ทำความเข้าใจเรื่องสติ

แสดงธรรม กลุ่ม Natural Mind เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2559
ผู้ปฏิบัติ : สติในชีวิตประจำวันคือ รู้สึกตัวรวมๆ ทั้งตัว เหมือนมีเราอีกคนมองดูอีกคนใช่หรือไม่คะ
ท่านทรงกลด : วันนี้จะมาสอนให้พวกเรารู้จักสติกันอีกครั้งหนึ่ง สติแปลว่า ความระลึกได้แต่ไม่ใช่ระลึกได้แบบความจำ สัญญา ที่บางคนบอกว่า ก็ทำโน่น นี่ นั่น ก็มีความรู้ตัวอยู่ตลอดนะ อย่างนั้นไม่ใช่ความรู้สึกตัวอย่างแท้จริง แล้วถ้าเราหลงไป คนดูจะหาย พอดึงกลับมาเห็นใหม่ สิ่งที่หลงไปมันจะหายไป ถ้ารู้จะไม่หลง ถ้าหลงจะไม่รู้
บางคนทำกับข้าว ขับรถ ก็รู้อยู่ นี่คือ การทำกับข้าว การขับรถ อันนี้ไม่ใช่สติ เป็นความจำว่า นี่คือการขับรถนะ สติคือ จะต้องรู้สึกตัวเหมือนตื่นออกมาดูใครอีกคนหนึ่งกำลังขับรถ ผู้รู้ ผู้ตื่น นั่นไง
การบ้านที่ให้ทำต้องการจะสอนสิ่งนี้แหละ ถ้าเราหายใจเข้าลึกๆ เราจะรู้สึกตัวขึ้นมา ความรู้สึกตัวนี่แหละคือสติ คือทางสายกลาง คืออานาปานสติ ที่พระพุทธเจ้าใช้ตรัสรู้ในคืนวิสาขบูชา แต่สติที่ว่า ไม่จำเป็นต้องหายใจเข้าลึกๆ อย่างเดียว แล้วจะพบ แม้ยืน เดิน นั่ง นอน ก็ทำความรู้สึกตัวได้ตลอดเวลา
ในสติปัฏฐานสี่จึงมีเรื่องอิริยาบถจัดอยู่ในกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ไม่ว่าจะอยู่หมวดไหนในสติปัฏฐานสี่ มันก็รสเดียวกันหมดนั่นแหละคือ สติตัวเดียวกัน ทำไมจึงเป็นสติได้ เพราะทันทีที่เรามองดูตัวเราเหมือนอีกคนดู ขณะนั้น สติดึงจิตออกมาเป็นผู้ดู ถ้าไม่มีสติจะไม่สามารถทำอย่างนั้นได้ แต่เพราะสติอ่อน ไม่มีกำลัง สักพักจิตก็จะหลงไปเป็นผู้เป็นอีก เลยดูไม่ตั้งมั่นเสียที มันจะไปๆ มาๆ อยู่อย่างนี้สำหรับคนทั่วไป แม้พระโสดาบัน พระสกทาคามีก็ยังไปๆ มาๆ อยู่ แต่น้อยกว่าปุถุชนมาก ส่วนพระอนาคามีนี้จิตไม่ไป ไม่มา จิตตั้งมั่นอยู่กับรู้ตลอดเวลา จิตพระอนาคามีจึงเป็นสมาธิอยู่ตลอดเวลา
ถ้าเราเป็นผู้ดู เราจะเห็นอารมณ์มันเกิด ดับ เป็นการเห็นด้วยสตินั่นเอง อย่างที่ผมยกตัวอย่างบ่อย ถ้าเรานั่งในบ้าน เราก็ไม่เห็นตัวบ้าน ต้องออกมาข้างนอก นั่นแหละจึงจะเห็น การเจริญสติก็เช่นกัน สติเป็นตัวทำให้จิตหยุด หยุดดู ดูอารมณ์ต่างๆ ที่กำลังเกิด กำลังดับ
ผู้ปฏิบัติ : ตัวสตินี้เราสามารถแผ่ออกไปรอบๆ ตัวได้ไหม แผ่ให้รู้ออกไปกว้างๆ สัมผัสรู้สิ่งอื่นๆ รอบตัว 360 องศา แบบนี้เรียกสติไหมคะ
ท่านทรงกลด : สติจะต้องรู้อยู่กับที่ ไม่แผ่ไป ถ้าแผ่เท่ากับส่งจิตออกนอก หลวงปู่ดูลย์จึงบอกว่า สตินี่คือรู้อยู่กับที่ หลวงปู่ชาบอกว่า ถ้ามีสติมันจะหยุด หยุดอยู่กับรู้ หยุดเพื่อจะได้เห็น จะได้พิจารณาไตรลักษณ์ได้ ถ้ามีสติดีจริงๆ มันจะสงบ เยือกเย็น มีปิติอยู่ตลอดเวลา ที่มีปิติเพราะกระแสอารมณ์ที่ร้อนเร่าไม่สามารถเข้าถึงจิตได้ สติเป็นเครื่องกางกั้นกิเลส นี่ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ กิเลสคือความร้อน เครื่องร้อยรัดทิ่มแทง กิเลสเข้าไม่ถึงจิต จิตก็เย็นสิ นิพพานจึงแปลอีกอย่างว่า เย็น