ถาม-ตอบ

ความสงัดของผัสสะ

 

แสดงธรรม กลุ่มสายธารธรรม เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2561

 

ผู้ปฏิบัติ  :  อ่านธรรมะที่ท่านอาจารย์เคยบรรยายไว้ว่า หลวงปู่มั่นสอนว่า  ให้หา “ความสงัดของผัสสะ” ให้พบ แล้วจิตจะสงบไปเอง ความสงัดของผัสสะคืออะไร  และมีลักษณะอย่างไรคะ

ท่านทรงกลด : เมื่ออายตนะภายในกับภายนอกกระทบกัน เช่น ตาเห็นรูป เรียกว่า  ผัสสะ  เมื่อมีผัสสะ ก็ย่อมมีเวทนา  ถ้าเห็นเวทนา แล้วรู้ทันเวทนา และปล่อยให้เวทนาดับไป ขณะที่เวทนาดับ จิตไม่เข้าไปเสวยอารมณ์หรือเวทนา จิตย่อมสงัด สงบ โดยอัตโนมัติ

ผู้ปฏิบัติ  : ไม่ผัสสะกับอะไร  แต่กลับกลายเป็นว่า  ไม่อยากทำอะไร ภาษาแพทย์ว่า  เป็นโรคซึมเศร้า  ภาษาธรรม เรียกว่า  การทำงานของขันธ์ห้า พยายามทำใจให้รู้ว่าคือการทำงานของขันธ์ห้า แต่ว่ายังติดอยู่  ยังแก้ไม่ได้  ควรทำอย่างไรดีคะ  เคยถามพระแล้ว แต่ยังทำไม่ได้ ทำใจไม่ได้ว่า ทุกสิ่งคือเราคิดไปเอง ถ้าหยุดคิดพิจารณาจะไม่อยากทำงานค่ะ 

ท่านทรงกลด : ไม่ถูกนะ ไม่ใช่ทำใจนิ่งๆ แบบนั้น ให้เอาขันธ์ห้าที่เห็น เช่น กาย เวทนา มาพิจารณาด้วยไตรลักษณ์ ควบคู่กับการพยายามมีสติหรือรู้สึกตัวขึ้นมา  ต้องให้เห็นตามจริงของเขา เมื่อเห็นแจ้งแล้ว ใจจึงจะนิ่ง ถ้าไม่เห็นจริงรู้แจ้ง  ใจไม่มีวันนิ่งหรอก ได้แต่คิดเข้าใจอยู่นั่นเอง  

ใจนิ่งไม่ใช่ทื่อ ด้าน ไม่มีผัสสะ ไม่รู้สึกอะไร รู้สึก รับรู้ แต่ปล่อยวาง เมื่อแจ้งแล้ว มันจะวางไปเอง  มีหนังสือกว่าจะถึงกระแสธรรมก็อ่านดูแล้วทำตาม ต้องฝึกก่อน ให้สติมีกำลังก่อน อยู่ๆ จะไปทำใจให้นิ่ง เป็นไปไม่ได้หรอก ถ้าทำได้คือ กำลังหลอกตัวเองอยู่  มันยัง นิ่ง” ไม่จริงหรอก  หน้าที่ทางโลกยังต้องทำ  หน้าที่ทางใจคือ เจริญสติ รู้เท่าทันอารมณ์ ที่บอกว่า ไม่อยากทำอะไร อันนั้นไม่ใช่ธรรม  แต่กำลังถูกโมหะคือ  ความหลงครอบงำใจต่างหาก ถ้าใจเป็นธรรมจะต้องตื่นรู้ เบิกบาน ไม่ใช่ขี้เกียจแบบนั้น  ถ้าขาดสติ จะไม่มีวันเห็นการทำงานของขันธ์ห้าได้เลย ถ้ามีสติ จิตจะแยกออกมา  พอแยกออก จึงจะเห็นการทำงานของขันธ์ห้า  ที่บอกว่าเห็น ไม่เห็นหรอก คิดเอา  คิดกับเห็นคนละเรื่องกัน 

