ถาม-ตอบ

การบ้านข้อ 3 ตัวเราใช่เราหรือไม่

แสดงธรรมกลุ่ม Natural Mind เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2559

 

ท่านทรงกลด  :  เมื่อได้อ่านศึกษา  ทำความเข้าใจและลงมือปฏิบัติตามแนวสติปัฏฐานสี่มาแล้ว  ขอให้พิจารณาการบ้านข้อ 3 ด้วยการมองตัวเองในกระจก แล้วพิจารณาดูว่า ที่เห็นนั่นใช่เราหรือไม่ เพราะอะไร  เขียนคำตอบของตนเองไว้ แล้วค่อยๆ พิจารณาอ่านธรรมที่แสดงไว้ ดังต่อไปนี้

 

ผู้ปฏิบัติ 1 :  ดูตัวเองแล้ว เป็นเช่นนี้ จริงๆ  สาธุค่ะ

สุริยาฉายแสง แรงกล้า ก็ถึงครามืด 

ศศิธรเรืองอร่าม ยามราตรี ยังมีกาลแรมลับ

ลาภยศสรรเสริญ ดังดอกไม้บาน ไม่นานก็แห้ง

ชีวิตตั้งแต่วัน เกิดขึ้น ก็บ่ายหน้าสู่ตาย

กายที่เปล่งปลั่ง ดั่งทองทา ย่อมอืดพองเน่าเหม็น

ตาเคยงดงาม บุรุษเหลียว ถอนออกนอกเบ้า

ลิ้นช่างเจรจา ไพเราะ แลบพองจุกคับปาก

กายไม่เคยขาดจากน้ำหอม กลับส่งกลิ่นเหม็นคลุ้ง

คนที่เคยกกกอด บอกรัก รังเกียจไม่ยอมเข้าใกล้

ท่านทรงกลด : สาธุในคำตอบ  มองดูหน้าตาตัวเอง ก็ปลง ไม่เที่ยงเลยจริงๆ  หนังห่อหุ้มเนื้อ เลือด หนอง สิ่งปฏิกูลแท้ๆ มาเคลือบทา กระโหลกหนา เบ้าตาเป็นโพรง ฟันก็หลุดก็ร่วงตามกาล อนิจจา เราผู้อาศัย เพียงชั่วคราว  นี่คือการเห็นชอบคือ สัมมาทิฐิ  เห็นกายตามจริง ภาพที่เห็นในกระจกนั้น คือภาพเงา  การที่ผมให้ไปมองในกระจก จะได้เห็นภาพตนเองอย่างชัดเจน  

ทุกเช้า ทุกเย็น มองในกระจก ให้เห็นแบบนี้นะ เห็นตามจริงแบบนี้  เห็นตัวเองให้ชัด  เงานั้นไม่จริง แม้ตัวเราก็ไม่จริง เงาไม่มีตัวตนจริงๆ มันหลอกเรา  กายเราก็เช่นกัน ไม่มีตัวตนจริงๆ หรอก มันหลอกเราเช่นกัน  วันนี้ดี ไม่กี่วันก็อืดพอง มีน้ำเลือด น้ำหนอง เยิ้มออกมา แล้วก็ผุพังไปเป็นดิน ไปเป็นน้ำ ตามที่มันเคยเป็นของมัน ไม่มีตัวตนที่เป็นเรา ของเราได้สักอย่างเลย

ผมเคยดำ ขนคิ้ว ตาเคยสุกใส แก้มเคยเปล่งปลั่ง บอกมันว่าอย่าเหี่ยว อย่าเสื่อมได้ไหมล่ะ เห็นเงาตนเองในกระจก ลองตะโกนถามมันสิว่า เองเป็นใคร  มาจากไหน แล้วจะไปที่ไหน  เคยถามกันบ้างไหม มันไม่ตอบครับเมื่อมันไม่ตอบ จะถือว่าเป็นเรา ของเราได้ไหมล่ะ ตอนจบจะเฉลยรวบยอดให้ฟังว่า ทำไมจึงให้มองกระจก  กระจกที่ให้มอง คือกระจกส่องใจนะครับ

 

ผู้ปฏิบัติ 2 :  “ภาพเงา” ก็จริง  “ภาพจริง” ก็เงา (จงเข้าไปอยู่ ระหว่างธรรม ทั้งสองฝ่าย)  เพราะโลกก็จริงของโลก….ธรรมก็จริงของธรรม…. 

