การบ้านข้อ 2 ลมหายใจเข้าออกใช่เรา ของเรา หรือไม่

แสดงธรรมกลุ่ม Natural Mind เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2559
ท่านทรงกลด : เมื่อได้อ่านศึกษา ทำความเข้าใจและลงมือปฏิบัติตามแนวสติปัฏฐานสี่มาแล้ว ขอให้พิจารณาการบ้านข้อ 2 ว่า ลมหายใจเข้าออกใช่เรา ของเรา หรือไม่ เขียนคำตอบของตนเองไว้ แล้วค่อยๆ พิจารณาอ่านธรรมที่แสดงไว้ ดังต่อไปนี้
ผู้ปฏิบัติ 1 : การพิจารณาลมหายใจเข้าออก (อานาปานสติกรรมฐาน) ลม คือ สิ่งที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติ ลมเป็นธาตุหนึ่งในธาตุทั้งสี่ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ดิน (ปฐวีธาตุ) น้ำ (อาโปธาตุ) ลม (วาโยธาตุ) ไฟ (เตโชธาตุ) สิ่งมีชีวิต ไม่ว่าจะเป็น คน สัตว์ ต้นไม้ ก็ย่อมต้องการใช้ลมเป็นสิ่งที่ช่วยให้ดำรงชีวิตอยู่ได้ ถ้าเราหายใจเข้าไม่ได้ หายใจออกไม่ได้ ก็คือตาย ลมหายใจที่เราสูดเข้า สูดออกกันนั้น มาจาก “อากาศธาตุ” เรายืมมา แล้วคืนไป ยืมมาแล้วคืนไป แท้จริงจะถือเป็นเรา ของเราไม่ได้ ลมหายใจนั้น ก็ไม่ต่างอะไรกับผม ขน เล็บ ฟัน หนัง สักแต่เป็นธาตุเท่านั้นเอง
เมื่อเราหายใจเข้าครั้งแรก สติคือ ความรู้สึกตัวนั้นก็จะเกิดขึ้น เมื่อหายใจออก เราควรพิจารณาลมนั้นไปเรื่อยๆ ว่ามันไม่เที่ยง ทนอยู่ไม่ได้ก็ต้องขับปล่อยออกไป และหาแก่นสารตัวตนที่แท้จริงของลมหายใจไม่ได้ เราจะแยกจิตออกจากลม ออกจากกายได้ จะเห็นได้ว่า ลมก็คือลม ลมหายใจนั้นก็เป็นกายอย่างหนึ่ง เห็นความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และเสื่อมไป ดับไป ของลม ไม่ควรยึดมั่นถือมั่นว่าลมคือเรา ของเรา
ถ้าเราลองฝึกปฏิบัติด้วยการสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วกลั้นเอาไว้ ก็จะทนไม่ได้ที่จะหายใจออกมา ไม่มีใครทนได้ ทุกขังคือ ทนอยู่ไม่ได้ ต้องเสื่อมต้องดับไป เป็นธรรมดาไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งนั้น พอเห็นตรงนี้จิตมันก็จะค่อยๆ คลายความสงสัยไปในที่สุด
ท่านทรงกลด : จบครับ ตอบอย่างนี้จบ ผมไม่มีคำพูดใดๆ ต่อเลย ชัดเจนอยู่ในตัว งดงามทั้งเบื้องต้น ท่ามกลางและที่สุด
ผู้ปฏิบัติ 2 : ร่างกายเราประกอบไปด้วย ดิน น้ำ ลม ไฟ เราหายใจเข้า ออก ก็จะเห็นลมเข้าลมออกหายใจเข้า ไม่หายใจออก หรือหายใจออกแล้วไม่หายใจเข้า เราก็ไม่มีชีวิต ลมสั้น ลมยาว ลมเบา ลมแรง บอกสภาวะอารมณ์ได้ว่าทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป ไม่มีอะไรที่เป็นตัวตน ตัวเรา หรือของเรา
