ประวัติหลวงปู่มั่น ตอน หลังหลวงปู่มั่นละสังขาร

แสดงธรรม กลุ่ม Natural Mind เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2558
ท่านทรงกลด : เมื่อหลวงปู่มั่นละสังขาร เข้าสู่แดนพระนิพพาน ดับขันธ์จากที่รกรุงรังหนักวุ่นอันนี้ไปแล้วเหลือไว้แต่จิตที่บริสุทธิ์ หลวงตามหาบัวเล่าว่า มีลูกศิษย์ท่านคนหนึ่งน่าจะบวชตอนปลายสมัยหลวงปู่มั่น ปฏิบัติยังไม่ได้อะไรก็สึกออกมาอยู่อาศัยในหมู่บ้านหนึ่ง แล้วไปมีเรื่องกับคนอีกหมู่บ้านหนึ่ง กลับมาเตรียมปืนผาหน้าไม้จะไปฆ่าเขา ระหว่างทางที่จะไปฆ่า เป็นเวลากลางคืน เดินๆ อยู่ ก็ปรากฏหลวงปู่มั่นโผล่ขึ้นมาจากพื้นดินตรงหน้า บอกว่า นี่ จะไปลงนรกขุมไหนหือ ! จะไปลงนรกขุมไหนหือ ! แล้วก็หายไป ชายคนนั้นกลัวตัวสั่น เลิกล้มความคิดจะไปฆ่าแกงคน กลับมาก็บวช ต่อมาก็ปฏิบัติเอาจริงเอาจัง บรรลุอรหัตผลไป
ผมกล้ายืนยันว่า ครูบาอาจารย์แม้ท่านจะนิพพานไปแล้วแต่จิตที่บริสุทธิ์ของท่านยังคอยช่วยเหลือแนะนำศิษย์อยู่ ขอให้ปฏิบัติเอาจริงเท่านั้น ส่วนใหญ่ไม่จริง เหลาะแหละ ทำไปวันๆ หรือไม่ก็เดินมรรคผิด จึงไม่เห็นผล คนที่บอกนิพพานสูญๆ นั้นเขาไม่รู้เรื่องนิพพานจริง อย่างพระอริยะชั้นโสดาบันนี้จิตเขาไปเหยียบพระนิพพานมาแล้ว เขาถึงหายสงสัย
ครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้า ถามพระสารีบุตรว่า สารีบุตร เธอบรรลุแค่โสดาบัน ทำไมเห็นตลอดไปจนถึงพระนิพพาน คือท่านสามารถอธิบายนิพพานได้ พระสารีบุตรก็ตอบว่า ข้าพระพุทธเจ้าเห็นตามครรลองแห่งธรรมพระเจ้าข้า ครรลองแห่งธรรมก็คือ ครรลองแห่งจิต
พระพาหิยะผู้เป็นเลิศทางรู้ธรรมเร็ว เพียงแค่พระพุทธเจ้าเทศน์ว่า เมื่อตาเห็นรูปก็สักแต่ว่าเห็น ทำไมเพียงพระพุทธเจ้าสอนว่า เมื่อตาเห็นรูปแล้วสักแต่ว่าเห็นแค่นี้ท่านก็บรรลุธรรม เมื่อตา (อายตนะภายใน) กระทบกับ รูป (อายตนะภายนอก) เกิดผัสสะ เมื่อมีผัสสะย่อมมีเวทนาคือ ความรู้สึกยินดีบ้าง ไม่ยินดีคือยินร้ายบ้าง เฉยๆ บ้าง เมื่อเห็นอารมณ์ยินดี ยินร้ายที่เกิดจากตาเห็นรูป หูได้ยินเสียงก็สักแต่เห็น อย่าส่งจิตออกนอกไปหมายมั่น พัวพัน ไปยึดฉวยคว้ามาปรุงแต่งเป็นนั่น เป็นนี่
คำว่า เห็นก็สักแต่ว่าเห็น (ไม่ใช่เห็นรูปแล้วสักแต่ว่าเห็นรูป) แท้จริงท่านหมายถึง เห็นอารมณ์ก็สักแต่ว่าเห็นอารมณ์ต่างหาก ซึ่งมีความหมายเช่นเดียวกับคำว่า ไม่ส่งจิตออกนอก ช่างหัวมัน อตัมยตา กูไม่เอากับมึงหรอก เดี๋ยวก็ต้องดับไปไม่วันนี้ก็พรุ่งนี้ ไม่แสดงกิริยาอาการไปตามมัน นี่ มันอันเดียวกันหมด รวมความแล้ว ก็คือความเห็นชอบคือ สัมมาทิฏฐิ คือมรรคมีองค์แปด นั่นเอง
