท่านก็เบื่อหน่ายคลายกำหนัด เบื่อหน่ายที่จะวิ่งตามอารมณ์น้อยใหญ่ที่ไหลบ่าเข้ามาไม่เว้นแม้ลมหายใจเดียว เบื่อหน่ายในรูป (กาย) เพราะเห็นแล้วว่า กายนี้ไม่ใช่ของเรา (ถ้าใช่ของเรา เราก็สั่งได้สิว่า กายเอยจงอย่าแก่
อย่าเจ็บ อย่าป่วย อย่าตายนะ) เวทนาก็ไม่ใช่ของเรา ถ้าใช่ของเราก็สั่งได้สิว่า ขอให้พบแต่สุขเวทนานะ ทุกขเวทนาอย่าได้พบเลย ขอให้ความยินดีที่เกิดเมื่อตาเห็นรูป ลิ้นสัมผัสรสอาหารอร่อย อยู่นานๆ นะ อย่าได้เสื่อมสลาย มลายดับสูญไปเลย ขอให้สุขอยู่กับเรานานๆ นะ สั่งได้ไหมล่ะ สุขวันพบรักครั้งแรก สุขวันแต่งงาน มันหายไปไหนหมดแล้ว ถ้าเป็นของเราจริง ๆ สั่งให้มันอยู่กับเราไปชั่วอนันตกาลสิ เราจะได้ไม่ทุกข์ ไม่ได้หรอก เพราะมันไม่ใช่ของเราอย่างแท้จริง สัญญาความจำได้หมายรู้เล่า ใช่ของเราจริงหรือ อยากจำกลับลืม อยากลืมกลับจำ เคยเป็นกันไหม คำพูดเจ็บๆ คำด่าต่าง ๆ นานาที่เคยมี อดีตที่ขมขื่น บอกว่า จงหายไป สั่งมันได้ไหมล่ะ ถ้าเป็นของเราจริง เวลาความทรงจำแย่ๆ โผล่ขึ้นมา ก็บอกว่า จงหายไปได้สิ ทำได้ไหมล่ะ ทำไม่ได้หรอก นั่นแหละมันไม่ใช่ของเราอย่างแท้จริง
ที่จริงความทรงจำหรือสัญญา มันก็อยู่ของมันอย่างนั้น ไม่มีใครไปทำอะไรมันไม่ได้ มีแต่จิตเรานี่แหละไม่รู้เท่าทัน ชอบวิ่งไปฉวยคว้ามาปรุงแต่งเป็นเรื่องนั้น เรื่องนี้ นี่เรียกว่า โง่สุดๆ จริงๆ อย่างวันนี้สืบคดีฆ่าเรื่องหนึ่ง เรื่องไม่มีอะไรเลย ผู้ตายกับจำเลยมาพบกันรู้จักกัน พูดจากันอยู่ดีๆ อยู่ๆ สัญญา ความทรงจำมันโผล่มาในหัวผู้ตาย นึกขึ้นได้ว่า จำเลยเคยข่มขืนน้องเมีย (จริงๆ คดีก็จบไปแล้ว จำเลยก็ต้องโทษในเรื่องนั้นไปแล้ว) เกิดอารมณ์เสียขึ้นมา ไปหาเรื่องจำเลย จำเลยเลยใช้มีดแทงเข้าที่หัวใจสองที ตายอยู่ตรงนั้นเอง
นี่ถ้าคนตายปฏิบัติธรรม พอภาพเรื่องน้องเมียถูกจำเลยข่มขืนปรากฏขึ้นมา จะมีสติรู้เท่าทันว่า เออ ! มันก็โผล่มาให้เห็นแค่นั้นแหละ เดี๋ยวมันก็เสื่อมไป จากไป มันสักแค่สัญญาในขันธ์ห้าเท่านั้นเอง มันก็อยู่ของมันอย่างนั้น มาๆ ไปๆ มันเป็นเช่นนั้นอย่างนั้นเอง (ตถตา) หาแก่นสารตัวตนอะไรไม่ได้หรอก จะไปเอาเรื่องเอาราวกับมัน (สัญญาที่ปรากฏ) อะไรไม่ได้เลย อารมณ์ขุ่นเคืองเพราะภาพสัญญา (ธรรมารมณ์) มากระทบใจ (อายตนะภายนอกภายในกระทบกัน เป็นผัสสะ ย่อมมีเวทนาคือความรู้สึกยินดีบ้าง ยินร้ายบ้าง) ก็เหมือนกัน