ถาม-ตอบ

ติดในฌาน

 

แสดงธรรม กลุ่มสายธารธรรม เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2561 

 

ผู้ปฏิบัติ : ขอเรียนถามเป็นความรู้ว่า คนที่ติดในฌานจะแก้ไขอย่างไร หมายถึงฌานที่ได้จนเกิดความรู้เจโตวิมุติอันเป็นโลกียฌาน จนสามารถเห็นจิตคนอื่นนั้น เป็น “ธรรม” ไหมครับ  และถ้าเป็น “ธรรม” ท่านผู้นั้นควรต้องตามดูอย่างไรว่าเป็นไตรลักษณ์  เหมือนที่ท่านสอน เพื่อสติจะได้รู้เท่าทัน “ธรรม” นั้นๆ เกิดอาสวักขยญาณขึ้นมาแทนจนเข้าถึงแก่นแห่งธรรมเช่นเดียวกับที่พระพุทธองค์ตรัสสอนชฎิลที่บูชาไฟ ที่เดิมได้ฌานโลกีย์จนสามารถหลุดพ้นได้น่ะครับ  

ท่านทรงกลด : ในกลุ่มธรรมที่เราแสดงธรรมอยู่ก็มีคนที่มีฌานมาศึกษาในทางสติปัฏฐานสี่อยู่ด้วย  ท่านผู้นั้นก้าวหน้าในทางฌาน ทางฤทธิ์ แต่ทางธรรมท่านก็พยายามแก้ไขตัวเองอยู่  เมื่อเราแสดงธรรมเรื่องสติ ท่านพอจะรู้แล้วว่า  ควรจะเดินอย่างไร  ตอนนี้ท่านนั้นหันกลับมาเจริญอานาปานสติ  ท่านเป็นคนดีมาก รู้จักจิตใจตนเอง ไม่หลงเหมือนคนอื่นๆ ที่หลงตัวเอง  

การได้เจโตวิมุติ เห็นจิตคนอื่น ยังไม่ถือว่าเป็น “ธรรม”  คำว่า  เป็นธรรม หมายถึง จิตของพระอริยบุคคลตั้งแต่โสดาบันขึ้นไป  เมื่อเป็นแล้วก็เป็นตลอด ไม่มีไปๆ มาๆ  ไม่ใช่วันนี้เป็น พรุ่งนี้ไม่เป็น อันนี้เป็นธรรมปลอม และสภาวะ “จิตตก” จะไม่เกิดกับพระอริยบุคคลเลย จิตของพระอริยบุคคลมีแต่จะบ่ายหน้าสู่พระนิพพานก็คือ เลื่อนลำดับภูมิธรรมยิ่งๆ ขึ้นไปจนจบกิจในที่สุด  ไม่ใช่วันนี้เป็นธรรม พรุ่งนี้กลับมาร้องไห้เหมือนคนบ้า

ผู้ปฏิบัติ  :  พระอริยบุคคลขั้นต้นขึ้นไปจึงจะปฏิบัติธัมมานุปัสนาสติปัฏฐานได้ คนฝึกหัดแบบผมปฏิบัติแค่กายานุปัสสนาสติปัฏฐานกับเวทนานุปัสนาสติปัฏฐาน ตามที่อาจารย์สอนใช่ไหมครับ 

ท่านทรงกลด :  เมื่อเห็นธรรม จิตก็จะวิวัฒนาการไปสู่ธัมมานุปัสนาสติปัฏฐานเองโดยอัตโนมัติ  เห็นอะไรไหม  “ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน  พระพุทธเจ้าเห็นธรรมก่อน จึงพิจารณาธรรม จนบรรลุอรหัตผล   เอาปฏิจจสมุปบาทที่เห็นมาพิจารณา  ตอนแรกท่านดำรงจิตให้อยู่กับ “รู้” ก่อน แยกจิตออกมา เห็นธรรมก็คือ เห็นขันธ์ห้าออกมาจากจิต  เห็นจิต เห็นธรรม  มันจะเห็นทั่วถึงกันหมดในชั่วขณะจิตเดียว  เรียกว่า  แจ้งโลก  โลกในที่นี้หมายถึง  ขันธ์ห้านะ  ขันธโลก  

พระพุทธเจ้าแสดงอะไรแก่ปัญจวัคคีย์  เวทนานุปัสนาสติปัฏฐาน สุขก็ไม่ควรข้องแวะ ทุกข์ไม่ควรข้องแวะ (กามสุขขัลลิกานุโยโค อัตกิลมถานุโยโค)  ที่หลวงปู่ชาพยายามพร่ำสอน แต่ไม่มีใครสนใจไงล่ะ ท่านก็บ่นเลย จะเอาแต่หลับตาหาความสงบ

ผู้ปฏิบัติ  :  การมีสติรู้อยู่ที่กาย เช่น เรารู้ว่าตอนนี้เรากำลังพิมพ์เพื่อสนทนาธรรม เป็นการมีสติอยู่ที่กายหรือเป็นการเพ่งคะ

ท่านทรงกลด :  คำว่า สติอยู่ที่กาย หมายถึง ไม่ว่าจะยืน เดิน นั่ง นอน เคลื่อนไหวกายอย่างไร ให้รู้สึกตัวขึ้นมา  ความรู้สึกตัวนี้ แรกๆ จะหายาก  แต่เมื่อพบก็ไม่ยากอีกต่อไป  อย่างที่บางคนบอกว่า  เห็นลูกอาเจียนก็รู้ว่าลูกอาเจียน แล้วบอกว่า มีสติ มันคนละเรื่องกัน  

