ทุกข์มี แต่ไม่ทุกข์

แสดงธรรม กลุ่มต้นบุญ เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2558
ผู้ปฏิบัติ : ตอนนี้ใจท่านยังมีความทุกข์ไหมคะ มีโมโหไหมคะ
ท่านทรงกลด : มีสิ ทุกข์มันก็มีอยู่ตามปกติ แต่ใจเราหมายมั่นในมันน้อยลงๆ ๆ เพราะเห็นชัดแล้วว่า มันใช่เรา ของเราเสียที่ไหน มันก็อยู่ของมัน เราก็อยู่ของเรา เหมือนใบบัวกับหยดน้ำ
โมโหนั้น ใจเรายังไปมาอยู่บ้าง แต่น้อยลง มี แต่น้อย ยังไม่ขาดจากอารมณ์นั้น เมื่อมีอารมณ์ไม่ยินดีเกิดขึ้น อารมณ์นั้น มักจะค้างเติ่ง เพราะรู้เท่าทันด้วยกำลังมหาศาลของสติ เมื่อรู้เท่าทัน เห็นมัน มันก็เก้อๆ อยู่ แล้วดับไป แล้วจะเอาโมโหมาจากไหน รากของโทสะ และราคะ ก็มาจากอารมณ์ไม่ยินดี และอารมณ์ยินดี แต่ยังไม่ขาดสนิท เมื่อรู้เท่ามันก็ดับไป ก็เท่านั้นเอง ต่อเมื่อดับขันธ์ ก็ไม่มีอะไรมารบกวนจิตใจอีกต่อไป เหลือแต่จิตที่บริสุทธิ์อันเดียว ไม่มีภาวะใดมาครอบงำได้อีกต่อไป
ตรงนี้ต้องระวังเหมือนกันนะ บางทีเราเห็นพระปฏิบัติท่านโมโห อย่างที่เคยเล่าว่า หลวงปู่ชาเคยถีบลูกศิษย์พระฝรั่ง ถ้าใครไม่เข้าใจ จะคิดว่า เอ ! ทำไมหลวงปู่ชายังโมโห ถีบพระด้วยกันได้ หรืออย่างหลวงตา ดูภายนอก ท่านดุ เอะอะ อย่าไปดูภายนอกนะ มันเป็นเพียงกิริยาเท่านั้นเอง มันไม่ใช่กรรม นี่ไม่ได้เล่นสำนวนโวหารนะครับ ก็อารมณ์ยินดี ไม่ยินดี มันมาไม่ถึงจิต มันดับไปเด็ดขาดอยู่ตรงหน้าแล้ว กิเลสก็ไม่มี เมื่อไม่มีกิเลส กรรมก็ไม่มี วิบากก็ไม่มี เป็นเพียงกิริยาอาการเท่านั้นเอง
มีนักปฏิบัติเป็นจำนวนมาก ยิ่งปฏิบัติก็ยิ่งเพิ่มอัตตา อัตตาก็มากขึ้นๆ ๆ ๆ แต่ปากก็ท่องว่า ลดอัตตา ๆ ๆ ถ้าเห็นตนไม่ใช่ตนได้เมื่อใด อัตตาก็ลดลงไปเยอะแล้ว อัตตามาจากไหน มาจากความยึดมั่นในตนนั่นเอง ยึดมั่นในกาย ในสุข ในทุกข์ ในความคิด กายของฉัน ใครอย่ามายุ่งนะ สุขนี้ก็คือฉัน ของฉัน ใครอย่ามาทำลายนะ
