ก้อนกาย ก้อนเบื่อก็คือก้อนทุกข์

แสดงธรรม กลุ่มต้นบุญ เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2559
ท่านทรงกลด : มีชายคนหนึ่ง วิ่งถือก้อนเหล็กเผาไฟแดงโร่ ทั้งหนักทั้งร้อน แล้วร้องว่า โอ้ ! ร้อนเหลือเกิน ๆ คนผ่านไปมาก็เห็น จึงตะโกนบอกว่า ทำไมไม่วางลงเสียล่ะ จะได้ไม่ร้อน ไม่หนัก ชายคนนั้นก็สวนมาว่า วางไม่ได้ๆ คนผ่านไปมาดังกล่าว ก็ถามกลับว่า ทำไมวางไม่ได้ ชายคนนั้นก็ตอบว่า ก้อนเหล็กที่เผาไฟแดงฉานนี่มันเป็นของฉัน ก้อนผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ก้อนกระดูกนี่เป็นของฉัน ก้อนสกลธ์กายนี้มันเป็นของฉัน ก้อนลูก ก้อนสามี ก้อนภรรยา ก้อนพ่อ ก้อนแม่ ก้อนบ้าน ก้อนรถ ก้อนที่ดิน ก้อนหุ้น ก้อนบริวาร ทั้งหมดนี่มันเป็นของฉัน ก้อนทุกข์ ก้อนสุขมันเป็นของฉัน
พิจารณาดูดีๆ มันใช่ของฉัน ของเราจริงหรือไม่ ลูก เมีย สามี ใช่หรือ ลูกก็เท่านั้น สามีก็เท่านั้น ภรรยาก็เท่านั้น เขาก็เป็นของเขา บังคับบัญชาอะไรได้บ้างไหม สามีเคยรัก บัดนี้ยังรักอยู่ไหม ภรรยาเคยรัก บัดนี้ยังรักอยู่ไหม ลูกพอมีครอบครัวคนรักเขาก็มีหนทางของเขา จะอยู่กับเราไปได้ตลอดหรือ แม้กายเรา ยังไม่ใช่ของเราเลย แล้วก้อนสกนธ์กายคนอื่นจะเป็นของเราได้หรือ วางได้แล้ว ส่วนก้อนเบื่อก็คือก้อนทุกข์อันหนึ่ง มันใช่ของเราหรือ บอกมันสิว่า เฮ้ย ! เลิกเบื่อได้แล้ว บอกมันสักพันครั้ง มันหายเบื่อไหม ไม่หรอก เพราะอารมณ์เบื่อ (ทุกขเวทนา) มันก็เป็นของมันอย่างนั้น ไม่ต่างจากผม จากฟัน ต้องใช้ปัญญาตีจึงจะแตก
ปัญญาหรือวิปัสสนาอันเดียวกัน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ใส่มันเข้าไป เอาก้อนเบื่อ ก้อนทุกข์นั่นแหละมาพิจารณาให้เห็นว่ามันไม่เที่ยง ไม่ต่างไปจากร่างกายที่โทรมลงไปทุกวันของเรานั่นแหละ มันไม่เบื่อจริงหรอก มันเบื่อๆ อยากๆ เอาความเบื่อหน่ายนั่นแหละมาพิจารณาให้เห็นว่า เออ ! เอ็งก็ไม่เที่ยง หากเห็นตามจริงว่า ความเบื่อหน่ายไม่เที่ยงจริงๆ จิตมันจะออกมาจากความเบื่อหน่าย ผลของจิตที่ออกมาคืออะไร จิตจะตื่นรู้ สงบ เยือกเย็น ถ้ายังเบื่อหน่ายอยู่ จิตยังเสวยอารมณ์นั้นอยู่ ถ้าออกมา จะไม่เบื่อหน่าย ความเบื่อหน่ายก็เป็นทุกข์ ความไม่อยากมี ไม่อยากเป็น เบื่อๆ นี้คือ วิภวตัณหา เป็นไฟสุมใจลึกๆ อยู่ เป็นไฟเย็น ดูยาก ไม่เหมือนโทสะ เห็นง่าย ต้องใช้สติ ใช้ปัญญามากสักหน่อย
ถ้าออกมาอยู่กับสติคือ ความรู้สึกตัว จะสลัดความเบื่อหน่ายออกไปได้ ระวังมันจะเป็นโมหะนะ หลงอยู่ในสุขอันเกิดจากการเบื่อโลก มันเหมือนไม่อยากแต่ก็ไม่หลุด ถ้าเบื่อจริงๆ คือ นิพพิทาญาณเกิด ตอนนั้นจิตจะคลายกำหนัดออกมาเลย พระพุทธเจ้าจึงบอกว่า เมื่อเห็นตามความเป็นจริงย่อมเบื่อหน่าย ตรงนี้นิพพิทาญาณ เมื่อเบื่อหน่ายก็คลายกำหนัด (วิราคะ) เมื่อคลายกำหนัดก็หลุดพ้น วิมุตติ นี่คือลำดับของการหลุดพ้นทุกข์