ท่านทรงกลด  :  ภาพเงาก็ไม่จริง  ภาพจริงก็ไม่จริง  ไม่มีอันไหนจริงสักอย่าง เงาที่เห็น แน่ล่ะคือเงา ไม่จริงแต่จะมีใครสักกี่คน ที่จะเห็นว่าภาพที่ทำให้เกิดเงา คือตัวตนเรานี้ ก็ไม่จริงเหมือนกัน อันไหนที่จริง อันนั้นก็ต้องไม่เสื่อม ไม่ดับ มีใครเกิดมาแล้วไม่ตายบ้าง เห็นตายทุกราย ต่อให้ใหญ่คับฟ้าแค่ไหนก็ต้องตาย  ไม่มีใครหนีความตายพ้นเลย แม้พระพุทธเจ้าก็ต้องปรินิพพาน (ดับขันธ์) กายอันไหนที่จริงบ้าง ไม่มีหรอก เรานี่มาหลงอยู่กับของไม่จริง  หลวงปู่ชาจึงบอกว่า เพราะไปยึดในสิ่งที่ไม่จริง ในสิ่งที่ไม่เที่ยง มันจึงทุกข์  ของจริงในโลกนี้ไม่มีหรอก  ของจริงมันอยู่เหนือโลก หรือเรียกว่าโลกุตระหรือพระนิพพานนั่นเอง  พระอริยเจ้าทั้งหลาย ท่านจึงบ่ายหน้าไปสู่ของจริง ของที่ไม่เสื่อมไม่ดับ เรียกว่า อสังขตธรรม (คือธรรมที่ไม่มีวันเสื่อม)  ไม่หวนกลับมายังโลกนี้ ที่เต็มไปด้วยของไม่จริง  ของจริงไม่มีวันเสื่อมดับ

สังขตธรรมคือ สังขารทั้งหลาย สังขารคือ การปรุงแต่ง อย่างความคิดต่างๆ ก็เป็นสังขาร เพราะปรุงแต่งไปต่างๆ นานา หรือกายเนื้อเราก็เป็นสังขาร ปรุงแต่งมาจากธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ อะไรที่ชื่อว่าปรุงแต่ง ย่อมต้องเสื่อมเป็นธรรมดา พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้เพื่อสั่งสอนเวไนยสัตว์ไปให้พ้นจากการปรุงแต่งคือ สังขตธรรมทั้งหลาย  เมื่อพ้นไปจากการปรุงแต่งก็คือ สภาวะที่ไม่ปรุงแต่ง (นิพพาน) นี้แหละเรียกว่า อสังขตธรรม  เตสัง วูปสโม สุโข  การเข้าไปสงบระงับดับได้เสียซี่งสังขารทั้งหลาย เป็นสุขอย่างยิ่ง  เวลาบังสุกุล ตอนท้ายพระจะสวด เตสัง วูปสโม สุโข แต่ไม่มีการแปล พระเองยังไม่รู้ ไม่ถึงความหมายเลยนะ ยกเว้นพระอริยสงฆ์ 

พูดถึงความไม่เที่ยง ความเสื่อมความดับ วันก่อน ไปอ่านบทความอันหนึ่ง อาจจะทำให้คนเข้าใจผิดได้เหมือนกัน คนเขียนบอกว่า “ทุกอย่างล้วนแล้วแต่อนิจจัง ความรู้สึกดี ไม่ดี ก็อนิจจัง ต้องเสื่อมไปเป็นธรรมดา อย่างความรู้สึกไม่ดีเพราะไปทำร้ายคนนั้นคนนี้  ไปด่าว่าคนนั้นคนนี้  มันก็หนีไม่พ้นกฎไตรลักษณ์คือ อนิจจัง ต้องเสื่อมต้องดับอย่างแน่แท้

อย่างความรู้สึกไม่ดี เพราะไปทำร้ายคนนั้นคนนี้  ไปด่าว่าคนนั้นคนนี้ มันก็หนีไม่พ้นกฎไตรลักษณ์คือ อนิจจัง ต้องเสื่อมต้องดับอย่างแน่แท้  ถ้าเขียนอย่างนี้ คนอ่านที่เป็นมิจฉาทิฐิก็คิดทันทีเลยว่า อ้าว !  อย่างนี้ฉันไปทำร้าย โกงใคร ด่าว่าใส่ความใครก็ได้สิ  เพราะตอนทำ แม้จะเกิดความรู้สึกไม่ดีอยู่บ้าง แต่ก็ต้องดับไปตามกฎอนิจจัง ทำให้คนทำบาปกันได้ ถ้าพูดธรรมะแบบนี้  คนเขียนเรื่องอนิจจังของความรู้สึกที่ไม่ดีอันเกิดจากการกระทำไม่ดีนั่นนะถูกต้องแล้ว  แต่เขาลืมเขียนเรื่องวิบากกรรมไป  แม้ความรู้สึกไม่ดีจะต้องเสื่อมไป ดับไป แต่ผลของมันย่อมหนีไม่พ้นเรียกว่า วิบากกรรมนั่นเอง  วิบากอันแรกคือ ใจเรานี่แหละ พอนึกถึงเรื่องไม่ดีที่เคยทำ ความไม่สบายใจก็เกิดเต็มไปแล้ว ใจนั่นแหละรับไปเต็มๆ  พอวิบากตกถึงกาย คราวนี้ก็จะรับผลทางกาย เช่น เป็นเนื้องอกในสมองบ้าง เป็นมะเร็งบ้าง ถูกรถชนตาย ขาหัก พิการบ้าง  ถึงบอกเสมอว่า การเขียนธรรมะนี่ถ้าไม่รู้จริงอย่าไปเขียนเลย ชักพาคนลงนรกเปล่าๆ            