พระพาหิยะ เมื่อไม่ส่งจิตออกนอกไปยุ่งเกี่ยวกับอารมณ์ อารมณ์เกิดก็ปล่อยให้ดับไปเป็นธรรมดาของมัน จิตของท่านก็เห็นจิต จิตผละจากอารมณ์มาอยู่กับสติ มาอยู่กับตัวเอง จิตพบตนเอง จิตเห็นจิต เมื่อเห็นอย่างแจ่มแจ้งคือ จิตอยู่กับจิต ตั้งมั่นอยู่ ไม่หวั่นไหวไปตามอารมณ์ จิตก็หลุดพ้นจากการเกาะเกี่ยว (อุปาทาน) บรรลุธรรมได้ ถ้าเห็นธรรมมันอธิบายได้ทั่วถึงหมด เห็นอย่างหนึ่งก็จะเห็นตลอดไปตามครรลองแห่งจิต แห่งธรรม
หลวงปู่วิริยังค์ ท่านไม่สอนอะไรมาก เห็นก็สักแต่ว่าเห็น แค่นี่แหละ หลวงปู่ชา ก็บอก เห็นแล้ว ก็บอกมัน (ชกมัน) ว่า ไม่แน่ ไม่เที่ยง คนที่รู้ใจตัว เห็นใจตัวก็คือ เห็นธรรม เห็นอารมณ์ยินดี ก็บอกไม่แน่ ไม่เที่ยง เห็นอารมณ์ยินร้าย ก็บอกไม่แน่ ไม่เที่ยง จิตก็ออกจากอารมณ์ทั้งสอง มาตั้งมั่นอยู่เฉพาะตน มันก็คือ จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง สติ ปัญญา มันต้องไปด้วยกัน ปัญญาก็คือ ความเห็นอารมณ์ทั้งปวง (รูปกายด้วย) ว่า ไม่เที่ยง ไม่แน่ หาแก่นสารตัวตนไม่ได้ (อนัตตา) จะถือเป็นเรา ของเราไม่ได้ เมื่อเห็นเช่นนี้ จิตก็จะวางเองโดยอัตโนมัติ
อาการอย่างไรเรียกว่าจิตวาง จิตจะมีความรู้สึกตัวทั่วพร้อมขึ้นมาโดยอัตโนมัติ จิตมาอยู่กับจิต มาอยู่กับตัวเอง ธรรมทั้งปวงไหลมาแต่เหตุก็คือ ธรรมทั้งปวงไหลมาจากการปรุงแต่งของจิต เพราะไม่รู้ (อวิชชา) จึงปรุงแต่ง (สังขาร) เป็นรูปนาม ขันธ์ห้า
ผู้ปฏิบัติ : ตามที่ท่านทรงกลดให้มาเล่าประวัติหลวงปู่มั่น ภายหลังท่านละสังขาร เรื่องเป็นอย่างนี้ครับ สมัยหนุ่มๆ ผมได้เจอพระแก่ๆ อายุ ๗๐ ปี ที่วัดย่านหนองแขม รุ่นพี่ที่อ่านหนังสือด้วยกันแนะนำให้ไปพบ บอกว่าท่านได้ธรรมแล้ว ผมก็ได้ไปพบท่าน ถามท่านเรื่องศีล ๕ ท่านบอกว่า แต่ก่อนอาตมาก็ไม่เข้าใจเพิ่งมาเข้าใจไม่นานนี้ เริ่มจากท่านทำงานขายของตามต่างจังหวัด ท่านก็เป็นคนชอบกิน เที่ยว ดื่มจัด สูบบุหรี่ เที่ยวผู้หญิง เอาหมด ดื่มจนเป็นแอลกอฮอลิซึ่ม ประมาณว่า สั่งจ่ายเช็คไม่ได้ เด้งหมด ต้องดื่มเหล้าก่อนไม่งั้นมือสั่น วันหนึ่งท่านคิดได้ว่า ตกลงเราสั่งจ่ายหรือเหล้ามันสั่งจ่ายเช็คกันแน่แล้วท่านก็เลิกเหล้า หลับไปสามตื่น พอเลิกเหล้าเวลาเหลือก็ได้อ่านหนังสือ วันหนึ่งขณะท่านนั่งอยู่ที่โซฟา เปิดทีวีดูก็อ่านหนังสือธรรมะของหลวงปู่มั่น แล้วก็นึกขึ้นมาว่า เรานี้เหลวไหลจริงๆ ตอนท่านอยู่ก็ไม่ได้มีโอกาสไปกราบขอฟังธรรมจากท่านเอาแต่เมา ตอนนี้อยากรู้ธรรมก็ไม่รู้ทำอย่างไร หลวงปู่มั่นก็มรณภาพไปแล้ว เวรกรรม ทันใดนั้นเอง ท่านเหลือบไปมองบันไดทางขวามือ ก็เห็นหลวงปู่มั่นเดินลงมาจากชั้นบน แล้วหันหน้ามาบอกท่านว่า “สติคุมใจ” (ให้ใจอยู่กับสติ อยู่กับรู้นั่นเอง)
