ถาม-ตอบ

การบ้านข้อ 4  สติคือความรู้สึกตัว

แสดงธรรมกลุ่ม Natural Mind  เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2559

 

ท่านทรงกลด  :  เมื่อได้อ่านศึกษา  ทำความเข้าใจและลงมือปฏิบัติตามแนวสติปัฏฐานสี่มาแล้ว  ขอให้พิจารณาการบ้านข้อ 4 โดยการ ให้หายใจเข้าลึกๆ แล้วกลั้นลมหายใจไว้ นับหนึ่งถึงสิบช้าๆ ในใจ แล้วให้อธิบายความรู้สึกในขณะนั้น ห้ามตอบเกินสามประโยค เขียนคำตอบของตนเองไว้ แล้วค่อยๆ พิจารณาอ่านธรรมที่แสดงไว้ ดังต่อไปนี้

ผู้ปฏิบัติ 1 :   เห็นกายกำลังอึดอัด เห็นใจดิ้นรน พยายามนับให้เร็วขึ้นเพื่อจะได้ออกจากภาวะนั้นให้เร็วที่สุด

ท่านทรงกลด : จิตไปอยู่กับทุกขเวทนาที่เกิดจากการกลั้นลมหายใจ 

 

ผู้ปฏิบัติ  2  :  แน่น อึดอัด แต่มีความรู้สึกสงบลึกๆ ในนั้น

ท่านทรงกลด :  รู้สึกแน่นอึดอัดนั่นคือทุกขเวทนาเหมือนกัน แต่มีโผล่มาตอนจบให้เห็น ความรู้สึกสงบลึกๆ ในนั้น นั่นแหละคือสติอ่อนๆ

 

ผู้ปฏิบัติ  3 :  การบ้านที่ท่านให้ทำ  มันตรงกันข้ามกับที่นั่งสมาธิอยู่ทุกวัน เลยอยากรู้ว่าเราทำไม่ถูกวิธีหรือ และถ้าไม่ถูกวิธีทำไมจิตมันนิ่ง น้ำตาท่วมทะลักทุกวัน  จิตเบา กายเบา เหมือนลอยอยู่ในอากาศ  กล่าวคือ ก่อนจะนั่งสมาธิไม่จำต้องจัดท่าทาง ท่าไหนก็นั่งได้ จิตสงบเกือบจะทุกครั้ง  แต่วิธีหายใจต่างกันคือ  ถ้าหายใจปกติอยู่อย่างไร  นั่งสมาธิก็แค่ยกจิต(วิตก) ว่า จะดูลมนะ หายใจเข้าแล้วหายใจออก  ปล่อยลมให้สุดหรือหมดในท้อง  แล้วก็หายใจเข้าใหม่  ครั้งที่สองนี้ลมจะเริ่มเบากว่าครั้งแรกแล้วลมออกก็เบาๆ ๆ เรื่ิอยๆ ไม่เกินสิบครั้ง  น้ำตาจะเริ่มไหลอีก  แป๊บเดียวจิตก็จะนิ่งเฉยๆ อยู่  นี่คือที่ทำอยู่ทุกวัน  เวลาลมเข้ารู้สึกบรรยายไม่ถูก  เมื่อกลั้นลมไว้จะไม่มีความคิด ใจเต้นแรง ลมออกยาวกว่าลมเข้า ค่อยๆ ไหลออกเบาๆ แต่ตอนหายใจเข้าแล้วกลั้นลมไว้มันกลั้นไม่อยู่  เหมือนลมมันค่อยๆ รั่วออกจากลูกโป่งแล้วสมาธิไม่เกิดค่ะ  ทำผิดเหรอคะถึงได้ทำความรู้สึกตัวทั่วพร้อมยังไม่ได้

ท่านทรงกลด  :  การบ้านข้อนี้ทำให้เห็นว่า ท่านเป็นนักปฏิบัติที่มีของเก่ามากทีเดียว จิตเป็นสมาธิไม่ยากเลย หายใจไม่กี่ครั้งก็มีปิติเกิด ที่ท่านถาม มันตอบอยู่ในตัวเสร็จ  นี่ นักปฏิบัติที่ไม่หลอกตัวเอง จะแก้ไม่ยาก แล้วจะก้าวหน้าไวต่อไป   