 

ผู้ปฏิบัติ 3 :  ที่เห็นนั่นไม่ใช่เรา เพราะสิ่งที่เห็นนั้นเกิดแล้วดับไป แต่เรายังไม่ดับคือ พอเราปิดไฟหรือหลับตาหรือเดินออกมาให้พ้นกระจก  ภาพในกระจกก็ดับไป  พอเราเปิดไฟหรือลืมตาหรือเดินเข้าไปที่กระจกใหม่ภาพนั้นก็เกิดอีก  เกิดๆ ดับๆ แต่เรายังอยู่  มันจึงไม่ใช่เราแม้แต่ตัวที่อยู่นอกกระจกก็ไม่ใช่เรา  เพราะมันเราสั่งให้มันอย่าแก่ไม่ได้  แต่มันยังไม่เห็นว่า กายนอกกระจกดับได้เห็นเพียงเริ่มเปลี่ยนผมหงอก หนังเหี่ยว จุดขึ้นตามหน้าตามตัวฟันผุ  แสดงว่ามันไม่เที่ยง ไม่คงที่ เดี๋ยวมันก็คงจะดับ (เหมือนพ่อแม่ พี่น้อง เพื่อนเรา…และการเห็นภาพดังกล่าวเกิดจากมีตามีแสง (รูปธรรม) มีวิญญาณทางตาจึงเกิดผัสสะทางตา  ต้องมีธรรมครบสามอย่าง  ถ้าไม่ครบก็ไม่เกิดผัสสะทางตาคือ ไม่เห็นรูปกายในกระจก  มันเป็นสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นมันจะเป็นใช่เราได้อย่างไร

ท่านทรงกลด  :  แม้แต่ตัวที่อยู่นอกกระจกก็ไม่ใช่เรา  อันนี้แหละสำคัญนักเชียว  เป็นคำตอบที่สมบูรณ์อันหนึ่ง สาธุๆ  

 

ผู้ปฏิบัติ 4  :  การพิจารณากายของเรา  มี ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่มารวมกัน เรียกว่า มนุษย์  สักแต่ว่าธาตุคนคนหนึ่งแยกออกมา ไม่มีอะไรเลย เป็นของหมุนเวียน เปลี่ยนแปลง ไม่มีอยู่จริง ที่มารวมกันก็ไม่แน่นอน น่าเบื่อหน่าย

ท่านทรงกลด :  สาธุๆ ครับ ถูกแล้ว มันไม่มีอยู่จริง ทั้งภาพที่เห็นในกระจก และตัวที่ยืนมองอยู่ เป็นเพียงการปรุงแต่งเท่านั้นเอง หมดเหตุปัจจัยที่จะปรุงแต่งอยู่เป็นรูปเป็นร่างได้ ก็เสื่อมสลายไป หาตัวตนที่แท้ได้ที่ไหน ถ้าเห็นตามจริงอย่างนี้ จิตจะเบื่อหน่ายออกมา จิตจะคลายความยึดมั่นในกายออกมา มองกระจกทีหนึ่ง พิจารณาครั้งหนึ่ง ก็ถอนออกมาครั้งหนึ่ง  สมัยพุทธกาล เคยมีพระภิกษุเห็นเงาหน้าตนเองในลำธาร พิจารณาทำนองนี้ก็บรรลุอรหัตผลกันมาแล้วนะ 

 

ผู้ปฏิบัติ 5  :  คนอยู่ในกระจกเป็นเพียงขันธ์ห้า ที่ผู้รู้มาอาศัยอยูู่  ผู้อาศัยก็เพียงแต่รู้ ๆ ๆ  เท่านั้น 

ท่านทรงกลด :  อันนี้ก็ถูกต้องดีแล้ว คนที่เห็นในกระจกก็คือตัวเราที่เป็นเพียงขันธ์ห้า ผู้รู้อาศัยอยู่ ผู้รู้ในทีนี้หมายถึง จิต ถ้าพูดตามจริงผู้รู้ก็ผู้รู้ จิตก็จิต  ผู้รู้ออกมาจากจิต บางท่านจึงบอกว่าจิตนี่แหละคือผู้รู้  ตอนที่จิตทำหน้าที่รู้ ตอนนั้นแหละจิตคือผู้รู้  จิตอยู่หลังผู้รู้อีกทีหนึ่ง  เอาแค่นี้ก่อน ไว้ปฏิบัติไป เห็นธรรมเมื่อใด ก็จะพบผู้รู้เองแหละ แล้วจะหายสงสัย  ตอนนี้ อย่าเพิ่งไปตามหาผู้รู้อยู่เลย พิจารณาขันธ์ห้า เงาในกระจกให้เห็นตามจริงก่อน แล้วผู้รู้จะโผล่มาในกระจกให้เห็นเอง

