ถาม-ตอบ

การปรินิพพานของพระสารีบุตร

แสดงธรรมกลุ่ม Natural Mind เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2558

 

ท่านทรงกลด  :  วันนี้จะเล่าเรื่อง การปรินิพพานของพระสารีบุตรให้ฟัง

ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะปรินิพพาน พระสารีบุตรท่านปรินิพพานก่อน เมื่อพระพุทธเจ้าจะเสด็จไปกรุงกุสินาราได้พบพระสารีบุตร พระสารีบุตรจึงได้ขอทูลลาไปปรินิพพาน คราวนี้พระสารีบุตรนึกถึงมารดาที่เป็นมิจฉาทิฏฐิเพราะพระสารีบุตรพาลูกๆ ของนางไปบวชหมด นางไม่ชอบพระพุทธศาสนาเลย กราบไหว้แต่พระพรหม พอไปถึงบ้านมารดา  มารดาก็จัดที่ให้นอนในห้องที่ท่านนอนตอนเด็กๆ ตอนนั้นพระสารีบุตรอาพาธแรงกล้ามาก โลหิตกำเริบ พระจุนทะน้องชายต้องคอยเปลี่ยนภาชนะรองโลหิตเป็นระยะๆ พระสารีบุตรน่าสงสารมาก ตอนอยู่เป็นพระก็เสียสละมากที่สุด ว่ากันว่า ท่านจะออกจากวัดเป็นรูปสุดท้ายเพราะต้องคอยปัดกวาดอาสนะ ดูแลความเรียบร้อยก่อนไปบิณฑบาต   ตกกลางคืนท้าวมหาราชทั้งสี่ (เทวดา) ก็มาเฝ้าพระสารีบุตร  พระสารีบุตรถามว่า พวกท่านเป็นใคร มาทำไม พวกเขาตอบว่า เป็นท้าวมหาราชทั้งสี่ มาเพื่อดูแลท่าน พระสารีบุตรบอกว่า เรามีพระดูแลอยู่แล้ว พวกท่านไปเถิด 

พระอรหันต์ท่านจะพบเห็นเทวดาเป็นปกติ พวกนี้เขามาแสดงตัวเป็นๆ ให้ดูเลย ไม่ต้องไปเข้าฌานอะไร  เพราะจิตท่านบริสุทธิ์แล้ว  หลวงปู่ดูลย์ก่อนละสังขาร พระที่ดูแลท่านก็เห็นหลวงปู่เหมือนพูดกับใครที่มองไม่เห็นตอนดึกๆ ท่านพูดธรรมะนะ ไม่ใช่เพ้อแบบคนป่วย 

พระสารีบุตรก็เหมือนกัน คืนต่อไปก็มีท้าวสักกะ (พระอินทร์) มาอีก ท่านก็ให้กลับไปอีก คืนต่อมามีแสงสว่างจ้าเต็มบ้านไปหมด มารดาก็ไปถามว่า สองสามคืนนี้ใครมาหาหรือ พระสารีบุตรก็ตอบว่า มีท้าวมหาราช ท้าวสักกะ ท้าวมหาพรหม มารดาก็ตกใจ ไม่รู้ถึงความยิ่งใหญ่ในบารมีของพระบุตรชายมาก่อนก็ถามว่า เจ้าเป็นใหญ่กว่าท้าวมหาราชและท้าวสักกะอีกหรือ พระสารีบุตรตอบว่า ท้าวมหาราชนี้เหมือนเด็กวัด ท้าวสักกะเหมือนสามเณรคอยถือของ ส่วนท้าวมหาพรหมที่มาคืนล่าสุด ตอนพระพุทธเจ้าประสูติก็ใช้ข่ายทองมารับ  มารดาพระสารีบุตรได้ยินดังนั้นก็คิดว่า โอ้ ! บุตรเรายังมีอานุภาพถึงเพียงนี้ แล้วพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นพระอาจารย์ของบุตรเราจะมีอานุภาพเพียงใด แล้วเกิดปิติโสมนัสอย่างแรงกล้า พระสารีบุตรเห็นเช่นนั้นจึงแสดงธรรม พอจบธรรมเทศนา นางบรรลุโสดาปัตติผล แล้วอุทานว่า พ่ออุปติสสะ (ชื่อเดิมของพระสารีบุตร) เหตุไรเจ้าจึงได้กระทำอย่างนี้ล่ะลูก ทำไมเจ้าไม่ให้อมตธรรมอย่างนี้แก่แม่ ทำไมปล่อยเวลาล่วงเลยมาถึงบัดนี้ พระสารีบุตรคิดว่า บัดนี้ค่าข้าว ค่าน้ำนมที่แม่ให้ก็ได้รับการชดใช้แล้ว จากนั้นพระสารีบุตรก็ถามถึงเวลากับพระภิกษุ พระภิกษุทั้งหลายตอบว่า จวนสว่างแล้ว พระสารีบุตรบอกให้ประชุมสงฆ์และขอขมาแก่สงฆ์ แล้วรับขอขมาจากสงฆ์ จากนั้นจึงนอนดึงจีวรมาปิดหน้า นอนโดยตะแคงข้างขวาแล้วปรินิพพาน

