ถาม-ตอบ

ฐานของจิต

 

แสดงธรรม กลุ่มสายธารธรรม เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2561

 

ผู้ปฏิบัติ :  ฐานของจิตอยู่ตรงไหนคะ จุดที่ดับลงใช่ฐานของจิตหรือไม่  อย่างไรคะ 

ท่านทรงกลด :   ฐานของจิต  จริงๆ “ไม่มี” เมื่อใดที่กำหนดดับลง จิตรวมลงรู้อยู่ที่ฐานเมื่อนั้นก็คือยังปรุงแต่งอยู่ เพราะยังมีฐานอยู่   “ฐาน” การนั่งสมาธิโดยทั่วไปก็จะเป็นแบบนี้  คือ  ภาวนาจนจิตรวมลงไปแช่  แน่นิ่ง  สว่าง  และรู้อยู่  ตรงนั้นยังมีฐานอยู่ ไม่นานจิตก็จะถอนออกมาจากฐาน  แล้วก็ภาวนาใหม่ บางทีก็รวม บางทีก็ไม่รวม  

ที่เราสอนเรื่องสติก็เพื่อให้จิตพบฐานที่แท้จริงที่หลวงปู่มั่นเรียกว่า ฐีติภูตัง คือ  ที่ตั้งเดิมของจิตก็คือ  จิตเดิมแท้นั่นแหละ  แม้พวกพราหมณ์ พวกฤษี ต่างก็ภาวนาพบแค่ฐาน  แต่เลย ฐาน” ไม่มีใครค้นพบ จนเมื่อพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ ท่านจึงพบสภาวะที่เลยฐานไป แม้อุทกดาบส อาฬารดาบส ก็ยังติดอยู่ที่ฐาน  เมื่อใดมีฐานเมื่อนั้นมีโลก ยังไม่ใช่โลกุตระ 

ฐานของจิต (ที่แท้จริง) ก็คือ ความว่าง  ฐานเดิมของจิตคือ ความว่าง แต่เป็นความว่างที่มีอยู่  แต่ก่อนเราภาวนาก็อยู่แค่ฐานนี่แหละ  ต่อเมื่อเจริญสติที่ถูกต้อง  พบจิตพบใจ จึงพบว่าจิตใจนี้แหละคือ  ฐานที่แท้จริง แต่เป็นฐานที่ไม่มีฐาน  มันจะเป็นความรู้ลอยเด่นอยู่อย่างที่หลวงปู่เทสก์ว่าไว้จริงๆ  แต่เพราะคนเราอยู่กับอารมณ์ตลอดเวลา  พระพุทธเจ้าจึงสอนว่า  เอาใจมาไว้กับสติก่อน  เอาสติเป็นฐานก่อน  จึงเรียกว่า  สติปัฏฐานไงล่ะ  

เมื่อใจหรือจิตอยู่กับสติได้มั่นคง จิตจะแยกออกจากขันธ์ห้าอารมณ์ออกมาให้เห็น  คราวนี้ไม่ต้องไปหาฐานที่ไหนแล้ว  จิตนั่นแหละเป็นฐานของตัวมันเอง  มันเป็นฐีติภูตังอยู่ในตัวอยู่แล้ว  คนภาวนาแล้วพบจิตพบใจ (พระอริยบุคคล) จะบอกได้เลยว่า  ฐานของจิตที่จิตรวม กับฐานที่เป็นจิตด้วยตัวมันเอง มันต่างกันราวฟ้ากับเหว  จิตที่แยกออกมานั่นแหละ เป็นทั้งสติ สมาธิ ปัญญาอยู่ในตัว  ไม่ต้องไปหาฐานที่ไหนอีก  จิตจะรวมหรือไม่รวมก็ไม่ทุกข์ร้อน  เพราะมันสงบด้วยตัวมันเอง  เป็นความสงบอยู่ท่ามกลางความไม่สงบ  ที่หลวงปู่ชาเรียกว่า  น้ำไหลนิ่งนั่นแหละ  ดังนั้นจงภาวนาเจริญสติ หาฐาน ที่แท้จริง” จะดีกว่า  “ฐานที่ไม่มีฐาน”  มันเป็นความว่างที่ไม่มีรูปร่าง แต่สงบเยือกเย็น  มีอยู่ สัมผัสได้แม้ลืมตา เป็นฐานที่ไม่ต้องปรุงแต่ง ไม่ใช่สังขาร ไม่มีการเกิดดับ รุ่งโรจน์ สว่างไสว รู้แจ้งตลอดเวลา  