 

ผู้ปฏิบัติ 6  :  มองภาพในกระจก จิตก็ไหลไปคิดว่าคนในกระจกคือเราทิ้งตัวตนของคนที่นั่งมองอยู่เหมือนกับว่า เราเปลี่ยนตัวตนจากคนหนึ่งเป็นอีกคนหนึ่งอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับเวลาเราเปลี่ยนบทบาทในชีวิตประจำวันไปเป็นแม่บ้าง เป็นลูกบ้าง เป็นภรรยา เป็นแม่ค้า เป็นคนขับรถ หลากหลายบทบาท  ซึ่งแต่ละบทบาทเราเเสดงออกต่างกัน   เราลืมตัวตนที่แท้จริงของเราทุกครั้งที่เราแสดงบทบาทแต่ละบทบาทอยู่  แล้วตัวตนที่แท้จริงของเราคือใคร? เราไม่มีตัวตนที่แท้จริง

ท่านทรงกลด  :   อันนี้สำคัญมากเลยนะ ตรงถ้อยคำที่ว่า แล้วตัวตนที่แท้จริงของเราคือใคร เราไม่มีตัวตนที่แท้จริงกระนั้นหรือ บางคนก็สอนว่า ไม่มีเรา เราไม่มี แล้วที่คิดที่พูดที่นึกที่รู้สึกอยู่นี้คือใครกันเล่า  

พระพุทธเจ้าบอกว่า เรานี่หลงตามรอยโคโดยคิดว่าคือโคอยู่นานแสนนาน หลายล้านกัปกัลป์ แม้ชาตินี้ออกบวชแล้ว ยังหลงตามรอยโคโดยเข้าใจว่าเป็นโคอยู่ตั้งหกปี บัดนี้เราพบ “ตัวโค” แล้ว หมายความว่าอย่างไร       ก็หมายความว่า บัดนี้เราได้พบตัวตนที่แท้จริงของเราแล้ว  หรือมีมานพหนุ่มจำนวนหนึ่ง เที่ยวตามหานางคณิกา เพราะเธอขโมยสิ่งมีค่าไป ระหว่างทางมาพบพระพุทธเจ้า ๆ ถามว่า พวกท่านจะตามหานางคณิกา หรือตามหาตนชายหนุ่มเหล่านั้นบำเพ็ญบารมีมาเต็มแล้ว จึงตอบว่า ตามหาตน  พระพุทธเจ้าจึงเทศนาสอนธรรมะให้ จนทั้งหมดพบ “ตน” จึงเลิกตามหานางคณิกา พากันออกบวชเสียทั้งหมด  ตัวโคที่พระพุทธเจ้ากล่าวถึงนั่นแหละคือ ตัวตน  ส่วนรอยโคคือ ขันธ์ห้า อารมณ์ทั้งปวง  

เราทั้งหลายที่พากันทุกข์อยู่ทุกวันนี้เพราะต่างพากันวิ่งตามรอยโค  วิ่งตามอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิดทั้งปวง โดยหลงเข้าใจว่านั่นคือเรา   ตัวเรานี้ทำความรู้จักได้ยากที่สุด เพราะไปเจอแต่รอยโค  พอมีสุข ยินดี ก็วิ่งตามไป พอประสบอารมณ์ไม่น่ายินดีก็ตามอีก  

ผู้ใดพบตัวโค ผู้นั้นพบตน ผู้ใดพบตน  ผู้นั้นพบธรรม เห็นธรรม  เรานี้ที่แท้ไม่ใช่ขันธ์ห้า ไม่ใช่รูปในกระจก ไม่ใช่รูปนอกกระจก ไม่ใช่สุข ไม่ใช่ทุกข์ (เวทนา) ไม่ใช่ความจำได้หมายรู้ (สัญญา) ไม่ใช่ความคิดปรุงแต่งต่างๆ (สังขาร) และไม่ใช่ตัวรู้ (วิญญาณ)  เมื่อเราเห็นว่า  ขันธ์ห้าไม่ใช่เรา (เห็นชอบ) ก็จะมีสภาวะอันหนึ่งถอนออกมาจากขันธ์ห้า พระพุทธเจ้าเรียกว่า “จิต” แต่ถามว่าจิตมันจะเป็นตัวเป็นตนอะไรให้เห็นไหม  มันไม่มีหรอก แต่มีอยู่ จิตมันว่าง แต่เป็นความว่างที่มีอยู่จริง 

พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ไม่ได้หายไปไหน  หลวงตามหาบัวนิพพานแล้วก็ไม่ได้หายไปไหน ท่านจึงบอกว่า จิตนี้ไม่มีวันตายไงล่ะ  หลวงปู่ชาจึงบอกว่า ผู้ใดพบตน จะเห็นว่าตนนั้นไม่มี คือไม่มีตัวตนแบบมือถือ แบบรถ แบบบ้าน  ท่านยังบอกอีกว่า คนทั่วไปไม่เข้าใจความว่าง ความว่างนี้พูดให้คนไม่รู้เรื่องฟัง ก็ไม่รู้เรื่อง ไม่ใช่ว่ามันว่างในสิ่งที่ไม่มี แต่มันว่างในสิ่งที่มี 

 

ผู้ปฏิบัติ 7  :  เมื่อมองดูกระจกไม่ว่าเวลาใดก็ตามก็เห็นความไม่เที่ยงอยู่เสมอ ไม่ว่าเส้นผมที่เคยดกดำก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาวหงอก ผมที่เคยแน่นหนาก็เริ่มบาง รอยเหี่ยวย่นตามขอบดวงตาเริ่มปรากฏ แม้จะเคยชื่นชมในความดกดำและหนาแน่นของเส้นผมก็คลายความชื่นชมออกมาเพราะเห็นสภาพตามความเป็นจริง รูปร่างที่เคยกำยำเริ่มเปลี่ยนแปลง พลุ้ย เนื้อตัวเริ่มหย่อนคล้อย อายุเริ่มมากขึ้นทุกลมหายใจ ใกล้ถึงความตายได้ทุกช่วงเวลาโดยไม่อาจคาดหมายได้เมื่อใดและไม่มีความแน่นอนว่าผมหงอกต้องตายก่อนผมดำ คนอายุน้อยต้องตายหลังคนอายุมากเสมอไป เมื่อย้อนมองตนเองแล้ว ยอมรับความเป็นจริง ทำได้แต่เพียงดูแลมันตามสภาพ ไม่ไปเดือดร้อนหรือระลึกแต่หนหลังหรืออนาคต เมื่อมีโอกาสได้ไปดูคนอื่นไม่ว่าเด็กผู้ใหญ่ คนชรา ก็อยู่ภายใต้กฎ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตาเดียวกัน โดยไม่เลือกเพศ ฐานะ ตำแหน่ง คุณวุฒิ หรือประการอื่นใด เกิดในชาตินี้ต้องไม่เสียชาติเกิด หมั่นสะสม ทาน ศีล ภาวนาไปเรื่อยๆ 

ท่านทรงกลด : สาธุๆ ดูกระจกแล้วเห็นความเป็นจริงของร่างกายตนเอง ถึงบอกว่า การบ้านที่ให้ทำ ไม่ใช่ให้ทำสนุกๆ เป็นการบ้านที่ย่นย่อการเกิด การตายของพวกเรา วัฏสงสารมันหดตัวเข้ามา ดูกระจกครั้งหนึ่ง ให้ดูอย่างนี้ อย่ามัวไปแต่งองค์ทรงเครื่อง ทาเครื่องสำอาง ประโลมผิว คนที่เห็นร่างกายในกระจกตามจริง วันหนึ่งเขาจะเลิกใช้เครื่องสำอางไปโดยปริยาย แต่ไม่ต้องกลัวว่าบริษัทขายเครื่องสำอาง ขายครีมอะไรพวกนี้จะเจ๊งหรอก เพราะมีไม่กี่คนที่จะเห็นตามจริงอย่างนี้ ส่วนใหญ่ก็จะโดนบริษัทหลอกขายเครื่องสำอางแพงๆ กระปุกหนึ่งบางทีกินข้าวได้ทั้งเดือน ต้องขอบคุณ ร่างกายนะครับ ที่เผยความเป็นจริงให้ดู ก็แปลกดีนะ หน้าตาร่างกายนี้ต่างก็รู้กันหมดว่า สุดท้ายก็เอาไม่อยู่ ต้องเสื่อมต้องพัง แต่เราก็พยายามหาของแพงๆมาตบแต่งให้มันอยู่ไม่รู้จักจบสิ้น  

ผู้ปฏิบัติ  7  :  ใช่  ร่างกายเรานี่แหละคืออาจารย์ใหญ่ ไม่ต้องไปตามหาครู หรือผู้รู้อะไรที่ไหนหรอก ร่างกายที่ปรากฏต่อหน้าในกระจกนี่ รู้จักมันดีพอหรือยัง  