ที่น่าเศร้าที่สุด ไปเห็นทุกข์เป็นฉัน ของฉัน มันเลยทุกข์อยู่ตลอด ที่ร้ายที่สุดคือ ไปยึดความคิดว่าเป็นฉัน ของฉัน ใครคิดต่างไปจากฉัน ฉันโกรธนะ ความคิดของเธอผิด ความคิดของฉันถูก ยิ่งเรียนมาก เรียนสูง อ่านมาก รู้มาก ก็ยิ่งยึดมั่นในสัญญา (ความจำได้จากการอ่านมาก ท่องมาก) เติมความคิด (สังขาร) เข้าไป โอ้ ! อัตตา ก้อนนี้มันใหญ่จริงๆ ต้องใช้สติ ปัญญา สติคืออยู่กับรู้ให้มากๆ ปัญญาก็คือให้เห็นว่า ก้อนกายที่ไปยึดก็ดี ก้อนสุข ก้อนทุกข์ ก้อนสัญญา ก้อนความคิดทั้งปวงก็ดี มันไม่เที่ยง ไม่แน่หรอก ความคิดที่เคยคิดว่าถูก ตอนนี้ก็ผิด ที่เคยคิดว่าผิดตอนนี้ก็ถูก
แต่ก่อนคิดชอบ ตอนนี้คิดไม่ชอบแล้ว ความคิดหนึ่งเกิดแล้ว แล้วดับไป ความคิดใหม่มาอีกแล้ว เหมือนรถที่วิ่งผ่านไปมา ถ้าเห็นความคิดผ่านมา ผ่านไปเหมือนรถได้ ไม่เข้าไปยึด ฉวย คว้า ก็ลดอัตตาไปได้เยอะแล้ว รักษาจิตไว้ อย่าตามไป อยู่กับรู้ กับสตินั่นแหละ ถ้าคนไม่เคยเจริญสติเลย จะยึดมั่นความคิดมาก บางคนสอนไม่ได้เลย เพราะยึดในความคิด อัตตาสูงมาก เพราะคิดอยู่อย่างเดียวว่า ความคิดของกูถูกแล้ว ที่กูอ่านมาถูกแล้ว
ให้ทำตัวเหมือนผ้าขี้ริ้วที่ต้องคอยหมั่นชำระล้างอยู่เสมอ คราบความจำ ความคิดนั่นแหละที่ต้องชำระออกไปจากผ้า ผ้าเดิมก่อนจะมาเป็นผ้าขี้ริ้วมันสะอาดนะ ทำไมจึงสกปรกไปได้ ผ้าขี้ริ้วก็มาจากผ้าสะอาดทั้งนั้น แต่ผ้าขี้ริ้วบางผืนก็ไม่รู้ตัวนะคิดว่า ตนเองสะอาดอยู่แล้ว ใครจะมาช่วยซักล้างให้ก็ไม่เอา เป็นผ้าขี้ริ้วที่มีอัตตาสูงมาก ใจเราก็เหมือนผ้าเดิมนั่นแหละ มันหมอง สกปรกไปเพราะไปคว้าฉวยอารมณ์ที่จรมา ยึดติดไว้แน่น ไปหลงเข้าใจว่า ที่สกปรกนั้นเป็นใจไปเสีย เลยไม่สะอาดเสียที ผงซักฟอกที่จะชำระคราบสกปรก ไม่มียี่ห้อไหนดีกว่าสติ
การถ่อมตนคือ การลดมานะ ลดอัตตา แต่มันยังลดไม่ได้จริง จนกว่าจะเห็นตามความเป็นจริงว่า ที่แท้ “ตน” นั้นไม่มี เมื่อเห็นว่า ที่แท้ “ตน” ที่ยึดนั้น ไม่มี อัตตาก็หายไปเอง หน้าที่เราก็คือ เจริญสติ ปัญญา เพื่อไปถึงความเห็นที่ว่ามานี้ พระอริยะชั้นอนาคามีขึ้นไป เวลาใครมาทำร้ายท่าน ท่านจึงไม่ตอบโต้เลย เพราะท่านเห็นแล้วว่า ที่ถูกทำร้าย มันไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ท่านไม่ยึดก้อนอัตตานั้นว่า เป็นตัว เป็นตน มันเป็นสักแต่ว่าธาตุเท่านั้นที่ถูกทำร้าย ส่วนอารมณ์ไม่พอใจ ก็ไม่ยึดเหมือนกัน เพราะก็เห็นแล้ว่า อารมณ์นั้นก็ไม่ใช่ของท่านเหมือนกัน