ถ้าไม่เห็นทุกข์จะเห็นธรรมได้หรือไม่

แสดงธรรม กลุ่มสายธารธรรม เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2560
ผู้ปฏิบัติ : ที่ว่า เห็นทุกข์จึงเห็นธรรม ถ้าไม่เห็นทุกข์จะเห็นธรรมได้หรือไม่ ถ้าได้ ใช้ธรรมะข้อใดคะ
ท่านทรงกลด : เห็นทุกข์จึงเห็นธรรม เป็นพุทธพจน์ หมายความว่า เมื่อเจริญสติจนจิตหยุด ไม่วิ่งตามอารมณ์ได้ (จิตกับสติรวมเป็นหนึ่ง) ขณะนั้นจะเห็นจิตก็จิต ทุกข์ก็ทุกข์ (อารมณ์ก็อารมณ์) จะเห็นว่า ทุกข์ (ทุกขเวทนา) จะถือเป็นเรา ของเราไม่ได้ มันจะแยกออกไปเหมือนเห็นมือถือวางอยู่เฉพาะหน้าขณะนี้ แต่เป็นการเห็นจากภายใน เรียกว่า ญาณทัสสนะ จะเห็นขันธ์ห้าไม่ใช่เรา (รวมทั้งทุกข์ด้วย) ตรงนี้แหละเรียกว่า เห็นธรรม ดวงตาเห็นธรรมเกิดตรงนี้ โสดาปัตติผลเกิดตรงนี้
ส่วนการเห็นทุกข์ของคนทั่วๆ ไป เป็นการเห็นด้วยตาเนื้อบ้าง เห็นด้วยความคิด ความเข้าใจบ้าง เช่น เห็นคนป่วย เจ็บ ตาย ก็รู้สึกว่า โอ้! ชีวิตนี้ทุกข์ อย่างนี้ยังไม่ถือว่าเห็นทุกข์ตามนัยพุทธพจน์ จึงยังไม่ถือว่าเห็นธรรม แต่จะนำไปสู่การเห็นธรรมได้ กล่าวคือ พอเห็นว่าชีวิตนี้ทุกข์ก็แสวงหาทางออกจากทุกข์ด้วยการเจริญสติ มรรคมีองค์แปด จนจิตตั้งมั่น แยกจิตจากออกจากทุกข์ จากอารมณ์ได้ดังกล่าวข้างต้น
ทีนี้ถามว่า ถ้าไม่เห็นทุกข์จะเห็นธรรมได้หรือไม่ ถ้าเห็นธรรมแบบดวงตาเห็นธรรม จะต้องเห็นทุกข์แยกออกไปจากจิต จะเห็นว่า ทุกข์ (ทุกขเวทนา) หรือขันธ์ห้า ไม่ใช่เรา ของเรา เกิดเป็นธรรมดา ดับเป็นธรรมดาดังกล่าว ดังนั้นถ้าดวงตาเห็นธรรมหรือเห็นธรรม จะต้องเห็นทุกข์ไม่ใช่เรา ของเรา (เห็นนะ ไม่ใช่คิดเอา ทักทึกเอา การเห็นเป็นญาณอย่างหนึ่ง บอกไม่ถูกเหมือนกัน) เมื่อเห็นแล้วจะหายสงสัย ไม่ต้องไปถามใครอีก เพราะวิจิกิจฉา (สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา และสีลัพพตปรามาสจะถูกละไปในคราวเดียวกันสำหรับโสดาปัตติผล) ถูกละไปในชั้นที่เห็นนี่แหละ
ถ้าไม่เห็นทุกข์ แบบว่าชีวิตสุขสบายทุกอย่าง อยากได้อะไรก็ใช้เงินซื้อได้หมด จะเห็นธรรมหรือไม่ อันนี้ก็สามารถเห็นได้ ไม่จำเป็นต้องรู้สึกว่าชีวิตนี้ทุกข์ก่อนจึงจะนำไปสู่การเห็นธรรม อย่างที่เคยเล่าเรื่องลูกชายอนาถบิณฑิกเศรษฐี เพียงแต่ศึกษาเรื่องรูป นาม เจริญสติภาวนา จนเห็นตามความเป็นจริงของขันธ์ห้า แยกจิตออกจากขันธ์ห้าได้ ก็เห็นธรรมได้เหมือนกัน