มันก็เกิดของมันอย่างนั้น ไม่นานก็เสื่อมดับไปของมันอย่างนั้น ธรรมดา ธรรมชาติของมันเป็นอย่างนั้น แก้ไขสั่งการอะไรไม่ได้เลย ถ้าเห็นอย่างนี้ จิตเราจะไม่เข้าไปข้องแวะยุ่งเกี่ยวกับภาพสัญญาเก่าๆ ที่ผุดโผล่ขึ้นมาเลย แต่เพราะเห็นผิด ไปเห็นว่า มันเป็นตัวเป็นตน เป็นเราของเรา นั่นแหละมันจึงเกิดเรื่องขึ้นมา จริงๆ เรื่องทั้งหลายในโลกนี้มันเกิดจากความเห็นผิดทั้งนั้นแหละ
พระพุทธเจ้าจึงสอนมรรคมีองค์แปดด้วยสัมมาทิฏฐิก่อนเป็นอันดับแรก ถ้าเห็นถูก เห็นชอบในขันธ์ห้าแล้ว ที่เหลือมันก็ตามมาเองโดยอัตโนมัติ ทุกวันนี้จะหาพระมาสอนเรื่องสัมมาทิฏฐินี่หายากเหลือเกิน ขนาดพระสารีบุตรยังถูกพระพุทธเจ้าตำหนิในคราวที่ไปสอนพราหมณ์ก่อนตายว่า สารีบุตร ทำไมเธอจึงไม่สอนพราหมณ์นั้นเรื่องสัมมาทิฏฐิ เรื่องมรรคมีองค์แปด กลับไปสอนเรื่องเมตตา กรุณา พรหมวิหารสี่ ตายไปก็ได้แค่พรหม ถ้าสอนเรื่องสัมมาทิฏฐิ เรื่องมรรคมีองค์แปด พราหมณ์คนนั้นจะบรรลุโสดาปัตติผล ความเห็นถูก เห็นชอบจึงมาก่อนอย่างอื่น
หลวงปู่ชาก็บอกว่า การปฏิบัตินี้ไม่มีอะไรมากหรอก ทำความเห็นชอบให้เกิดแค่นั้นแหละ ความเห็นชอบในกาย ในเวทนา ในสัญญานี่แหละ ส่วนสังขาร (ในขันธ์ห้า) คือ ความคิดปรุงแต่ง อันนี้ก็ไม่เที่ยง ไม่อยู่ในอำนาจของเรา คิดเรื่องใด ไม่นานเรื่องนั้นก็ดับไป เดี๋ยวก็มีเรื่องใหม่มาให้คิดอีก มันก็เลยคิดๆ ๆ ๆ ๆ ปรุงแต่งๆ ๆ ๆ ๆ เพราะไม่รู้เท่าทันมัน คิดว่ามันเป็นเรา ของเรา เราจึงเฝ้าแต่คิด ต่อเมื่อหยุดคิดได้สักครั้งหนึ่ง (แยกจิตออกจากคิดได้) จึงจะเห็นว่า แท้จริง คิดนี่ไม่ใช่เรา ของเราอะไรเลย มันก็เป็นของมันอย่างนั้นเหมือนเวทนา สัญญานั่นแหละ ยิ่งคิดก็ยิ่งยึด ยิ่งยึดก็ยิ่งทุกข์
จิตของพระปัญจวัคคีย์ ท่านเคยเห็นมาครั้งหนึ่งแล้วตอนบรรลุโสดาปัตติผลว่า คิดไม่ใช่เรา เพราะท่านแยกจิตออกจากคิดได้แล้วในเวลานั้น พอพระพุทธองค์มาชี้เพิ่มให้เห็นอีกว่า นอกจากมันไม่ใช่เราแล้ว มันก็ไม่ใช่ของเราด้วยนะ เพราะมันไม่อยู่ในอำนาจของเรา มีเกิดแล้วดับเป็นธรรมดา หาแก่นสารตัวตนไม่ได้เลย ควรหรือที่จะหมายมั่นถือมั่นว่า คิดๆ ๆ ๆ ๆ นี้เป็นของเรา จิตของพระปัญจวัคคีย์ก็ละออกมาอีกเปลาะหนึ่ง ส่วนวิญญาณเล่า ความรู้สึกทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เกิดครั้งหนึ่งก็ดับไปครั้งนั้น ไม่ได้อยู่กับเรานานอะไรเลย ควรหรือจะหลงว่าเป็นของเราอยู่อีก ตรงนี้เองที่เมื่อพระปัญจวัคคีย์ละความยึดมั่นในวิญญาณได้ จิตท่านจึงหลุดพ้น บรรลุอรหัตผลเต็มภูมิ