ปกติน่าจะต้องมีสายใยผูกพันกัน เช่น เคยเป็นอาจารย์ลูกศิษย์กันจึงมีเหตุที่จะมาบอกมาเตือน เหมือนอย่างเราในกลุ่มนี้ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่มาเจอกัน สนทนาธรรมกัน เคยทำกันมาก่อน มีเหตุปัจจัยพร้อมก็กลับมาเจอกันอีก
หลังจากนั้นท่านก็ตามหาใจตัวเองด้วยสติ ท่านก็ทำของท่านไปตามที่อ่านมาคือ เคลื่อนไหวให้รู้ ท่านบอกว่า ใช้เวลาหาใจอยู่ ๗ ปี จึงได้เจอใจ ก่อนที่จะเกิดความสว่างขึ้นในใจ มีเพื่อนนักเรียนเซนเกเบรียลซึ่งบวชเป็นพระมาหาท่านที่บ้าน เอาดอกบัวมาให้เพื่อน ท่านบอกว่า ให้โชติ ( ชื่อท่าน) เอาไปบูชาพระ ท่านก็ถามว่า แล้วอีกดอกหละ พระท่านว่าจะเอาไปให้หมอที่โรงพยาบาลสวนดอก หลังจากรับดอกไม้ ๗ วันท่านก็เห็นธรรม
วันที่เห็นธรรมนั้น ท่านนั่งสบายๆ อยู่บนโซฟาตัวเดิม นั่งเพลินๆ ดูทีวีอยู่ ฉับพลันนั้นความรู้ก็บังเกิด ท่านว่า มันสว่างวาบ หลังจากนั้นท่านก็รู้เรื่องศีล ท่านเกิดความสงสัยว่า ตอนนี้ท่านเป็นพระโสดาบันหรือเปล่า ส่วนใครจะกลับบ้านก่อนหลัง ก็แล้วแต่วาสนาบารมีและความเพียรเป็นที่ตั้งล่ะ
หลวงตาของผม ตอนนั้นท่านยังเป็นคนเหมือนเราๆ นี่แหละ พอสงสัยก็ขี่รถออกจากบ้านไปหาพระที่เขาว่าเก่ง ไปมา ๓ วัด ไม่เจอพระที่ไหน จนจะกลับนึกได้ว่า มีแม่ชีลอยน้ำ พอนึกได้ก็บึ่งรถไป ไปถึงก็ทันเห็นแม่ชีสาวลอยตุ๊บป่องๆ อยู่ในบ่อน้ำมีคนมุงดูและมาทำบุญกัน พอแม่ชีขึ้นจากน้ำท่านก็เดินไปหา ถามว่า เมื่อวานผมรู้เห็นอย่างหนึ่ง ผมเป็นอะไร แม่ชีสาวก็พาไปหาแม่ชีผู้เฒ่า ท่านก็เล่าอีก แล้วถามว่า ที่ลอยๆ กันนี่มัน อากาศกสิณหรือเปล่า แม่ชีผู้เฒ่าดุเอา บอกว่าคุณมีของวิเศษอยู่กับตัวแล้วอย่ามาสนใจของเล่นเด็กๆ แบบนี้เลย ท่านก็เลยขับรถกลับบ้านด้วยความผิดหวัง แล้วท่านก็มานั่งที่โซฟา เปิดทีวีฟัง หัวก็คิดไปว่า ที่เรารู้เห็นนี้มันอะไร มันใช่ไหมหนอ ทันใดนั้นเอง ก็เห็นหลวงปู่มั่นก็เดินลงมาจากบันไดแล้วบอกว่า ไม่ต้องไปถามใคร ที่สงสัยหนะถูกแล้ว จากนั้นก็หายแว้บไป ท่านบอกว่า ตอนนั้นหลวงปู่มั่นมรณภาพแล้ว หลังจากหลวงปู่มั่นหายไปแล้ว ท่านก็ปฏิบัติต่อ
ที่มาเล่าเพราะอยากให้ทุกท่านเชื่อว่าท่านทำได้ พระโสดาบันเดินปะปนอยู่กับพวกเรานี่แหละ ไม่ยากเกินคน พระพุทธเจ้าไม่สอนอะไรยากๆ หรอก เชื่อผม หากท่านมีกำลังใจปฏิบัติได้เห็นธรรมเหมือนหลวงพ่อโชติ