ท่านไปดูลม เอาลมเป็นอารมณ์ เป็นเครื่องอยู่ของจิต จนชิน หายใจไม่กี่ครั้งก็ปิติเกิด น้ำตาไหล แล้วจิตก็สงบซุกอยู่กับความสงบตรงนั้น แต่ไม่มีสติเลย พอผมให้การบ้านข้อนี้ไป จึงรู้ว่า สมาธิไม่เกิด ทำไมถึงได้ทำความรู้สึกตัวทั่วพร้อมไม่ได้  

ถ้ามีสติอย่างแท้จริง ลืมตา หลับตา หายใจเข้า ออก กลั้นหายใจ สมาธิก็จะมีอยู่ตลอดเวลา เพราะจิตที่อยู่กับสตินี่แหละคือสมาธิที่แท้จริง (สัมมาสมาธิ) ในมรรคมีองค์แปด สัมมาสติจึงมาก่อนสัมมาสมาธิไงล่ะ ท่านก็บอกอยู่ในตัวว่า แค่ยกจิตว่าจะดูลม (เอาลมเป็นวิตก) หายใจเข้าออก ลมเบา ความรู้สึกเบา นั่นคือ จิตไปอยู่กับลมแล้ว เลยรู้สึกเบา ปิติ น้ำตาไหล จิตที่อยู่กับสติก็มีปิติเหมือนกัน แต่เป็นปิติที่เป็นไปเพื่อการตรัสรู้ธรรม 

ทางแก้ คือท่านจะต้องฝึกหายใจใหม่ หายใจเข้าให้รู้สึกตัวทั่วพร้อม หายใจออกก็เหมือนกัน (จริงๆ เขียนไว้ในหนังสือเรื่องอานาปานสติฉบับย่อแล้ว) ถ้าท่านไม่แก้ ท่านก็จะติดอยู่อย่างนี้ จงทิ้งลมหายใจ มาอยู่กับสติให้ได้ จึงจะไปต่อได้นะ 

 

ผู้ปฏิบัติ 4 :  เมื่อเราสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “สติ” คือความรู้สึกตัวทั่วพร้อมก็จะเกิด หายใจเข้ารู้ หายใจออกรู้ หายใจเข้าหรือออกเป็นธรรมชาติ  จะทำให้เกิด “สติ สมาธิ ปัญญา”

ท่านทรงกลด : ยินดีด้วยนะ ที่พบทางสายกลางแล้ว ให้รักษาความรู้สึกตัวนี้ไว้อย่างสม่ำเสมอ ยืน เดิน นั่ง นอน กิน พูด ดื่ม คิด ให้รู้สึกตัว แล้วรู้อยู่กับที่ หลวงพ่อเทียน เคยจับพระหรือสามเณร มากระทืบเท้าอยู่ทั้งคืน เพื่อให้หาความรู้สึกตัวที่ว่านี้ให้พบ 

อย่างการเดินจงกรมนี่ก็เหมือนกัน ใครจะเอาอย่างผมไปใช้ก็ได้นะ (จริงๆก็เขียนไว้ในเรื่องอานาปานสตินั่นแหละ) เวลาเดินให้ทำความรู้สึกตัวไปมาให้มาก หรือถ้าไม่รู้สึกตัว ก็หายใจเข้าลึกๆ แล้วจะพบ อย่างที่ผู้ผู้ปฏิบัติรายนี้พบ หรือจะเดินไป พิจารณากาย ผม ขน เล็บ ฟัน หนังก็ได้ ให้เห็นเป็นของไม่สะอาดด้วยกลิ่น สี ที่เกิด ที่อยู่ สัณฐาน ให้เห็นเป็นอนิจจัง ถ้าเดินจงกรมขอให้เดินแบบนี้ ที่เคยทำมา หากอยากจะรู้เห็นธรรม ขอให้วางก่อน หรือจะเดินพุทโธ พอจิตสงบก็พิจารณากายก็ได้

 

ผู้ปฏิบัติ  5  :  หายใจเข้า เปรียบด้วย อาการเกิด ค้างไว้ เปรียบด้วย อาการแก่ เจ็บ หายใจออก เปรียบด้วย อาการตาย