ท่านทรงกลด  :  สาธุ ขอให้ตกแต่งด้วยสติก็พอนะ ขายของ ถ้าไม่แต่งหน้าเลย มันก็คงไม่ดีเหมือนกัน  แต่ขอให้แต่งด้วยสติ ด้วยรู้เท่าทัน เท่านั้นพอ พวกนี้ พอถึงอนาคามี เลิกหมด ทิ้งหมด ความอยากสวย อยากงามนี่ ทิ้งหมด  บางคนสงสัยว่า อ้าว !  แล้วท่านจะเอาสุขมาจากไหน รสชาติในชีวิตหมดเสียแล้ว แต่งตัว แต่งหน้า ฟังดนตรีอะไรก็ไม่เอาสักอย่าง เพราะท่านพบรสชาติใหม่นะสิ นั่นคือรสแห่งธรรม ที่เยือกเย็นจับใจ สุขใดในหล้าก็ไม่อาจเทียบเคียง ไม่งั้นพระพุทธเจ้าเอย พระราหุลเอยก็กลับมาครองราชย์แล้วสิ  นี่ผมก็พูดไปตามคาดคะเนนะ ยังไม่ถึงหรอก เพียงแค่เกือบๆ ก็สัมผัสได้ขนาดนั้นแล้ว จึงมาบอกพวกเราได้อยู่ ใครทำใครได้ คนไม่ทำ หรือทำยังไม่ได้ ก็จะปรามาสคนทำได้ ว่าจะจริงหรือ  อย่าทิ้งความเพียร และแนวทางที่ให้ไว้ก็แล้วกัน เมื่อถึงจะนึกถึงสิ่งที่ผมพูดว่าไม่ได้โม้เกินเลยแต่อย่างใดนะ

 

ผู้ปฏิบัติ 8  : พิจารณามองตัวเองในกระจกแล้ว เริ่มจากมองดูใบหน้าพิจารณามาเรื่อยๆ จะเห็นได้ว่า หน้าตาเรานี้เมื่อตอนยังเป็นเด็กวัยรุ่นอยู่อายุประมาณสัก 14 – 15 ปี หลายปีที่ผ่านมาแล้วนั้น ใบหน้าผิวพรรณจะดีมาก เต่งตึงมากค่ะ แต่พอวันเวลาเนิ่นนานไปอายุเริ่มมากขึ้น พอมองตัวเองในกระจกอีกทีจากใบหน้าที่เคย เต่งตึง ก็เริ่มมีริ้วรอยเหี่ยวย่น ผิวพรรณที่เคยสวยงาม ก็เริ่มเหี่ยวแห้ง อ้าปากดู ฟันที่เคยแข็งแรง ก็เริ่มผุกร่อน มีการอุด การถอน ไม่ค่อยแข็งแรง ผมที่เคยดำสนิท ตอนนี้พอแหวกๆดูก็เริ่มมีผมหงอกสีขาวขึ้นมามากขึ้น ใช้แหนบถอนบ่อยๆ  และเวลาหวีผม ผมก็มีการร่วงทุกวัน ผมที่ร่วงนั้น ไม่นานนัก ผมนั้นก็จะย่อยสลายกลายเป็นดิน  ผมมาจากดิน สุดท้ายก็ต้องกลับไปเป็นดิน ส่วนอันอื่นๆ ก็เหมือนกัน มูตร ก็มาจากน้ำ ก็ต้องกลับไปเป็นน้ำ ทั้งอาหารเก่า อาหารใหม่ ก็กลับไปยังที่มันมาทั้งนั้น จะเห็นได้ว่า รูปกายนี้ อารมณ์นี้ก็ดี จะถือว่า  เป็นเรา ใช่เรา ของเราไม่ได้เลย ให้เห็นตามความเป็นจริงของรูปกายนี้ แท้จริงนั้น มันเป็นของไม่เที่ยง ไม่สะอาด ไม่แข็งแรง ไม่สวยงามเลย เสื่อมไปๆ หาแก่นสารไม่ได้

กายนี้  เป็นเพียงการประชุมพร้อมกันของธาตุทั้งสี่ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ เท่านั้นเอง  ไม่ควรที่จะยึดมั่น หมายมั่นว่า คือเรา ใช่เรา ของเรา พิจารณาตามรูปนาม ขันธ์ห้า อารมณ์ ทั้งปวง ให้เห็นเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา  มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปเสื่อมสลายไป สุข หรือ ทุกข์ ที่เหลือทั้งหมด ตลอด สัญญา สังขาร ก็ไม่ใช่เรา ของเราเช่นกัน