หลวงปู่ดูลย์จึงบอกว่า วิญญาณนี้เป็นชั้นในสุดที่ต้องละ วิญญาณกับผู้รู้ มันอันเดียวกัน ทุกวันนี้เราสอนข้ามขั้นไปมากทีเดียว อยู่ๆ จะให้ปุถุชนมาละวิญญาณคือ ผู้รู้ทันที หากไม่อบรมบ่มวาสนาบารมีมาพอแบบพระพาหิยะ ก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไมได้เลยที่จะบรรลุอรหัตผล ขนาดหลวงตามหาบัวมารู้จักผู้รู้หรือวิญญาณนี้ต่อเมื่อบรรลุอนาคามีแล้ว ทุกวันนี้เรารู้จักผู้รู้ เป็นเพียงชั้นคิดทั้งนั้น ยังไม่รู้จักหรือรู้เห็นอย่างจริงๆ หรอก
พระบรมศาสดาเมื่อได้แสดงอนัตตลักขณสูตร ท่านก็แสดงตามลำดับๆ ไป เริ่มจากรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ (ท้ายสุด) จิตพระปัญจวัคคีย์ได้ฟัง ก็เห็นว่า ขันธ์ห้า เริ่มจากรูปไม่ใช่ของเราจริงๆ ต่อไปก็เวทนาก็ไม่ใช่ของเรา สัญญา สังขาร และวิญญาณ (ท้ายสุด) ก็ไม่ใช่ของเรานี่นา จิตเห็นจริงตามนี่ ก็ค่อยๆ คลายๆ ๆ ออกมา ยิ่งเห็นจริงก็ยิ่งเบื่อหน่าย ยิ่งเบื่อหน่าย (นิพพิทา) ก็ยิ่งคลายจาง (วิราคะ) จนหลุดพลัวะ (วิราคะ) หลุดกระแสความดึงดูดของโลก (ขันธโลก) วิมุติ จบกิจอยู่ตรงหน้าพระพักต์ของพระบรมศาสดานั่นเอง
ท่านก็ทราบชัดว่า ชาติ (การเวียนว่ายตายเกิด) สิ้นแล้ว พรหมจรรย์จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้ไม่มีอีกแล้ว เป็นพระอรหันตสาวกห้าองค์แรกในโลก ขอให้สังเกตว่า เมื่อบรรลุอรหัตผล ท่านทราบชัด (ด้วยญาณ) ว่า ชาติคือการเกิดสิ้นแล้ว นั่นหมายความว่า ความเป็นอรหัตผลที่จะถึงซึ่งพระนิพพานนั่น ย่อมเกิดจากความเบื่อหน่ายในการเกิดก่อน เกิดจากการเห็นภัยในวัฏสงสารก่อน ท่านจึงพากันออกบวชรอการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า พวกเราในที่นี้ก็เช่นกัน เพราะเราเห็นภัยในการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เห็นภัยในวัฏสงสารก่อน เราจึงมาพร้อมหน้าพร้อมตากันอยู่ตรงนี้ คนที่จะเห็นภัยในการเกิดแก่เจ็บตายได้ ไม่ได้มีกันทุกคน ถือเป็นคนพิเศษ ต้องสั่งสมอบรมจิตกันมาพอสมควร ลองทอดสายตาแลคนรอบๆ ข้างสิ มีใครเห็นภัยในวัฏฏะแบบเราบ้าง เห็นมีแต่ใช้ชีวิตอย่างประมาท สนุกสนานไปตามโลก ไม่รู้ว่ามัจจุราชจะมาทวงคืนชีวิตกันเมื่อใด