ท่านทรงกลด :  จะหายใจแบบนี้ก็ได้ นี่คือหายใจด้วยปัญญา เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เห็นลมแบบนี้ แล้วโยงไปถึงอารมณ์ต่างๆ ก็ไม่ต่างจากลม ท่านเชื่อไหมว่า  การหายใจแล้วพิจารณาแบบนี้ ทำให้เกิดสติได้ เพราะอะไร เพราะขณะที่เห็นลมสักแต่เกิดสักแต่ดับ ไม่มีแก่นสาร เห็นอารมณ์ทั้งปวง สักแต่เกิดขึ้นแล้วดับไปไม่ต่างไปจากลม หากเห็นอย่างนี้จริงๆ จิตมันจะถอนออกมาจากลม จากอารมณ์ 

ผมบอกแล้วว่า หากเห็นธรรม จะเห็นสติกับจิตนี้อยู่ติดกันเลย สติจะอยู่ก่อนถัดมาคือจิตเรา พอจิตมันถอนออกมาจากลม จากอารมณ์ เพราะเห็นความไม่เที่ยงของลม ของอารมณ์บ่อยๆ หรือเรียกว่าเห็นตามจริง หรือเรียกว่าเห็นชอบ หรือสัมมาทิฏฐิ  จิตที่ถอนออกมานี่แหละ เรียกว่าสัมมาสังกัปปะ ขณะที่ถอน วาจา กิริยา ก็เงียบสงบโดยอัตโนมัติ (เร็วมาก) มาชนกับสติทันที เรียกว่าสัมมาสตินั่นเอง พอชนแล้วตั้งมั่นอยู่กับสติ เรียกว่าจิตตั้งมั่น เกิดอะไร นั่นไง สัมมาสมาธิ สมาหิโต ยถา ปชา นาติ เมื่อจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ (สัมมา) ก็จะรู้เห็นตามความเป็นจริง นี่ การเห็นธรรมเกิดขึ้นขณะจิตนี้แหละ จิตแยกจากขันธ์ห้า  อารมณ์ได้เด็ดขาด ถึงตอนนั้นก็หายสงสัยสนิท ไม่ต้องไปเที่ยวถามใครอีกเลย 

หลวงปู่ชาบอกว่า สักขีภูโต เรานี่เองเป็นพยานให้กับตนเอง หายสงสัยอย่างไร บอกไม่ถูกเหมือนกัน ต้องลองมาเป็นเอง มันเป็นปัจจัตตังจริงๆ เห็นไหม สติก็ทำให้เกิดปัญญา ปัญญาคือการเห็นรูปนามตามจริง ก็ทำให้เกิดสติ สมาธิก็คือสติปัญญารวมกัน หรือจะเรียกว่ามัคคสมังคีก็ได้ 

 

ผู้ปฏิบัติ 6 :  ลมไม่ใช่เรา

ท่านทรงกลด  :  ถูกแล้ว ลมไม่ใช่เรา แม้ความรู้สึกตัวทั่วพร้อมที่เกิดขณะหายใจเข้าก็ไม่ใช่เรา สติไม่ใช่เรา เราไม่ใช่สติ

สติเป็นเพียงเครื่องรู้ของจิต นี่ครูบาอาจารย์พูดไว้ตรงกัน หรือเรียกว่าตัวรู้ก็ได้ เราอาศัยสติเป็นสะพานไปสู่การค้นพบตัวเองคือจิตนั่นเอง เพราะสตินี่แหละสามารถทำให้เราแยกตนออกมาจากขันธ์ห้าทั้งปวงได้ ผู้ใดพบจิต ผู้นั้นพบตน