มารดาพระสารีบุตรทำอย่างไร นางไม่รู้ว่าพระสารีบุตรปรินิพพานก็เดินเข้ามาในห้องอีกครั้ง เห็นลูกชายเงียบไป ไม่พูด นางก็เอามือไปนวดเท้าที่เย็นเฉียบจึงรู้ว่าลูกชายตายแล้ว นางเสียใจปิ่มว่าจะขาดใจ หมอบลงที่เท้าพระสารีบุตร กล่าวว่า พ่อ (เรียกพระสารีบุตร) พวกเราไม่รู้คุณของพ่อมาก่อนเลย บัดนี้มารู้คุณ พ่อก็จากไปเสียแล้ว แม่ไม่ได้เคยนิมนต์ภิกษุหลายพัน หลายแสน รวมทั้งตัวพ่อ เพื่อให้มานั่งฉันในเรือนนี้ แม่ไม่ได้นุ่งห่มจีวรและไม่ได้ทำบุญสร้างวิหารอะไรเลย นางคร่ำครวญเสียใจ แต่นางก็โชคดีที่สุดที่ได้บรรลุโสดาปัตติผลก่อนลูกชายปรินิพพาน 

เมื่อทำพิธีศพเสร็จ พระจุนทะน้องชายก็นำจีวรและบาตรไปถวายพระพุทธเจ้าที่กำลังจะปรินิพพานเหมือนกัน พระพุทธเจ้าก็กล่าวสรรเสริญพระสารีบุตรให้ภิกษุทั้งหลายฟังเป็นอันมาก แล้วทรงหันมาถามพระอานนท์ว่า อานนท์ สารีบุตรปรินิพพาน พาเอาศีลขันธ์ สมาธิขันธ์ ปัญญาขันธ์ วิมุติขันธ์หรือวิมุติญาณทัสสนะขันธ์ ปรินิพพานไปด้วยหรือไม่

พระอานนท์ตอบว่า หามิได้พระเจ้าข้า เพราะเมื่อปรินิพพานแล้วที่เหลืออยู่คือ จิตที่บริสุทธิ์ล้วนๆ ไม่มีอารมณ์มารบกวนข้องเกี่ยวอีกต่อไป สิ่งที่พระพุทธเจ้าถามมานั้น เป็นเพียงเครื่องครองตอนขันธ์ยังอยู่เท่านั้น เหมือนบุรุษข้ามฝั่งน้ำโดยแพ เมื่อถึงฝั่งก็วางแพไว้หาได้แบกไปด้วยไม่ พระสารีบุตรปรินิพพานไปนานแล้ว เลิกเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสารไปชั่วอนันตกาล ผู้รู้อย่างพวกเราอย่าข้องอยู่เลย เร่งพากันปฏิบัติไปให้พ้นจากโลกที่เต็มไปด้วยทุกข์ใบนี้เถิด โลกนี้มีไว้สำหรับคนเขลาเท่านั้น นั่นคือเรื่องของพระสารีบุตร

 

ผู้ปฏิบัติ : พระสารีบุตรแสดงธรรมให้มารดาฟังเรื่องอะไร มารดาท่านจึงบรรลุโสดาบัน

ท่านทรงกลด​ : แสดงเรื่องขันธ์ห้า เรื่องทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ การดับทุกข์ และหนทางดับทุกข์

ผู้ปฏิบัติ : เมื่อพระสารีบุตรปรินิพพานแล้ว มารดาท่านที่เป็นพระโสดาบันแล้วพอทราบว่า พระสารีบุตรปรินิพพานก็เสียใจปิ่มว่าจะขาดใจ พระโสดาบันเพียงแค่แยกกาย แยกจิตได้ ยังเสียใจได้อยู่ใช่ไหมคะ

ท่านทรงกลด : พระโสดาบันแยกจิตกับขันธ์ห้าได้ ไม่ได้เฉพาะกายอย่างเดียว เห็นขันธ์ห้าว่าไม่ใช่เรา ของเรา แต่ยังละความเสียใจ ดีใจไม่ได้ ละอารมณ์ยังไม่ได้ ชั้นเห็นกับชั้นละคนละชั้นกัน เอวัง