เหมือนอย่างเพื่อนผมคนหนึ่งที่เพิ่งตายและเผาไปไม่กี่วันนี้ ทำเอาเพื่อนคนหนึ่งที่เคยสนุกสนานไม่รู้จักทุกข์ ได้สติคิดได้ว่า ความตายมันอยู่ใกล้ๆ แค่นี้เองนี่น่า ที่เคยบอกว่า รอห้าปีแล้วค่อยมาคุยเรื่องธรรมะกัน มันไม่ได้แล้วนะ เพื่อนคนนี้อยู่กับเพื่อนคนที่ตายจนนาทีสุดท้ายแห่งชีวิตทีเดียว การปฏิบัติธรรม หากเป็นการเริ่มด้วยการเห็นภัยในการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ผลการปฏิบัติย่อมสัมฤทธิ์ผลในเร็ววัน เพราะการเห็นภัยในวัฏฏะนั่นแหละจะเป็นตัวขับเคลื่อนให้จิตเราภาวนาอยู่ตลอดเวลา
หลวงปู่ชาบอกว่า คนที่ขาดสติคือคนที่ตายแล้ว คนที่เห็นภัยในการเกิด แก่ เจ็บ ตาย อย่างน้อยก็ต้องมีสติขึ้นมาบ้างแล้ว
ลองพิจารณาดูเถิด เกิดนี่ทุกข์ไหม ร้องด้วยความเจ็บปวดออกมา มีใครหัวเราะยิ้มร่าออกมาบ้าง ความแก่ล่ะ น่าสนุกไหม ความเจ็บล่ะ เวลาป่วยแทบตาย สนุกไหม ความตายล่ะ สนุกหรอกหรือ ถ้าสนุก ทำไมมีแต่คนไม่อยากตาย ยกเว้นคนอยากตายเพราะความหลง
ตายแล้วไปเกิดเป็นคน เทวดา พรหมก็ค่อยยังชั่ว แต่หากตายแล้วไปเกิดเป็นสัตว์นรก มีไฟเผาไหม้ท่วมตัวอยู่ตลอดเวลาสนุกไหม
เป็นเปรต อสุรกาย อดอยาก ปากเท่ารูเข็ม สนุกไหม เป็นหมู หมา กา ไก่ จิ้กจก ตุ๊กแก สัตว์ต่างๆ ต้องคอยระแวดระวังภัย สนุกไหม
เคยดูสารคดีชีวิตสัตว์บ้างไหม มีตอนไหนที่สนุกสนาน เห็นมีแต่คอยหนีตาย ซมซานอยู่ตลอดเวลา แม้เกิดเป็นเสือ ช้าง ก็ยังถูกมนุษย์เที่ยวไล่ฆ่า
ครั้งหนึ่งนั่งภาวนา เห็นตนเองชาติหนึ่งเกิดเป็นเสือ ถูกคนทำร้ายหนีไปนอนตายเงียบๆ เหงาๆ อยู่เพียงตัวเดียวริมป่า เห็นตรงนั้น มันสลดสังเวชใจเหลือจะกล่าว จิตมันบอกเลยว่า พอแล้ว พอเสียที การเกิด การแก่ เจ็บ ตาย นี่ ไม่เอาแล้ว หลวงปู่ชาจึงสอนว่า ถ้าไม่อยากตายก็อย่าเกิดสิ เกิดเป็นเหตุ ตายเป็นผล มันหนีกันไม่พ้น เพราะมันเป็นเหตุเป็นผลกันนี่ ชาวโลกส่วนใหญ่อยากจะเกิดแต่ไม่อยากตาย มันทำได้เสียที่ไหน ก็ขอให้เห็นภัยในการเกิดแก่เจ็บตายกันเถิด ใครที่มีฐานะร่ำรวย อยากได้อะไรก็ใช้เงินซื้อ คิดว่าทุกข์ไม่มี ก็ขอให้คิดใหม่ หลวงปู่ชาบอกว่า รวยกับซวยมันอันเดียวกัน ลองไปพิจารณาดูเถิดจริงไหม เพราะรวยแล้วมักจะยึดสุขล่ะ พอยึดก็ละยากล่ะ ถ้ารวยแล้วไม่ยึด อันนี้ประเสริฐสุดนะ ก็ขอให้พากันเร่งภาวนาปฏิบัติ อย่าประมาทในการใช้ชีวิต
แสดงธรรมมาก็พอสมควร ขอความเจริญในธรรมโปรดมีแด่ทุกๆ ท่านเทอญ