การรู้ว่ากำลังพิมพ์เพื่อสนทนาธรรมกับการรู้สึกตัวไม่เหมือนกัน  อย่างแรกเป็นสัญญา  มันจะต่างอะไรกับฝรั่งที่เขารู้ว่า “I am typing to chat dhamma”  เมื่อเราพิมพ์ข้อความ  ขณะพิมพ์ให้รู้สึกตัว ความรู้สึกตัวนี้จะมีลักษณะกลางๆ  อย่างที่หลวงปู่ทา จารุธัมโม บอก  รู้ซื่อๆ  หรือ “รู้อยู่กับที่” อย่างที่หลวงปู่ดูลย์สอน ผมบอกพวกเราเสมอว่า นี่คือคำสอนการทำสมาธิที่ถูกต้องที่สุด เห็นไหม “ไม่ต้องไปจำแนกแยกแยะ”  หลวงปู่ดูลย์บอกอย่างนั้น  ถ้าไม่รู้จักความรู้สึกตัว การปฏิบัติก็จะผิดทางอย่างแน่นอน  แต่ความรู้สึกตัวมันอยู่กับเรายากมาก แป๊บหนึ่งก็ไปแล้ว  ผมถึงบอกไงว่า ให้พิจารณากายด้วย เพราะพอเห็นกายตามจริง จิตจะผละจากความยึดมั่นในกายออกมา โดยสภาพธรรมชาติของจิตเขา มันเป็นสติอยู่ในตัว  เป็นอย่างนั้นจริงๆ พอมันเห็นกายตามจริง จิตจะผละออกมา  เกิดอะไรขึ้นเล่า  จริงๆ ไม่ได้เกิดหรอก จิตมันเป็นสติโดยตัวมันเองอยู่แล้ว

ผู้ปฏิบัติ  :  การที่กายเคลื่อนไหว มีใจเป็นผู้รู้ ตัดสินที่เห็นกายกับใจเป็นอันเดียวกันหรือเป็นคนละอันใช่ไหมครับ  ผมเห็นมันแยกจากกันขอรับ 

ท่านทรงกลด :  ตรงที่บอกว่า  เห็นกายกับใจแยกจากกัน  อันนี้ถูกต้อง แต่ใจที่เห็นยังไม่ใช่ใจแท้  ยังเป็นใจที่เจือด้วยอารมณ์อยู่  ต้องสกัดอารมณ์ออกไปอีกทีหนึ่ง  ตัวที่ช่วยสกัด ก็คือ  สติ  สติ  เตสัง  นิวารณัง  สติเป็นเครื่องกางกั้นกิเลสหรืออารมณ์ออกจากจิต ก็คือสกัดอารมณ์ออกจากจิต  พอสกัดออกไปได้ ก็จะเหลือจิตเดิมแท้หรือใจแท้นั่นแหละ  หลักความจริงมันเป็นอยู่อย่างนี้ ไม่หนีไปจากนี้  

ระหว่างวันก็ให้มีสติรู้เท่าทันอารมณ์ไว้ ยิ่งรู้เท่าทันมากเท่าใด อารมณ์ก็จะถูกสกัดออกมากเท่านั้น เหมือนเรากะเทาะเปลือกข้าวสารออก เมื่อกะเทาะได้หมด  ก็จะพบจิตเดิมแท้ตรงนั้นเอง  พบตนเอง  แต่อย่าไปคิดว่า จะเห็นเป็นตัวตนอะไรนะ  มันจะเห็นแบบไม่เห็น  เรียกว่า ญาณทัสสนะ  จึงขอให้พิจารณากายไปด้วย ทำตอนกลางคืนก็ได้   วิธีก็เขียนในหนังสือไว้หมดแล้ว  

จริงๆ ในหนังสือ ถ้าอ่านแล้วเอาไปใช้ ไม่นานก็จะก้าวหน้า  สติปัฏฐานสี่ในชีวิตประจำวันกับบททดสอบท้ายเล่ม  ตั้งแต่ตื่นเช้าจนเข้านอน สามารถปฏิบัติกับการทำงานได้อย่างลงตัว ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้ มันทำได้ถ้าทำเป็น อย่างสติรู้เท่าทันอารมณ์ แรกๆ อารมณ์ละเอียดจะไม่เห็นหรอก  เอาอารมณ์โกรธ อารมณ์แรงๆ ก่อน เอาตรงนี้ให้อยู่ก่อน

ผู้ปฏิบัติ :  เห็นจิตอนิจจัง เห็นกายทุกขัง เห็นใจอนัตตา ประมาณนั้นหรือเปล่าขอรับ 

ท่านทรงกลด  : ใช่ ประมาณนั้น  ให้เห็นจริงๆ นะ เห็นมันดับไปแบบที่หลายๆ คนเห็น พอเห็นครั้งหนึ่ง ให้พอกพูนความเห็นหมายถึง จะเห็นมากขึ้นๆ  จนจิตสลัดออกมาตั้งมั่น เกิดสัมมาสมาธิ

หนังสือที่ผมเขียน ขอให้อ่านทุกบรรทัด แต่ละข้อความกลั่นมาจากใจ  มาจากผลการปฏิบัติที่แท้จริง ไม่ได้ไปลอกใครเขามา  จะพบว่า มีอะไรอยู่ในแต่ละบรรทัดมากมาย  เมื่อเข้าใจจริง ก็จะส่งผลต่อการปฏิบัติให้มีความก้าวหน้า อย่างเรื่องสติที่แท้จริง ก็เขียนไว้