ถาม-ตอบ

ประวัติหลวงปู่มั่น ตอนอาพาธและละสังขาร

แสดงธรรม กลุ่ม Natural Mind เมื่อวันที่  3 กันยายน 2558

 

ท่านทรงกลด : เรื่องประวัติหลวงปู่มั่น ตอนหลวงปู่มั่นอาพาธและละสังขาร

เมื่อปี ๒๔๙๒ หลวงปู่มั่นเริ่มอาพาธ ท่านทราบด้วยญาณวิถีว่า นี่จะเป็นการอาพาธครั้งสุดท้ายจะไม่มีวิธีใดๆ รักษาหายได้  ในครั้งก่อนๆ เมื่อป่วย ยาปัจจุบันเอาไม่อยู่ ท่านก็ใช้ธรรมโอสถหรือสมาธิรักษา แต่เมื่อเวลามาถึงอะไรก็เอาไม่อยู่ อาการท่านก็ทรุดไปวันละน้อยๆ แต่การสอบพระเณรท่านมิได้นิ่งนอนใจ ใครมีข้อสงสัยมาซักถามท่านก็อธิบายอย่างละเอียดแล้วไล่ให้ไปเร่งความเพียร เพราะใครเลยจะล่วงรู้ความตายที่อาจจะมาถึงในวันพรุ่ง 

วันเพ็ญเดือนสาม ปี ๒๔๙๒ ท่านได้เทศน์อบรมพระเป็นครั้งสุดท้าย เรื่อง ศีล สมาธิ ปัญญาและวิมุติ แล้วท่านก็บอกพระลูกศิษย์ว่า ให้พาท่านไปละสังขารที่จังหวัดสกลนคร ที่วัดสุทธาวาส เพราะที่นี่ (วัดหนองผือ) เป็นหมู่บ้านเล็กๆ หากท่านละสังขารที่นี่ สัตว์จำนวนมากจะมาล้มตายเพื่อเป็นอาหารให้แก่ญาติโยมที่จะหลั่งไหลมาจากทั่วสารทิศ  ท่านบอกว่า “สำหรับผมตายเพียงคนเดียว แต่สัตว์ที่จะพลอยตายเพราะผมเป็นเหตุนั้นมีจำนวนมากมายเพราะคนจะมามาก ที่นี่ไม่มีตลาดแลกเปลี่ยนซื้อขายกัน”  ที่สกลนครเป็นจังหวัดใหญ่ มีตลาด ขนาดท่านจะละสังขารยังมีจิตเมตตาต่อสัตว์ทั้งปวงเลยเหมือนพระพุทธเจ้าที่จะปรินิพพาน  พระองค์ลำบากพระวรกายเสด็จไปกรุงกุสินารา ที่เป็นเมืองเล็กๆ ด้วยความเหนื่อยยากเพราะเล็งเห็นว่า หากปรินิพพานในเมืองใหญ่ กษัตริย์มีอำนาจมากจะไม่ยอมแบ่งอัฎฐิธาตุให้ใคร สงครามแย่งชิงพระธาตุจะเกิดขึ้น คนก็จะล้มตายเป็นอันมากเพราะการปรินิพพานของพระองค์

พระลูกศิษย์ทนการรบเร้าของหลวงปู่มั่นไม่ไหวจึงจำใจพาท่านขึ้นแคร่ หามท่านไปยังจังหวัดสกลนคร  ระหว่างทางก็มีผู้คนมากมายเข้ามากราบเพราะได้ยินกิตติศัพท์ท่านมานานว่า ท่านเป็นพระอรหันต์อย่างมิต้องสงสัยและกำลังจะนิพพานอยู่แล้วในเร็วๆ นี้ ใครมีวาสนาก็ได้เห็นท่าน ใครไม่มีวาสนาก็เกิดมาตายเปล่า  เมื่อถึงสกลนครก็อาราธนาท่านลงจากรถและขึ้นพักบนกุฏิวัดสุทธาวาสโดยที่ท่านยังหลับอยู่ และหลับไปจนถึงเที่ยงคืน ตื่นมาราวตีหนึ่งท่านก็ตำหนิลูกศิษย์ว่า นี่อาการเราหนักถึงเพียงนี้เราบอกแล้วว่าให้รีบพาเรามา เห็นหรือยัง  อาการมันแสดงออกมาแล้ว ให้ท่านดูขันธ์นี้ให้เต็มตา ขณะนั้นท่านก็แสดงอาการลาขันธ์ ภาระหเว ปัญจขันธา (ขันธ์ห้าเป็นของหนักเน้อ)

ขณะนั้นเป็นเวลาดึก ปราศจากเสียงและผู้คนพลุกพล่าน ต่อมาก็มีท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์มาเยี่ยมมีพระผู้ใหญ่และพระรองลงมานั่งดูอาการของท่าน ส่วนหลวงปู่ตอนแรกก็นอนสีหไสยาสน์คือ ตะแคงข้างขวา แต่เห็นว่าจะเหนื่อย เลยค่อยๆ ดึงหมอนที่หนุนอยู่ข้างหลังท่านออกนิดหนึ่ง เลยกลายเป็นท่านอนหงายไป พอท่านรู้สึกตัวก็พยายามกลับสู่ท่าเดิมแต่ไม่สามารถเพราะหมดกำลัง การนอนของท่านในวาระสุดท้ายจึงเป็นท่าหงายก็ไม่ใช่ ท่าตะแคงข้างขวาก็ไม่เชิง เป็นเพียงท่าเอียงๆ อยู่เท่านั้น  ขณะนั้นลมหายใจของท่านก็อ่อนลงๆ ทุกที และหายเงียบไปอย่างละเอียดสุขุม ไม่มีใครล่วงรู้ได้ว่าท่านได้สิ้นไปแล้วแต่วินาทีใด 