ท่านทรงกลด : คำตอบสมบูรณ์ที่สุดในตัวเอง  ที่สำคัญที่สุดก็คือมีการโยนิโสมนสิการ คือเมื่อเห็นกายไม่เที่ยงก็น้อมไปถึงสุข ถึงทุกข์ ถึงอารมณ์ ถึงขันธ์ห้าส่วนอื่นๆ ขอให้รักษาความเข้าใจ ความเห็นเช่นนี้ไว้อยู่เนืองๆ เมื่อใดที่ทุกข์เกิด ก็มองกระจก เห็นตัวเองร่วงโรย ไม่เที่ยง เออ !  ทุกข์นี้ก็ไม่ต่างจากเราแหละว้า เกิดได้ก็ต้องดับได้ เห็นอย่างนี้ จิตจะออกมาจากทุกข์ จะช้าหรือไว อยู่ที่กำลังสติ กำลังปัญญา (ความเห็น) ในขณะนั้น 

ถ้าเห็นอย่างนี้ หรือเห็นแบบท่านๆ ที่ตอบๆ มา บอกได้เลยว่า ไม่น่าห่วงจริงๆ นะ ประตูอบายใกล้จะปิดอยู่รอมร่อแล้ว  เทวทูตเอย นายนิรยบาลเอย หรือแม้แต่พญายมราชเอย บางทียังไม่รู้อย่างที่ท่านๆ ที่ตอบมารู้เลยนะ วันไหนโชคดีไปเจอท่าน ถามท่านก่อนเลยว่า รู้ไหมว่าคนในกระจกทีท่านเห็นนะคือใคร  ถามก่อน ก่อนจะถูกถามว่า ก่อนตายทำกรรมดีอะไรบ้าง ถามอย่างนี้ ยมราชงง นายนิรยบาลงง และรู้เลยว่า เรานี่ลูกพระพุทธเจ้าของแท้  ถ้าท่านรักษาความเห็นกันได้อย่างนี้ ไม่ต้องกลัวนรกหรืออบายหรอก   เพราะอะไรรู้ไหม  เพราะคนที่เห็นความจริงของกายของขันธ์ห้าอย่างนี้ จิตของเขาจะสว่างขึ้นอย่างไม่รู้ตัว จะไม่มืดมนอนธการเหมือนปุถุชนคนทั่วไป  จิตที่สว่างด้วยตัวเองนี่แหละ นายนิรยบาลที่ไหนจะกล้าเข้าใกล้ ทำไมจิตของท่านๆ ที่ตอบมาจึงสว่าง  นัตถิ ปัญญา สมะอาภา  แสงสว่างเสมอด้วยปัญญาไม่มี  นี่ไงคือคำตอบ ผมไม่ได้ตอบเอง พระพุทธเจ้าเป็นคนพูด  ความเห็นถูกของท่านๆ ทั้งหลายที่ตอบมานั่นแหละคือปัญญา 

 

ผู้ปฏิบัติ 9 : เห็นเป็น ธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ สุดท้ายก็คืนสู่ธรรมชาติ  ส่องกระจกแล้วเห็นธรรมชาติ ความไม่เที่ยง ความเสื่อมของธาตุ ผมเปลี่ยนสี ผิวหนังมีริ้วรอย แม้จะทาแป้งใช้เครื่องสำอางก็ไม่สามารถคืนเหมือนเดิมได้ สังขารนี้ไม่เที่ยงหนอ 

ท่านทรงกลด :  สังขารไม่เที่ยงหนอ เห็นไหม สุดท้ายก็คืนสู่ธรรมชาติหมด ท่านพุทธทาสจึงบอกว่า พวกเรานี่มันปล้นธรรมชาติกันมาทั้งนั้น ปล้นดิน ปล้นน้ำ ปล้นไฟ ปล้นลมกันมา สุดท้ายก็ไม่สามารถครอบครองได้สักสิ่ง ต้องคืนเขาไปหมด  ดินก็กลับไปเป็นดิน น้ำก็กลับไปเป็นน้ำ  ไฟก็กลับไป ลมก็กลับไป เป็นธรรมชาติที่ว่างเปล่า ไร้ตัวตนแก่นสารจริงๆ  

ลมมีตัวตนไหม ไม่มีหรอก  ไฟก็เกิดจากการสันดาปของอากาศ สุดท้ายก็ว่างเปล่า เป็นอากาศธาตุ น้ำก็ระเหยเป็นอากาศธาตุ  ดินล่ะ ลองหยิบดินขึ้นมาสักเม็ดหนึ่งสิ  ลองขยี้มันด้วยหัวแม่มือกับนิ้วชี้ดู เห็นอะไรไหม บี้ไปเรื่อยๆก็หมด ผมเคยนั่งทำมาแล้ว สุดท้ายก็สลายเป็นผุยผงแล้วเป็นอากาศธาตุเหมือนกัน ไม่เชื่อ ลองทำดู  สุดท้ายมัน “หมด”   “หมด” คืออะไร  ก็คือไม่เหลืออะไร ไม่มีอะไร นี่ไง อนัตตา แต่ที่มันดูเหมือนมีอะไร ก็เพราะมันปรุงแต่งขึ้นมาเท่านั้นเอง  ปรุงแต่งเป็นกายนี้ เป็นรถ เป็นบ้าน เป็นเก้าอี้ เป็นมือถือ นี่ไงที่พระพุทธองค์จึงบอกว่า สัพเพสังขารา อนัตตา ไปยึดสิ่งที่สุดท้ายมันหมด ไม่เหลืออะไร มันจะยึดได้หรอกหรือ  นี่ เพราะเราไปฝืนความจริงกันอยู่อย่างนี้ เราจึงทุกข์กันขนาดไง                                                    