ปัญหาคือ เราต้องทำการบ้านข้อแรกให้แจ้งก่อนคือ การเห็นตามความเป็นจริง ตอนเดินแบบสบายๆ ต้องมีสติด้วยนะ มีความรู้สึกตัวตื่นอยู่ตลอด ไม่แช่อยู่ในความเบื่อ อย่างพวกชฎิลสามพี่น้องพอฟังธรรมพระพุทธเจ้า ต้องหาเหตุแห่งการเบื่อให้ได้นะ
หาสมุทัย ระวังจะเบื่อเพราะอำนาจของกิเลสด้วยตรงนี้อันตรายมาก สำหรับคนที่มีทิฏฐิมานะ แสดงว่า ไม่ใช่เหตุที่แท้จริง ถ้าหาเหตุเจอ ก็ดับที่เหตุ ความเบื่อก็ดับไป ไม่ยากเลยนะ
มีนักปฏิบัติหลายคน อันตรายมาก หลายคนเป็นหมอด้วย ชอบฝึกสมาธิแบบจิตรวมลึก มีความสุขมาก วันหนึ่งจิตตก จิตเสื่อม เข้าสมาธิไม่ได้ เบื่อหน่ายชีวิตขึ้นมา ฆ่าตัวตายไปเลย แต่ถ้าอบรมสติมาดีพอจะไม่เบื่อ ที่เบื่อแสดงว่า ขาดสติหรือสติไม่มีกำลังพอที่จะชนะความเบื่อได้ คนมีสติเขาจะตื่นรู้ สงบอยู่ในตัว จะไม่เบื่อหน่ายอะไรหรอก ถ้าขาดสติก็ให้หายใจเข้าลึกๆ ให้ตื่นรู้ขึ้นมา เบื่อกับทุกข์มันก็อันเดียวกัน ถ้าบอกว่าเบื่อแล้วสุข อันนี้ไม่ใช่เบื่อแล้วนะ เรียกว่า หลง ถ้าเบื่อจริงๆ ต้องเร่งเจริญสติ ภาวนา หาทางพ้นทุกข์ ถ้ายังขาดสติอยู่ยังเบื่อไม่จริง ถ้าเบื่อโลกก็ดีแล้วนะเพราะแท้จริงแล้วโลกน่าเบื่อ แต่ไม่ใช่เบื่อแล้วหยุดอยู่แค่นั้น พระพุทธเจ้าเห็นคนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ท่านก็เบื่อ แต่ท่านก็แสวงหาทางพ้นทุกข์ให้พ้นจากความเบื่อตรงนั้น ถ้ามีสติจะไม่เบื่อหรอก เพราะสติกับความเบื่อ มันอยู่คนละขั้วกัน คนมีสติดี พอเบื่อ เขาจะรู้เท่าทันออกมาอยู่กับสติเลย ในจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน จิตมีราคะก็ให้รู้ จิตมีโทสะก็ให้รู้ จิตเบื่อหน่ายก็ให้รู้ ให้อยู่กับรู้ ให้อยู่กับสติ อันนี้สวนทางกับมรรคแล้วนะ
พระอรหันต์นี่ท่านก็มีเบื่อแต่ท่านก็ไม่เอากับมัน พระอริยะปกติความเบื่อย่อมมีเป็นธรรมดา เพราะเวทนาขันธ์ยังทำงานอยู่นี่ แต่ท่านก็รู้เท่าทัน ไม่ให้ความเบื่อมาครอบงำจิตท่านได้ มันอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับสติ เมื่อใดที่เบื่อ เมื่อนั้นขาดสติก็เท่านั้นเอง ยังมีอีก อย่างพระอริยะบางท่าน ท่านก็เบื่อที่จะสอนญาติโยมนะ เพราะสอนยาก สอนเย็น แต่ท่านก็ไม่เอาความเบื่อนั้นมาเป็นอารมณ์ มาเป็นที่อยู่ของใจ ของไม่ดี จะเอามาถือไว้ทำไม อย่างชายถือก้อนเหล็กเผาไฟแดงฉานนั้นไง ทำไมไม่วาง เพราะเห็นผิดไง เห็นว่า ก้อนเหล็ก ก้อนทุกข์ ก้อนไฟนั้นเป็นของเขา พวกชฎิลสามพี่น้องก็เช่นกันเมื่อเห็นว่า