ธรรมที่เราตอบวันนี้มันเป็นของละเอียด ลุ่มลึก  เกินคนสามัญจะเข้าใจและหยั่งถึง  ตอนเห็นคำถามมันก็ไหลออกมาแบบนี้แหละ  หาอ่านที่ไหนไม่ได้หรอก  เอาไปให้คนที่ไปไม่ถึงเขาก็ไม่มีวันเข้าใจหรอก  เพราะของอย่างนี้มันเป็นปัจจัตตัง  รู้อย่างเดียวว่า จิตเราเข้าใกล้ภาวะที่หลวงปู่ดูลย์ หลวงปู่ชากล่าวไว้อย่างลงรอยเดียวกัน  

ถ้าเราพบฐานที่ไม่ต้องปรุงแต่งคือ จิตเดิมแท้  จะนั่ง นอน ยืน เดินที่ไหน มันก็สงบของมันอยู่ในตัว  มันเป็นความว่างที่เยือกเย็น แผ่ซ่านไปทุกอณู  ยิ่งปฏิบัติไปๆ จิตจะหดตัวเข้ามา การส่งนอกของจิตแทบจะไม่มี  ช่างตรงกับที่หลวงปู่ชาบอกยิ่งนัก  “แล้ว (จิต) มันจะหดตัวเข้ามา”  กลับคืนอยู่ฐานะเดิมของมัน ฐีติภูตัง  (หลวงปู่มั่น)  คืนสู่จักรวาลเดิม   (หลวงปู่ดูลย์)  

คำว่า  จักรวาลในที่นี้ ไม่ได้หมายถึง  จักรวาล กาแลกซี่อะไรเลย  เพราะจักรวาลนั้นมันยังเป็นของหยาบ ยังปรุงแต่งอยู่  คนละเรื่องกัน  คำว่า จักรวาลเดิม ของหลวงปู่ดูลย์หมายถึง จิตที่ว่างอย่างเดิมต่างหาก  ท่านใช้คำว่า  จักรวาล เพราะไม่มีที่หมาย ไม่มีการเริ่มต้น การสิ้นสุด มันว่าง มันกว้างและว่างไพศาลจนหาขอบเขตไม่ได้ ท่านจึงใช้คำว่าจักรวาล  ไม่ใช่ว่านิพพานแล้วจิตจะดับเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาลแบบนั้น  นั่นเป็นลัทธิพราหมณ์แล้วที่ว่า  จิตคืนสู่อาตมันเดิม 

คำว่า นิพพาน ก็ไม่มีอะไร  อย่างที่เขียนไว้ในหนังสือ  ก็คือสถานที่หนึ่ง (พระพุทธเจ้าใช้คำว่า  อายตนะ) ที่มีอยู่ แต่บอกไม่ได้ว่า  ที่ไหนเป็นที่อยู่ของจิตที่บริสุทธิ์ทั้งหลาย จิตที่ไม่มีการเกิดการดับอีกต่อไป มันมีอยู่ แต่บอกไม่ได้ว่าอยู่ที่ไหน ในหนังสือกว่าจะถึงกระแสธรรมผมเขียนไว้ เรื่องนิพพานอยู่ท้ายเล่ม 

ผมยังเขียนอีกว่า มีพราหมณ์คนหนึ่ง มีศาสตร์ลึกลับ อยากรู้ว่า  ใครตายแล้วไปไหน แค่แตะกะโหลกก็บอกได้หมด มาพบพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเลยให้ไปเอากะโหลกพระอรหันต์มาวางให้แตะ คราวนี้งงเป็นไก่ตาแตก บอกไม่ได้  พราหมณ์อยากรู้ขึ้นมา เลยถามพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบอกว่า ต้องบวชก่อนเราจึงจะสอน  เขาคิดว่าจะบวชสักเจ็ดวันเพื่อเรียนวิชา เสร็จแล้วจะสึก เพราะเพื่อนพราหมณ์นับถือพราหมณ์คนนี้มาก พราหมณ์จะมาเสียท่าให้พุทธศาสนาไม่ได้   