หลวงปู่ชาก็บอกไว้ หลวงปู่มั่นก็บอก เห็นจิตเห็นตนคือเห็นธรรม ถึงจิตคือถึงตนถึงธรรม ต้องทิ้งสติอีกทีหนึ่ง จึงจะถึงตนอย่างแท้จริง ที่นักปฏิบัติชอบพูดกันเสมอนั่นแหละ พบผู้รู้ให้ฆ่าผู้รู้ เลยกลายเป็นวลีตลาดไป จริงๆ แล้ว มันไม่ง่ายขนาดนั้น มันลึกซึ้งมาก หลวงปู่ดูลย์บอกว่า ผู้รู้นี่ (สติ) อยู่ชั้นในสุดที่ต้องละ  ชั้นนอกๆ นี่ ยังไม่ค่อยจะรู้จักกันเลย ยังละอะไรกันไม่ได้เลย ริจะไปละชั้นใน ถ้าหลวงปู่ดูลย์มาเห็นการสอนธรรมแบบนี้ ท่านคงขำกลิ้งทีเดียว ถ้าทิ้งผู้รู้ได้นี่คืออะไรรู้ไหม  บางคนถ้ารู้แล้ว อาจจะไม่อยากทิ้งก็ได้นะ  ทิ้งผู้รู้ได้คือพระอรหันต์ จะทิ้งไหม ลูกเอย เมียเอย สามีเอย ทรัพย์สมบัติพัสถานเต็มไปหมด ยังทิ้งไม่ได้เลย  ถ้าเป็นพระอรหันต์ทิ้งหมดนะจะบอกให้ ท่านไม่เอาสักอย่าง หลวงปู่ดูลย์จึงบอกว่า ทิ้งหมดได้หมด  การปฏิบัติธรรม จึงว่าค่อยๆเป็นค่อยๆไป พอเริ่มปฏิบัติ ก็จะเอาผู้รู้ จะทำลายผู้รู้กันเสียแล้ว  สตินี่ เป็นอย่างไร ยังไม่รู้จักกันเลย  ในเบื้องต้น ขอให้เอาสติก่อนเถิด หามันให้เจอ อยู่กับมันไปก่อน อย่าเพิ่งไปฆ่า ไปทำลายมันเลย

 

ผู้ปฏิบัติ  7 :  ทิ้งผู้รู้คือทิ้งความคิด ทิ้งทุกสิ่ง เหลือเป็นอนัตตาใช่ไหมคะ ไม่งั้นพระพุทธเจ้าจะบอกหรือว่า สติเป็นธรรมที่มีอุปการะคุณมาก 

ท่านทรงกลด :  ไม่ใช่ครับ ผู้รู้ก็ผู้รู้ ความคิดก็ความคิด คนละอันกัน แต่สุดท้ายต้องทิ้งทั้งหมด จึงจะถึงอรหัตผล

เอาแค่หาผู้รู้ให้พบก่อน  นี่ก็ยากแล้วนะ จะพบผู้รู้ได้ ต่อเมื่อจิตกับสติรวมเป็นหนึ่งคือ  พระโสดาบันนั่นเอง ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน หรือพุทธะนี่ก็คือ  พระโสดาบันนี่แหละ หายใจเข้าลึกๆ ก็ตื่นมาเฮือกหนึ่ง เดี๋ยวหลับไปอีกแล้ว  จึงต้องคอยรู้ คอยตื่นอยู่เสมอ  ผมจึงบอกให้อยู่กับรู้ไงล่ะ ถ้าอยู่กับรู้ก็คืออยู่กับสติ อยู่กับสติมันก็ตื่นอยู่ในตัว แต่ยังตื่นไม่จริง ตรงความรู้สึกตัวนี่ หรือสตินี่ มันมีความสงบ เยือกเย็นซุกซ่อนอยู่อย่างเร้นลับ ถ้าพบแล้ว ความเยือกเย็นนี่ ก็จะค่อยๆ ครอบคลุมจิตใจ ใจก็ชุ่มด้วยสติอยู่ตลอดเวลา  สมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้า บางที ท่านก็สอนไม่กี่ประโยค คนก็บรรลุอรหัตผลเลย ท่านสอนว่า ท่านจงมีสติ และออกมาจากความเศร้าหมองของกามเสีย เนี่ย แม้เรื่องกาม เรายังละไม่ได้เลย เราจะเรียนลัดไปฆ่าผู้รู้กันแล้ว มันจะได้หรือ หลวงตามหาบัว ท่านละกามก่อน จึงจะไปจัดการผู้รู้ เพราะท่านไปเดินจงกรม แล้วเกิดความรู้ผุดขึ้นว่า หากยังมีต่อมผู้รู้อยู่ที่ใด ก็ยังมีภพอยู่  ตอนนั้นท่านบรรลุอนาคามีแล้ว ภพของท่านที่จะไปหากไม่บรรลุอรหัตผลคือ  พรหมชั้นสุทธาวาส ยังต้องไปเกิดเป็นพรหมที่นั่นอีก  