ถ้าเห็นทุกข์ด้วยความคิด ความเข้าใจ เห็นด้วยตาเนื้อก่อน เช่น เห็นคนเจ็บ ป่วย ตาย แบบพระพุทธเจ้า ก็เกิดความรู้สึกว่า โอ้! ชีวิตนี้ต่างก็ดำเนินไปจบแบบนี้ รู้สึกทุกข์ขึ้นมา การเห็นแบบนี้ก็จะเป็นตัวขับเคลื่อนให้เรามุ่งหาทางพ้นทุกข์ต่อไป อย่างที่พวกเราเห็นกันอยู่ตอนนี้แหละ เลยพากันปฏิบัติเจริญสติเพื่อหาทางพ้นทุกข์กันอยู่ แต่คนที่ไม่เห็นว่าชีวิตนี้ทุกข์ต้องถือว่า เป็นคนเขลามากๆ ถ้าไม่อาศัยบุญวาสนาแต่อดีตชาติก็ยากจะบรรลุธรรมได้ เพราะตั้งแต่เกิดมาชีวิตเราล้วนเผชิญแต่ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจตลอดเวลา เจ็บป่วยบ้าง มาก น้อย แตกต่างกันไปตามกรรม เจ็บป่วยนี้ก็ทุกข์แล้ว อากาศร้อนนี้ก็ทุกข์แล้ว ลูกป่วยเจ็บนี้ก็ทุกข์แล้ว ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นก็ทุกข์แล้ว ในหนังสือสวดมนต์ทำวัตรเช้า ก็มีบรรยาย “ทุกข์” ไว้ว่ามีอย่างไรบ้าง เพียงแต่อ่านแล้วพิจารณาตามก็จะเห็นแล้วว่าชีวิตนี้ทุกข์ แต่คนส่วนใหญ่ไม่เห็นเพราะประมาท กว่าจะรู้ว่าชีวิตนี้ทุกข์ ควรเจริญสติปฏิบัติธรรม ก็ถึงลมหายใจสุดท้ายกันแล้วทั้งนั้น จึงเป็นที่น่าสังเวชสลดใจยิ่งนัก พวกเราจึงอย่าประมาท เมื่อเห็นด้วยตาเนื้อ ด้วยความรู้สึกนึกคิดว่าชีวิตนี้ทุกข์ สังสารวัฏเป็นเรื่องน่าเบื่อ เวียนเกิด เวียนตายกันอยู่ไม่รู้จบ จงพากันเร่งภาวนาไปให้พ้นจากทุกข์
บางคนนั่งสมาธิ จิตสงบลงไป เห็นตนเองเคยเกิดเป็นสุนัขบ้าง หมีบ้าง ผีเสื้อบ้าง งูบ้าง สัตว์นรกบ้าง เปรตบ้าง ก็จะรู้สึกสยอง รีบเร่งภาวนาแบบหลวงปู่มั่น หลวงปู่ชอบ นั่นแหละ เพราะเห็นแล้วก็ไม่อยากเกิดอีกเลย บางที ระลึกชาติได้ว่า เคยเกิดเป็นกวาง แล้วถูกสิงโตรุมขย้ำ กว่าจะตายทรมานยิ่งนัก ก็ยิ่งสลดใจ บางทีก็ถูกนายพรานฆ่าตาย เรื่องอย่างนี้มีจริงๆ ขอยืนยัน ใครจะว่าว่างมงายก็เหมือนว่าพระพุทธเจ้าด้วย เพราะท่านสอนว่า ชีวิตเราไม่ได้มีเฉพาะชาตินี้ชาติเดียว ต่างเวียนว่ายตายเกิดนับชาติไม่ถ้วน สังสารวัฏจึงเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่าย ขอให้ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย หรือถ้าไม่ได้ ก็ขอให้ภาวนาจนเกิดดวงตาเห็นธรรมเป็นพระโสดาบัน จะเกิดอีกไม่เกินเจ็ดชาติก็บรรลุอรหัตผล หยุดเกิดหยุดตาย ที่สำคัญพระโสดาบัน ท่านปิดอบายภูมิได้ถือว่าปลอดภัยไว้ก่อน
