ถาม-ตอบ

นิพพานแปลว่า…

แสดงธรรม กลุ่ม Natural Mind เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2559

 

ท่านทรงกลด : เมื่อหลายเดือนก่อน  นั่งภาวนาจิตสงบ แล้วดำริว่า ธรรมที่แสดงในกลุ่มนี้จะเสียผลไหมหนอ ก็ปรากฏความรู้ตอบโพล่งออกมาจากจิตทันทีว่า ไม่เสียผลๆ จะเห็นผลต้นปีหน้า 

หลายท่านที่อ่านคงจำได้ ต้นปีนี้ ผลที่เห็นอย่างชัดเจนที่สุดที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ก็คือ พวกเราได้ช่วยกันทำหนังสือออกมาเล่มหนึ่งคือ หนังสือกว่าจะถึงกระแสธรรม ธรรมที่แสดงไม่เสียผล นั่นคือ มีผู้ใจบุญคือ พวกเราทั้งหลายช่วยกันคนละไม้ละมือจัดทำหนังสือรวบรวมธรรมที่แสดงออกมาเป็นหนังสือ ซึ่งเชื่อว่า จะทำให้คนหันมาสนใจการปฏิบัติธรรมอีกเป็นจำนวนมาก 

ปาฏิหาริย์อีกอย่างหนึ่งก็คือ ได้หลวงปู่บุญส่ง พระปฏิบัติ อริยสงฆ์ ท่านเมตตามาช่วยอ่าน ช่วยเขียนคำนำให้ ซึ่งถือเป็นมหามงคลอย่างยิ่ง ตอนนั้นก็ถกกันอยู่ว่า จะทำจำหน่ายหาเงินมาช่วยหลวงปู่หรือทำแจกทั้งหมด อยู่ๆ หลวงปู่ก็เดินทางเข้ากรุงเทพฯ มา และมีลูกศิษย์หลวงปู่ช่วยวิ่งเอาต้นฉบับไปให้ท่านพิจารณา ท่านพิจารณาแล้วบอกชัดแจ้งว่า ให้ทำแจกทั้งหมด ปัญหาจึงจบลงไปได้อย่างอัศจรรย์

ตอนนั้นผมก็คิดไม่ออกเหมือนกันว่า จะทำอย่างไร หลวงปู่มาช่วยราวกับรู้ ธรรมที่แสดงให้พวกเราฟัง บางทีก็ออกมาอย่างอัศจรรย์ เหมือนมีพระพุทธเจ้ามายืนกำกับอยู่ข้างหลัง ครั้งหนึ่งรับปากเพื่อนสมาชิกไว้ว่าจะแสดงธรรมในตอนค่ำ แต่ยังไม่รู้หัวข้อ วันนั้นจิตทรงตัวเป็นสมาธิ แล้วเกิดความรู้ผุดขึ้นว่า แสดงเรื่องอุปาทาน ๆ

ธรรมเรื่อง อุปาทานในขันธ์ห้า ก็หลั่งไหลออกมาเหมือนสายน้ำ  และได้บรรจุไว้ในหนังสือที่จัดพิมพ์ด้วย ในส่วนธรรมที่แสดง ยอมรับว่า ยิ่งแสดงธรรม ยิ่งรู้จักพวกเรา อะไรหลายอย่างๆ ก็ชัดขึ้นๆ ประจักษ์ใจ เหมือนสหธรรมในกาลก่อนกลับมาพบกันอีกครั้งหนึ่ง เป็นการแสดงธรรมที่ต่างก็ไม่เคยเห็นหน้าเห็นตากัน อยู่คนละที่ คนละทาง แต่มีเป้าหมายเดียวกันคือ การพ้นทุกข์ 

ที่ไม่เสียผลที่เห็นชัดก็เกิดกับสภาวะจิตของผู้แสดงเอง จิตมันเยือกเย็น สงบแม้ลืมตา เดินก็สงบ นั่งก็สงบ นอนก็สงบ ยืนก็สงบ สงบเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ยังมีวุ่นอยู่ แต่วุ่นประเดี๋ยว แล้วมันก็สงบไปเอง ด้วยปัญญาที่จิตมันอบรมตัวมันเอง กระแสธรรม มันหล่อเลี้ยงจิต จิตจึงเยือกเย็น ไม่รุ่มร้อนเหมือนเมื่อก่อน

นิพพานแปลว่า ดับ เย็น กระแสนิพพานคือ กระแสแห่งความเย็น ผู้ใดถึงกระแสพระนิพพาน ย่อมเป็นอันพึงหมายได้ว่า จิตจะไหลเข้าสู่พระนิพพานเป็นแม่นมั่น ไม่เร็วก็ช้า ทั้งนี้เป็นผลอันเกิดจากการอบรมสติอย่างต่อเนื่อง ไม่ทอดทิ้ง  ลองนึกถึงคนตีเหล็กเป็นมีด เขายอมเผาเหล็กจนร้อนแดงลุกโชน จึงจะตีได้ คนที่ถึงกระแสพระนิพพานจะเห็นจิตตนเหมือนเหล็กเผาไฟอย่างว่า  ในกาลก่อน ร้อนรุ่มอยู่ตลอดเวลา ด้วยอำนาจราคะ โลภะ โทสะ ลองหยดน้ำสักสองสามหยดลงไปบนเหล็กเผาไฟนั้น ความร้อนก็ไม่ดับลงเสียที เพราะหยดน้ำที่หยดลงไม่เพียงพอต่อการดับความร้อนบนเหล็ก หยดน้ำนั้นก็คือสติ แต่หากหยดลงถี่ๆ จนเป็นสายน้ำ ก็จะสามารถดับไฟได้ในที่สุด  จิตเราก็เหมือนกัน วันหนึ่งๆ แดงฉานลุกโพลงเหมือนไฟด้วยอำนาจราคะ โทสะ โมหะ แผดเผาอยู่ตลอดเวลา แต่เราไม่รู้ตัว เพราะอยู่กับมันจนชิน ไฟที่ไม่เคยดับก็คือ ไฟสามกองนี่แหละ ธรรมที่พระพุทธเจ้าแสดงมาทั้งหมด จะมาจบที่อุปาทานนี่แหละ เมื่อละอุปาทานได้สิ้น ไม่ว่าจะเป็นอุปาทาน ความยึดมั่นในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เท่ากับเราดับไฟสามกองลงได้สนิท