รู้ไหม   พระพุทธเจ้าสอนอะไรพราหมณ์คนนี้  จริงๆ (ไม่ได้เขียนไว้ในหนังสือ) พราหมณ์คนนี้ชื่อ  พระวังคีสะ พระพุทธเจ้าก็สอนสิ่งเดียวกับที่ผมสอนพวกท่านนั่นแหละ  พระพุทธเจ้าให้คาถาพระวังคีสะ คาถานั้นก็คือ อาการสามสิบสอง  เกศา โลมา จนถึงมัตถะเก  มัตถะลุงคัง  พราหมณ์ท่องไปๆๆ พิจารณาไปๆ  จนบรรลุอรหัตผลในที่สุด  พราหมณ์เพื่อนก็มาตาม บอกสึกได้แล้ว วิชาสำเร็จแล้วไม่ใช่หรือ  ทายสิว่า พราหมณ์สึกหรือไม่สึก  แล้วผมก็ทิ้งท้ายไว้ว่า  ป่านนี้พราหมณ์คนนี้คงได้พบเจ้าของกะโหลกอันเป็นเหตุให้ต้องบวชแล้วกระมัง  นี่ ถ้านิพพานสูญ (ซึ่งแสดงไปมากมาย) พระพุทธเจ้าก็ไม่มาตรัสรู้พาคนไปสูญหรอก  

สรุปให้อีกครั้งว่า  ฐานที่แท้จริงของจิตก็คือ  พระนิพพาน  นั่นแหละคือ  ฐานที่แท้จริง ไม่มีการมาการไป  ไม่มีการเคลื่อนการดับ  ฐานหรือฐานะที่แท้จริงของจิตที่หลวงปู่มั่นเรียกว่า  ฐีติภูตัง ก็คือ  จิตที่นิพพานนั่นเอง  ตอนยังไม่ตายก็เรียกว่า อุปาทิเสสนิพพาน  พอตายดับขันธ์ ก็เรียกว่า อนุปาทิเสสนิพพาน  จิตที่ครองขันธ์ก็ยังรับรู้สุข ทุกข์ตามปกติ แต่ไม่เข้าไปเสวยเหมือนคนทั่วไป แต่พอดับขันธ์แล้ว ไม่มีขันธ์คอยรับเวทนา สัญญา สังขาร  รวมทั้งวิญญาณขันธ์ก็ดับสนิทไปด้วย  เหลืออะไรล่ะ  ก็เหลือจิตที่บริสุทธิ์นั่นเอง  

หลวงปู่มั่นจึงบอกว่า จิตที่พ้นอารมณ์ทั้งปวง เรียกว่า “บริสุทธิ์”  จงใช้สติที่เราพร่ำแสดง นำพาไปสู่การค้นพบจิตพบใจก่อน  แล้วจะเห็นว่า สิ่งที่เรากล่าว ไม่ได้มั่ว  จะเห็นเหมือนอย่างที่หลวงปู่ดูลย์ หลวงปู่ชา หลวงปู่มั่นเห็น  ทุกวันนี้ความรู้เรื่องพุทธศาสนาของชาวพุทธน้อยมาก  ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร   การบรรลุธรรมด้วยวิธีแปลกๆ  เห็นใครทักวาระจิตได้ก็เหมาเป็นพระอรหันต์ไปเสียหมด  ความรู้เรื่องพระอริยบุคคลก็น้อยมากหรือไม่มีเลยก็ว่าได้   คนนั้นเป็นโสดาบัน สกทาคามี อนาคามี หรือจิตบริสุทธิ์เป็นพระอรหันต์แล้ว   ต้องบอกตรงๆ ว่า มั่วกันมาก  จะบรรลุได้อย่างไร แม้ สติ” ยังไม่รู้จักกันเลย  มีแต่ความจำ  ความเข้าใจ สัญญา การปรุงแต่งและนิมิต