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผู้ใดเห็นทุกข์ ผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นจิต ผู้นั้นเห็นธรรม การปฏิบัติธรรมนี้ หากไม่เจริญสติ (สติปัฏฐานสี่) แล้ว ไม่มีวันจะเห็นจิต เห็นธรรมเลย สติเตสัง นิวารณัง สติเป็นเครื่องกางกั้นจิตออกจากกิเลสหรือทุกข์ นั่นคือ เมื่อเจริญสติอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสายเหมือนหยดน้ำไม่ขาดตอน จิตก็จะแยกออกจากกิเลส จากทุกข์ เห็นทุกข์ (อารมณ์) ก็ทุกข์ จิตก็จิต ต่างคนต่างอยู่ ไม่เกี่ยวข้องกัน ตรงนี้เองเรียกว่า เห็นธรรม ดังพระพุทธเจ้าและหลวงปู่มั่นบอกไว้ เป็นพระอริยบุคคลเบื้องต้น ซึ่งยังละกิเลสอะไรไม่ได้ ยังสามารถมีครอบครัว ดำรงชีวิตในโลกได้ตามปกติ เพียงแต่เห็นทุกข์ (เห็นเป็นญาณทัสสนะ ไม่ใช่คิด คิดไม่ใช่ญาณ) เห็นขันธ์ห้าตามความเป็นจริงว่าอะไรเป็นอะไร แค่นี้ใจก็สงบสุขกว่าเดิมหลายพันเท่าแล้ว ส่วนกิเลสนั้นก็จะละได้ในลำดับถัดไป
พระอริยบุคคลเบื้องต้นเป็นเพียงผู้มาถึงกระแสพระนิพพาน สัมผัสกระแสความสงบเยือกเย็นของพระนิพพานได้เท่านั้น แต่จะบรรลุถึงพระนิพพานเช่นเดียวกับหลวงปู่มั่น พระพุทธเจ้าได้อย่างไม่ต้องสงสัย หยุดเกิดหยุดตาย หยุดวัฏสงสารที่ไม่รู้ต้นรู้ปลายได้ในที่สุด
บางคนมีความเข้าใจว่า ฟังธรรม ปฏิบัติธรรม แล้วจะมีประโยชน์อะไร มัวแต่ถือศีล ถือธรรม ก็ไม่ต้องทำมาหากินกัน นี่คิดผิดมาก เพราะธรรมะจริงๆ ก็คือ เรื่องของความถูกต้อง มันรวมเรื่องถูกต้องของชีวิตเราไว้ทั้งหมด จะหากินอย่างไร จะเก็บรักษายังไง คบหากับคนอื่นอย่างไร ดำเนินชีวิตอย่างไร จึงจะไม่เป็นทุกข์ นี่เรื่องของธรรมะ ทำไมจะไม่มีประโยชน์
แก้วที่มีน้ำเต็มปริ่มใบหนึ่ง แรกๆ ถือ ก็ไม่หนัก พอถือไปนานๆ เราก็เห็นว่า มันหนัก พอหนักเราก็วาง พอวางก็เบา สบาย อารมณ์ก็เช่นกัน แท้จริงมันหนัก ร้อนและวุ่น แต่ที่เราถือมั่นยึดมั่นอยู่ ไม่ยอมวาง ก็เพราะเห็นผิด (มิจฉาทิฏฐิ) เห็นสิ่งหนักเป็นสิ่งที่เบา เห็นของร้อนเป็นของเย็น เห็นความวุ่นเป็นความสงบ และที่ร้ายที่สุดคือ เห็นว่าของหนัก ร้อน วุ่น นี้เป็นเรา ของเรา อาการหลง ไม่รู้เห็นตามความเป็นจริงนี่แหละเรียกว่า “อวิชชา” แต่เมื่ออบรมสติ จนเกิดความรู้เห็นตามจริงคือ รู้แจ้ง (เกิดวิชชา) จิตก็จะวางอารมณ์ลงได้เอง เพราะมันรู้ชัดแล้วว่า ที่ยึดถือไว้นั้น มันร้อน หนัก วุ่น และไม่อาจถือเป็นเรา ของเราได้ พอวาง มันก็เย็น เบา สงบ นิพพาน เรื่องทั้งหมดก็จบลง