ความเห็น… นี่เป็นบันทึกในมุมของหลวงตามหาบัว ส่วนอาจจะมีพระรูปอื่นได้บันทึกไว้ในแง่มุมอื่น ก็อาจมีได้ 

พอเห็นท่าไม่ได้การ ท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์พูดขึ้นว่า “ไม่ใช่ท่านสิ้นไปแล้วหรือ” พร้อมกับยกนาฬิกาขึ้นดู ขณะนั้นเป็นเวลา ๐๒ .๒๓ นาฬิกา จึงเป็นเวลามรณภาพของท่าน  หลวงตามหาบัวบอกว่า มองดูพระเณรที่นั่งรุมล้อมอยู่เป็นจำนวนมากเห็นแต่ความโศกเศร้า เหงาหงอย และน้ำตาบนใบหน้าที่ไหลซึมออกมาบรรยากาศเต็มไปด้วยความเงียบเหงา เศร้าใจอย่างบอกไม่ถูก ต่างคนต่างเงียบราวกับโลกธาตุได้ดับลงชั่วขณะ  พระหลายรูป (รวมทั้งหลวงตา) น้ำตาร่วงพรู แต่หลวงตาก็มีสติ ตั้งใจจะปฏิบัติตามคำสอนที่หลวงปู่สอนไว้ อย่าทำความอาลัยเสียดายท่านแบบโลกขวางธรรมอยู่เลย  รุ่งเช้าข่าวการมรณภาพของท่านก็แพร่กระจายออกไป คนก็หลั่งไหลมาทั่วทุกสารทิศ มากราบศพนับแต่วันละสังขารจนถึงวันถวายฌาปนกิจศพท่าน  ส่วนเมรุเป็นที่บรรจุศพท่านได้จัดขึ้นในบริเวณที่พระอุโบสถอยู่เวลานี้ 

วันที่หลวงปู่มั่นมรณภาพคือ วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๒ วันที่ถวายเพลิงมีเหตุอัศจรรย์ กล่าวคือ พอได้เวลากำหนด คือ ๖ ทุ่ม เที่ยงคืนก็พร้อมกันเริ่มถวายเพลิงจริง แต่ผู้คนในเวลานั้นเบียดเสียดกันจนหาทางเดินไม่ได้ ต่างคนก็ต่างอยากดูวาระสุดท้ายเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตน พอถึงเวลาถวายเพลิง ขณะนั้น ปรากฏมีเมฆก้อนหนึ่งขนาดย่อมๆ ไหลผ่านเข้ามาและโปรยละอองฝนมาเพียงเบาๆ พร้อมกับขณะที่ไฟเริ่มแสดงเปลว ฝนโปรยอยู่ประมาณ ๑๕ นาที เมฆก็ค่อยๆ จางหายไปในท่ามกลางแสงสว่างของแสงจันทร์ข้างขึ้น เป็นที่ประหลาดและอัศจรรย์อย่างสุดจะคาดเดาได้ถูก การถวายเพลิงท่านใช้ไม้จันทน์หอม ที่สั่งมาจากประเทศลาวเป็นพิเศษ

พอเช้าวันรุ่งขึ้นก็มีการเก็บอัฐิท่านแจกไปตามจังหวัดต่างๆ เพื่อนำไปเป็นสมบัติกลางตามวัด แต่ก็มีบุคคลธรรมดาได้ไปด้วย ๔ ปีผ่านไป คุณวัน คมนามูล เจ้าของร้านศิริผลพานิช และโรงแรมสุทธิผล โคราช ซึ่งได้รับแจกอัฐิไปด้วย นำไปเก็บในผอบ ต่อมาได้เปิดดู ปรากฏว่า อัฐิหลวงปู่มั่นกลายเป็นพระธาตุ เสียงก็เล่าลือไป คนที่ได้รับแจกในคราวนั้นต่างก็กลับไปดูของตนก็เป็นพระธาตุเช่นกัน

เรื่องพระธาตุนี่ก็เป็นเรื่องลึกลับ หลวงตามหาบัวบอกว่า จิตของพระอรหันต์ฟอกขันธ์ของตน อย่างพระปฏิบัติรูปหนึ่งที่ขอนแก่น ที่ผมเคยเล่าให้ฟัง ไปสนทนาธรรมด้วย แม้ท่านยังไม่ละสังขาร ผม เล็บ ก็เป็นพระธาตุแล้ว อย่างไรก็ตามเรื่องพระธาตุนี้ก็เป็นเรื่องเกินวิสัยคนธรรมดาจะหยั่งถึงว่า ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น ผมเองก็จนปัญญาจะอธิบาย