ไฟที่เกิดจากอายตนะกระทบกันเพราะไม่รู้เท่าทัน เป็นของร้อนสุดๆ และไม่ว่าจะเป็นไฟราคะ โทสะ หรือไฟอะไรก็แล้วแต่ ต่างเกิดเพราะเหตุคือผัสสะ คือการกระทบ หมดเหตุก็ดับไปเป็นธรรมดา ไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยว หมายมั่น จิตท่านก็หดตัวเข้ามา คงไว้แต่เวทนาเท่านั้นที่เกิดและดับอยู่ ขณะนั้นธรรมารมณ์ (มโนภาพ) มากระทบใจท่านก็จริงอยู่ ภาพดีปรากฏก็เกิดอารมณ์ยินดี (สุขเวทนา) ภาพร้ายปรากฏก็เกิดอารมณ์ไม่ดี (ทุกขเวทนา) จิตท่านเห็นอยู่ ชัดแจ้งอยู่ ไม่เข้าไปฉวยคว้าปรุงแต่งให้เป็นฟืนเป็นไฟต่อไป อารมณ์เกิดอย่างไรก็ปล่อยให้ดับอยู่เฉพาะหน้าเช่นนั้น เห็นตามจริงว่า เออ ! ไฟกิเลส ไม่ว่าจะเป็นราคะ โทสะ ที่เราคอยปรุงแต่งอยู่ตลอดเวลานี่มันร้อนนะ จิตก็ไม่ปรุง ไม่แต่งต่อไปแล้วมาเห็นตามความเป็นจริงว่า ไม่ว่าจะเป็นไฟ จะเป็นอารมณ์ยินดี ยินร้ายล้วนเกิดแล้วต้องดับ ไม่เที่ยง จะถือเป็นเรา ของเราไม่ได้ ท่านมาเห็นความจริงเช่นนี้ จิตท่านก็เบื่อหน่ายที่จะเที่ยวตามจุดไฟอีกต่อไป เมื่อเบื่อหน่ายที่จะวิ่งตามอารมณ์น้อยใหญ่ ตามตะครุบมาจุดไฟเผาจิตเผาใจตนเอง ผลที่ตามมาก็คือ จิตท่านก็คลายกำหนัดออกมาจากไฟราคะ โทสะเหล่านั้น เมื่อคลายกำหนัด (วิราคะ) ก็หลุดพ้น วิมุตติ เมื่อหลุดพ้นก็รู้ว่า หลุดพ้น ไม่มีกิจต้องทำเพื่อการนี้อีกแล้ว ดุจชายที่ถือก้อนเหล็กเผาไฟ เห็นความเป็นจริงว่า ก้อนเหล็กเผาไฟอันนี้ หาใช่ของเราไม่ ก็ปล่อยวางลงเสีย ชายคนนั้นก็ไม่ต้องทนทุกข์ ทนร้อนอีกต่อไป
ผู้ปฏิบัติ : อ่านถึงตรงนี้ “ถ้าออกมาอยู่กับสติคือ ความรู้สึกตัว จะสลัดความเบื่อหน่ายออกไปได้ ระวังมันจะเป็นโมหะนะ หลงอยู่ในสุขอันเกิดจากการเบื่อโลก มันเหมือนไม่อยากแต่ก็ไม่หลุด ถ้าเบื่อจริงๆ คือ นิพพิทาญาณเกิด ตอนนั้นจิตจะคลายกำหนัดออกมาเลย” มีคำถามค่ะ ที่ว่า ระวังมันจะเป็นโมหะ หลงอยู่ในสุขอันเกิดจากการเบื่อโลก เป็นอย่างไรคะ คิดว่า คนที่เป็นจะไม่รู้ตัว ไม่เห็นตัวเองค่ะ มันเหมือนรู้สึกว่า เราปลงได้ เบื่อโลก แต่ที่จริงเป็นการปรุงแต่งอยู่ในความเบื่อ ไม่มีความรู้สึกตัว ไม่มีสติ ทำนองนี้หรือเปล่าคะ และที่จริงคือ ยังเบื่อไม่จริง ยังไม่เป็นเห็นตามจริง ซึ่งการจะเห็นตามจริงจนจิตหดตัว (อยู่ในคำอธิบายถัด ๆ มา) จะมีลักษณะที่ต่างออกไป ซึ่งเจ้าตัวจะรู้เอง แต่ว่า คนที่ปฏิบัติไม่ถูก ก็จะไม่เคยทราบว่า มันเป็นอย่างไร
ท่านทรงกลด : สาธุ ๆ ๆ เข้าใจถูกแล้ว
ผู้ปฏิบัติ : อีกตอนหนึ่ง ที่บอกว่า “ระวังจะเบื่อเพราะอำนาจของกิเลสด้วยตรงนี้อันตรายมาก” ขอให้ท่านอาจารย์อธิบายเพิ่มเติมด้วยดีกว่าค่ะ
ท่านทรงกลด : เบื่อเพราะกิเลส จะคิดฆ่าตัวตาย ไม่อยากอยู่