การรักษาสติทำได้ยาก ทำอย่างไรดี

แสดงธรรม กลุ่มสายธารธรรม เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2561
ผู้ปฏิบัติ : เรื่องสติ เวลาอ่านแล้วเหมือนเข้าใจ แต่พอปฏิบัติจริง การรักษาสติทำได้ยากมากเลยค่ะ ทำอย่างไรดีคะ
ท่านทรงกลด : ก็ต้องทำต่อไป ไม่มีคำแนะนำที่ดีกว่านี้ เพียรให้มาก ไม่งั้นคนก็บรรลุโสดาบัน อรหัตผลกันหมดแล้วสิ ขี้เกียจก็ต้องทำ ขยันก็ต้องทำ คำสอนหลวงปู่ชา หลวงปู่ชาสอนว่า ตั้งแต่เช้าลืมตาก็ปฏิบัติแล้ว จนกว่าจะเข้านอน หนังสือเขียนไว้หมด การเจริญสติปัฏฐานสี่ในชีวิตประจำวัน ลองไปอ่านแล้วนำไปใช้ดู
จะทบทวนให้ฟัง ตื่นมาเข้าห้องน้ำ เห็นอะไรไหม ขับถ่าย แปรงฟัน ล้างหน้า เห็นตามจริงของกายบ้างไหม ถ้าเห็นนั่นเท่ากับเจริญกายคตาสติแล้ว ทำกันบ้างหรือเปล่า แต่งหน้าแต่งตัว เคลื่อนไหวร่างกายไหม รู้สึกตัวขึ้นมาบ้างไหม ถ้าไม่รู้สึก หายใจเข้าลึกๆ เป็นไหม ตรงนั้นแหละสติ
กินข้าวเช้า เห็นอาหารบนโต๊ะไหม ก่อนกินดูสวยงามน่ารับประทาน กลิ่นหอม พอเข้าปากเท่านั้น เป็นไง เห็นหรือยังว่ากายนี้สกปรกจริง อะไรเข้าไป ต้องสกปรกตามไปด้วย นี่ก็กายคตาสติอีกแล้ว
คนในบ้านล่ะ ลูก สามี ภรรยา พูดจากระทบกระทั่งกัน เห็นอะไรไหม อารมณ์ที่เกิด ดูมันสิ มันเที่ยงไหม มันต้องเสื่อมดับไหม จริงๆ ถ้าเห็น มันจะเสื่อมดับ เคยดูมันบ้างไหม ถ้าดูได้ เห็นได้ นั่นแหละเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐานแล้ว
ระหว่างทาง เห็นต้นไม้ใบเหลืองเหี่ยวร่วงไหม เห็นกายนอก (รูปภายนอก) น้อมเข้ามากายใน
ถึงที่ทำงาน มีคำพูดกระทบหูตลอดเวลา ผัสสะเกิดแล้ว เวทนาเกิดแล้ว ดูมันบ้างไหม กลับมาบ้าน อาบน้ำอีกแล้ว เห็นหรือยังร่างกายสกปรก เห็นตามจริงหรือยัง
ก่อนนอน นั่งหายใจเข้าลึกๆ รู้สึกตัว หายใจออกรู้สึกตัว บ้างไหม นี่แหละอานาปานสติล่ะ หรือเดินไปมาให้รู้สึกตัวทุกขณะย่างก้าวที่เดิน จะเรียกว่าเดินจงกรมก็ได้ เป็นกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน (อิริยาบถ)
ก่อนนอน จะนั่งหรือนอน สาธยายอาการสามสิบสอง ผม ขน เล็บ ฟัน หนังบ้างไหม ถ้าทำได้อย่างนี้ตลอด สติมันจะโตขึ้นเอง โดยไม่ต้องบังคับ วันหนึ่ง จะเห็นมันทำงานอย่างอัศจรรย์ อย่างหลายคนเห็น เช่น พอมีอารมณ์มากระทบ สติจะมาตัดอารมณ์ให้ดับไปทันที ใจเราก็สงบขึ้นมาสิ สงบแม้ลืมตา ส่วนการทำงาน เราก็ทำไป มีอะไรมากระทบเราก็ดูมันเสียหน่อย รู้ทันมัน
ที่แสดงมา รู้ไหม ทำสติให้มันโต มันมีกำลังขึ้นมา “ก็เพราะใจมันเห็นตามจริงของรูปของนาม ของกาย ของอารมณ์ พอเห็นมันก็ผละออกมา แรกๆ จะเริ่มผละทีละน้อยๆ จะให้ผละออกมาตั้งมั่นเลย เป็นไปไม่ได้สำหรับคนยุคนี้ เพราะมันอยู่กันมาไม่รู้กี่ล้านๆ กัป จะมานั่งฟังธรรมะไม่กี่วันบรรลุ เป็นไปไม่ได้หรอก ก็ต้องให้มันค่อยๆ ผละออกมา พอมันเห็นตามจริง มันจะค่อยๆ ผละออกมา ธรรมชาติของใจหรือจิตเดิม มันเป็นสติอยู่แล้ว ขอยืนยันล้านเปอร์เซ็นต์
พอมันผละออกจากรูปจากนาม เกิดอะไร ความเป็นธรรมชาติของจิตเดิมก็ปรากฏสิ ธรรมชาติของจิตเดิมที่เป็นสติ จะปรากฎออกมา พระอรหันต์จึงมีสติบริสุทธิ์ไง จิตบริสุทธิ์นั่นแหละคือ สติบริสุทธิ์ นี่คือ ถ้อยคำของพระพุทธเจ้า ผมมาเป็นพยานให้แก่พระองค์เท่านั้นเอง พอปฏิบัติไปถึง จะเห็นได้ว่า สิ่งที่ท่านกล่าวไว้เป็นจริงทั้งนั้น ท่านไม่ได้มั่วหรือโกหกอะไรเลย
นอกจากพวกที่สอนไปบัญญัติอะไรขึ้นใหม่ๆ เห็นแล้วก็รู้ทันทีว่า “ไม่ใช่” คำตรัสของพระพุทธเจ้าถูกต้องที่สุด แต่ก็ต้องระวังอยู่อย่างหนึ่งเหมือนกัน คือไปเอาคำของพระองค์มาอธิบาย โดยยังไม่เข้าถึงหรือยังไม่เห็นสิ่งที่พระองค์กล่าวไว้ อันนี้อันตรายมากเพราะตีความผิด สอนผิดไปเลย พาคนหลงทาง ก็ต้องถือว่าเขามีกรรมกันมาอย่างนั้น หลงทางกันไปอย่างนั้น