อารมณ์ก็เหมือนกัน ปรุงแต่งมาจากจิตที่ว่าง (คนที่นั่งภาวนาจนพบความว่าง จะเข้าใจ) แล้วก็เสื่อมดับไปเป็นความว่างดังเดิมของมัน (จิตว่าง) แล้วก็ปรุงแต่งอีก (เพราะอวิชชา) เป็นอยู่อย่างนี้วันหนึ่งๆ เป็นแสนๆ ครั้ง ท่านพุทธทาสจึงบอกว่า เรานี่ วันๆ หนึ่งเกิดตายเป็นแสนชาติทีเดียว 

เอาล่ะ มาถึงคำตอบที่รวบยอดแล้วนะ ธรรมดาคนเรา เมื่อมองกระจก ก็ย่อมเห็นเงาตนเองในกระจก แต่ถ้าใครมองเห็นตนเองที่ยืนอยู่หน้ากระจกเป็นเงาของใจตนเองได้ คนนั้นคือพระอริยะเจ้าชั้นโสดาบัน พระโสดาบัน เขาจะเห็นตนเองคือขันธ์ห้านี่เป็นเงาในกระจก แทนที่เงาที่เห็นในครั้งแรก ตัวตนคือขันธ์ห้าที่ยืนอยู่ มันจะไปแทนที่เงาในกระจก แต่ที่ยืนมองขันธ์ห้าที่ไปแทนที่เงาในกระจกคือจิตเรานี่เอง ขันธ์ห้าไม่ใช่จิต จิตไม่ใช่ขันธ์ห้า เห็นอารมณ์แยกออกไปจากจิต 

หลวงปู่ชาจึงบอกว่า จิตก็จิต อารมณ์ (ขันธ์ห้า) ก็อารมณ์ เหมือนน้ำกับน้ำมัน จิตเห็นจิต จิตหนึ่งคือจิตเดิม (โค) เห็นจิตอีกจิตที่ปรุงแต่งเป็นอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดทั้งปวง ผู้ใดเห็นจิตผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นทุกข์ผู้นั้นเห็นธรรม เห็นขันธ์ห้าคือทุกข์แยกออกไปปรากฏในกระจก เห็นว่า ขันธ์ห้าไม่ใช่เรา เหมือนเห็นเงาว่าไม่ใช่เรา ฉะนั้นแล เราจริงๆ คือจิตที่มองเห็นอยู่ ผู้ที่เห็นธรรมอย่างนี้ได้ ในสมัยพุทธกาลมีอยู่ท่านหนึ่ง คือพระอานนท์ ตอนบรรลุโสดาปัตติผล ท่านเห็นธรรมอย่างนี้แหละ 

“..โลกวุ่นวายอยู่ เพราะคนเรานั้นหลงโลก  ไม่รู้เท่าทันโลก มาหลงดิน มาหลงน้ำ  หลงไฟ ลมกันอยู่  มาหลงสมบัติโลก ว่าเป็นของตน  จึงคิดสร้างโลก  สร้างดิน สร้างน้ำ  สร้างไฟ สร้างลม กันอยู่ มาเป็นเปรต  เป็นผี เฝ้าน้ำ เฝ้าดิน กันอยู่  เมื่อรู้ไม่เท่าทัน ความหลงของตนเอง  มันจึงวุ่นวาย ไม่รู้จักจบสิ้น มาแย่งชิง เอาสิ่งที่ตัวเอง ก็นำไปด้วยไม่ได้ ในที่สุด ทุกอย่าง จะต้องทิ้งไว้กับโลก เป็นสมบัติโลก จะใช้เป็นของตัวได้ก็เพียงแค่ชั่วครั้งชั่วคราวที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่ตัวเองก็รู้ไม่ทัน ถ้าคนเรามีสติ  พิจารณาสักหน่อยว่า แม้แต่ร่างกายที่มีหนังหุ้มอยู่อย่างนี้ เราก็ขอยืมมาจากธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ  และก็จะต้องส่งคืน ให้กับดิน น้ำ ลม ไฟ  อยู่ไม่วันใดก็วันหนึ่ง ถ้ามีสติรู้ได้เช่นนี้เสมอๆ โลกก็คงจะวุ่นวายน้อยลง  กิเลสคนเราคงไม่กำเริบมากเท่าไรนักหนา..”  

โอวาทธรรมหลวงปู่หล้า เขมปัตโต