ถาม-ตอบ

การวางใจเมื่อถูกนินทา ใส่ร้าย

 

 

แสดงธรรมกลุ่มสายธารธรรม เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2560

 

ผู้ปฏิบัติ :  หากเราต้องเจอคนวาจาทุจริตต่อหน้า เช่น พูดโกหก บิดเบือนความจริงโดยไม่มีหิริโอตัปปะใด  เราจะวางใจเฉย ไม่เกิดเวทนา หรือความรู้สึกใดๆ ได้อย่างไรคะ

ท่านทรงกลด : จะห้ามเวทนาไม่ให้เกิดไม่ได้ ความรู้สึกห้ามไม่ได้ แต่เมื่อมันเกิด ให้เฝ้ามองมันด้วยการมีสติ รู้เท่าทันว่า มันไม่เที่ยง อนิจจัง เหมือนใบไม้ที่ต้องเหลืองร่วงลงจากกิ่ง ไม่มีอะไรที่เที่ยงแท้ เมื่อเห็นเนืองๆ ใจจะออกจากเวทนา และแยกจากเวทนา อยู่กับเวทนาได้โดยไม่ทุกข์ตามเวทนานั้นๆ  

สิ่งที่ลงให้อ่าน หากเอาไปใช้บ้างก็จะไม่ทุกข์กับคำคนมาก แสดงว่า  ยังไม่มีสติ ยังเที่ยววิ่งตามคำพูดคนอยู่ จิตส่งนอก  ต้องฝึกสติให้มากกว่านี้นะ อย่าอ่านผ่านๆ ไป ไม่เอาไปใช้ในชีวิตประจำวัน  ถ้าเอาไปใช้จะเห็นผลอย่างที่คนอื่นเห็น

เมื่อสิบปีก่อน ผมไปบวชปฏิบัติอยู่กับพระอาจารย์อนันต์ วัดมาบจันทร์ ศิษย์หลวงปู่ชา ท่านเล่าให้ฟังว่า วันหนึ่งเดินจงกรมอยู่ในป่า นึกในใจว่า ทำอย่างไรจึงจะรู้เห็นธรรมเร็วๆ คืนนั้น หลวงปู่ชาก็เทศน์เลยว่า การปฏิบัติที่จะรู้เห็นธรรมเร็วนั้น อยู่ที่อารมณ์นี่ อารมณ์ยินดีก็ให้มีสติรู้เท่าทัน อารมณ์ยินร้ายก็ให้มีสติรู้เท่าทัน รู้ว่า  ไม่มีอารมณ์ไหนจริงแท้ ล้วนไม่แน่เป็นอนิจจังทั้งนั้น ไม่ควรหมายมั่น 

คำสอนหลวงปู่ชาเหมือนพระพุทธเจ้าสอนพระโกณฑัญญะเลย (ทางสายกลาง) ครั้งแรกที่ฟัง เอ!  มันจะง่ายขนาดนั้นเลยหรือ ครั้นพอปฏิบัติดู ไม่ง่ายเลย เผลอให้อารมณ์มันกัดเอาทุกที แต่เมื่อทำจริงไม่ย่อท้อ จนสติต่อเนื่องไม่ขาดสาย จึงเห็นจริงดังที่หลวงปู่ชาสอน กราบพระพุทธเจ้า กราบหลวงปู่ชา ไม่สงสัยอีกต่อไป

ผู้ปฏิบัติ : จากผู้ปฏิบัติข้างต้น ถ้าวาจาทุจริตนั้นก่อให้เกิดผลร้ายทางโลกแก่เรา เช่น ทำให้คนเข้าใจผิด ก่อความเสียหาย เราควรจัดการอย่างไร หรือเราควรปล่อยไปและคิดเสียว่าเป็นเวรกรรมคะ

ท่านทรงกลด : ทางโลกก็จัดการชี้แจงเท่าที่จะทำได้ ทางธรรมให้ “จัดการ” อารมณ์ที่เกิดขณะที่ได้ยินวาจาทุจริตนั้น จัดการอย่างไร ให้ย้อนกลับไปอ่านข้อธรรมต่างๆ ที่ลงให้อ่าน อย่างเช่น โอวาทธรรมของหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี  ที่ว่า  “..ใจ นี่แหละเป็นผู้สร้างปัญหา ไปหลงอารมณ์ว่า เป็นตัวเป็นตน ใจจึงว้าวุ่นหาความสงบในชีวิตไม่ได้  ผู้มีปัญญาท่านจึงศึกษาอารมณ์ เพื่อแก้จิตใจไม่ติดข้องกับมัน เห็นอารมณ์ตั้งอยู่ตามสภาพของมัน  เป็นเพียงสภาวะที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติเท่านั้น  สุขเกิดขึ้นก็รู้ ทุกข์เกิดขึ้นก็รู้  จิตตามรู้อารมณ์ทุกขณะ  ถ้าจิตโน้มไปหาสุขเราก็ดึงมันไว้  ถ้าจิตโน้มไปหาทุกข์ เราก็ดึงมันไว้  ดึงมันด้วยวิธีใด  ที่จริงไม่ใช่การดึงหรอก  เพียงรู้ทันอารมณ์ทั้งสุข ทั้งทุกข์ ว่ามันเป็น “วัฏฏะ”  หมุนวนเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัย เมื่อรู้เท่าธรรมดาของโลกอยู่อย่างนี้  โดยไม่ติดข้องในอารมณ์ทั้งปวง  จะเป็นผู้ทำที่สุดแห่งทุกข์ได้..”