การพยายามไปห้ามผัสสะอันนี้ก็ผิดนะ ห้ามไม่ได้  ผัสสะมีตลอดเวลา อย่างน้อยใจก็ต้องสัมผัสธรรมารมณ์อยู่ตลอด เมื่อมีผัสสะก็ต้องมีเวทนา ห้ามไม่ได้  ปัญหาคือ เมื่อมีเวทนาเราจะรับมืออย่างไร นั่นคือ  ต้องมีสติรู้เท่าทันมันนั่นเอง

 อนึ่ง การเจริญสติภาวนาเพื่อให้จิตหรือใจเห็นตามจริงของขันธ์ห้า กับการ “ทำใจ” คนละเรื่องกัน  ถ้าทำใจให้ปล่อยวาง จะไม่มีทางทำได้ เพราะเมื่อใดที่ “ทำใจ” เมื่อนั้นย่อมเอาใจไปปรุงแต่งแล้ว  หน้าที่เราคือ  เจริญสติให้เห็นตามจริงเท่านั้น 

หลวงปู่เจือ สุภโร กล่าวไว้ว่า  ไม่ใช่ “ละ” แต่ต้อง “รู้”  ท่านสอนว่า การที่จะปฏิบัติให้ถึงมรรคผลนั้นไม่ต้องคิดละอะไรทั้งสิ้น  ที่แท้การคิดว่า จะละความโลภ โกรธ หลง มันกลับไม่ถูกอุบาย  เราต้องดูให้รู้เห็นสิ่งนั้นตามความเป็นจริงว่า มันไม่ใช่เราและรู้ว่าเรายึดมั่นไว้ด้วยอำนาจความหลง  เพราะเหตุที่เรามี “อวิชชา” คือความไม่รู้แจ้ง ทำให้เราไม่รู้จักตนตามความเป็นจริง  เป็นเหตุให้สำคัญเอาขันธ์ 5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร  วิญญาณ  ซึ่งไม่ใช่ตนว่าเป็นตน  จิตจึงยึดขันธ์ 5 ไม่ยอมปล่อยวาง  เราจะนึกปล่อย  นึกวางอย่างไรก็ไม่ได้ผล  ครั้นเราทำการดูอยู่จนรู้เห็นตามความเป็นจริงว่า ไม่ใช่ตน “วิชชา” ก็เกิดขึ้น “อวิชชาดับไป” ความหลงก็ดับไปด้วย ความยึดคืออุปาทานในขันธ์ทั้ง 5 ก็ดับด้วย เราไม่ต้องตั้งใจปล่อย ไม่ต้องตั้งใจวาง ไม่ต้องตั้งใจละอะไรทั้งสิ้น หลักความจริงมีอยู่อย่างนี้

เห็นไหม ที่หลวงปู่เจือ บอกว่า “จิตจึงยึดขันธ์ 5 ไม่ยอมปล่อยวาง” จึงเกิดเรื่องเพราะจิตมันหลงขันธ์  สติจะช่วยแยกจิตออกมา พระพุทธเจ้าจึงสอนเรื่องสติว่า สติ เตสัง นิวารณัง” สติเป็นเครื่องกางกั้นกิเลส อารมณ์หรือขันธ์ออกจากจิต  เมื่อแยกแล้วก็พบจิต พระองค์จึงบอกว่า “ผู้ใดพบจิต ผู้นั้นพบธรรม” การบรรลุธรรมเริ่มตรงนี้  ส่วนหลวงปู่ดูลย์บอกว่า “จิตที่พ้นจากอารมณ์ ขาดจากการปรุงแต่งแล้ว ทุกข์ก็อาศัยอยู่ไม่ได้”  นี่… จบตรงนี้  ตรงที่จิตหลุดพ้นเป็นจิตบริสุทธิ์