ท่านจงมีสติ และออกมาจากความเศร้าหมองของกามเสีย นี่คือคำสอนของพระพุทธเจ้า  มีสติก็คือมีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ขณะนั้นจิตก็ตั้งมั่นอยู่กับสติแล้ว ออกมาจากความเศร้าหมองของกามก็คือ  อารมณ์ทั้งหลาย จิตที่ตั้งมั่นอยู่กับสติ มีกำลัง พอพระพุทธเจ้าตรัสสอนเช่นนั้น ก็ถอนตนออกจากความเศร้าหมองของกามคือกิเลสทั้งหลาย ออกมาเป็นจิตที่บริสุทธิ์ มีสติบริบูรณ์ อยู่ตรงนั้น ตรงกับที่หลวงปู่มั่นบอกว่า จิตที่พ้นไปจากอารมณ์ทั้งหลายได้ เรียกว่า บริสุทธิ์ นั่นเอง  สติเป็นธรรมที่จะนำเราไปสู่ความบริสุทธิ์แห่งจิต ไปสู่การดับทุกข์ ดับเพลิงกิเลสได้อย่างสิ้นเชิง 

การบ้านที่ผมนำมาถาม ไม่ได้ถามมั่วๆ นึกไปเองนะ พอเราเจริญภาวนา จนรู้เห็นอะไร ยิ่งภาวนาลึกเข้าไปๆ สติก็แสดงตัวออกมาชัดขึ้นๆๆ จนบางทีมันมีกำลัง (พละ) มหาศาล หยุดกิเลสได้อย่างสนิท (แต่ยังไม่สนิทเต็มร้อย) มิน่าเล่า ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย แม้จะเริ่มต้นด้วยพุทโธ พอบรรลุอรหัตผล จึงกล่าวไปเสียงเดียวกันว่า “สติ” เพราะพระอรหันต์คือผู้มีสติบริบูรณ์ คือสติเต็มร้อย อย่างที่พระพุทธเจ้ากล่าวไว้นั่นเอง และสติอันนี้ ก็เป็นสติอันเดียวกับตอนที่เราทำอานาปานสตินั่นแหละ คือหายใจเข้าแล้วรู้สึกตัวทั่วพร้อมขึ้นมา จริงๆ สติกับจิตก็มีสภาวะเหมือนกัน แต่คนละอันกัน แต่อยู่ใกล้กันที่สุด (ถ้าเห็นธรรมจะเห็นอย่างที่ผมพูด) จะเรียกว่าติดกันเลยก็ว่าได้

หลวงปู่เทสก์ก็เคยบอก (ภายหลังมาอ่านพบ ช่างตรงกันจริงๆ)  ท่านบอกว่า อยากรู้ว่าจิตมีสภาวะอย่างไรก็ให้หายใจเข้าลึกๆ แล้วกลั้นไว้ ตรงนั้นมันจะรู้สึกตัวเหมือนตื่นขึ้นมา จับความรู้สึกตัวตรงนั้นให้ได้ นั่นแหละคือสติ คราวนี้จะยืนเดินนอนนั่ง ก็ประคับประคองใจให้อยู่กับสติ  

ถ้าเราเจริญสติจนแยกสติ หรือจิตกับอารมณ์กับทุกขเวทนาได้ จะลืมตาหลับตา ก็จะสุขตลอด เพราะจิตไม่ไปจับทุกขเวทนาใดๆ เลย ทุกขเวทนาเขาก็มีตามปกติ อย่างเช่น มีดบาด เพื่อนด่า มันก็มีของมันอย่างนั้น แต่จะมีในลักษณะต่างคนต่างอยู่ ไม่เกี่ยวข้องกัน นึกภาพดูสิ คนๆ นี้จะมีความสุขขนาดไหน ทุกขเวทนามาไม่ถึงจิตเลย จะมีหนี้สักพันล้าน เพื่อนโกงสักร้อยล้าน ก็นิ่ง สงบอยู่ได้ เขาเรียกว่าจิตไม่เสวยอารมณ์ทุกข์ที่เกิดเลย เป็นเพียงแค่ผู้ดู ผู้เห็น อย่างที่คุณจ๊อดกำลังทำอยู่นั่นแหละ แต่มันจะเป็นการดู การเห็นที่เด็ดขาด เหมือนเรานั่งดูละครน้ำเน่าอยู่ แต่จิตเราไม่เข้าไปพัวพันกับอารมณ์ที่นักแสดง แสดงออกมาเลยแม้แต่นิด