ท่านทรงกลด : จบเหมือนกัน สาธุๆๆ หมดคำพูดที่จะพูดต่อ
ผู้ปฏิบัติ 3 : ทุกอย่างล้วนอนิจจัง ไม่มีอะไรเที่ยง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ดินคือ เนื้อหนังมังสา น้ำคือ น้ำเลือด น้ำหนอง น้ำตา ของเหลวทั้งหลาย เหม็นๆ เน่าๆ ในร่างกายเรา ลมคือ อากาศที่เราหายใจเข้าออก ไฟคือพลังงานที่เผาผลาญในร่างกาย ธาตุทั้ง4 ประกอบขึ้นในขันธ์ทั้งหลาย ลมหายใจคือ อากาศธาตุ เมื่อไม่มีเราไม่มีเขา ทุกอย่างคือสิ่งสมมุติเป็นอนิจจัง ล้วนไม่เที่ยง มีเกิดก็มีดับ
ท่านทรงกลด : สาธุๆ ครับ หมดคำอธิบายต่อ ชัดแจ้งอยู่ในตัว
ผู้ปฏิบัติ 4 : การพิจารณาดูลมหายใจเข้า ออก เรียกว่า เจริญอานาปานสติ หมายถึง การกำหนดสติดูลมหายใจเข้า ออก สั้น ยาว หรือวิธีตามดูลมไหลเข้า ไหลออก เพื่อทำให้จิตสงบ ไม่ให้จิตฟุ้งซ่าน ในปัจจุบันมีการนำมาใช้กันมาก แม้ในศาสนาอื่นก็นำมาใช้เช่นกัน ก่อนอื่นต้องแยกประเด็นออกเป็น 2 อย่าง
การเจริญอานาปานสติ คือ การดูลมหายใจมีมาก่อนพระพุทธเจ้าตรัสรู้ โดยมากพวกฤๅษีดาบส หรือนักบวชในศาสนาพราหมณ์ มีการนำมาใช้ในการทำฌานสมาบัติ อันเป็นแนวทางแห่งการหลุดพ้นแบบฤๅษีดาบส จัดเป็นอัตตกิลมถานุโยค เป็นหนทางไปเกิดเป็นพรหม ต่อมาพระพุทธเจ้าทรงค้นพบแนวทางใหม่ โดยการมาต่อยอดจากเดิม สามารถทำให้หลุดพ้นจากกิเลสได้จริง โดยการปฏิบัติอย่างมีขั้นตอน ตามที่กล่าวไว้ในมหาสติปัฏฐานสูตร พอสรุปได้ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 คือ การกำหนดลมเข้า ออก สั้น ยาว ในพระไตรปิฎกไม่มีคำบริกรรม การใช้คำบริกรรม เป็นการบัญญัติส่วนเกินที่พระพุทธเจ้าไม่ได้แสดงไว้ แบบเดิมโดยการใช้สติตามดูลมหายใจอย่างเดียว หมายถึง ไม่ต้องสร้างสัญญาให้กับจิต จนจิตมีสติดีขึ้นไม่หวั่นไหว หรือทำให้จิตนิ่งไม่รับรู้ใดๆ
ขั้นตอนที่ 2 คือ ให้กำหนดละการรับรู้ในลมหายใจเข้า ออก ในตรงนี้ถ้ามีคำบริกรรม ก็ต้องละคำบริกรรมและต้องละสัญญาที่จำในลมอีก หมายถึง เมื่อสติคงที่แล้วก็ไม่ต้องรับรู้ในลมใดๆ เพียงกำหนดดูอาการของกาย เกิดจากลมหายใจ ในช่วงนี้โดยมากจะทำได้ยาก และละได้ยาก เพราะจิตจะติดตัวสัญญาในลม ตัวสัญญานี่แหละปิดบังอนัตตา ทำให้ไม่เห็นสภาวธรรม หรือไม่เห็นพระไตรลักษณ์ เรียกว่า ฆนะสัญญา ปิดบังอนัตตา ทุกครั้งที่เรากำหนดสติจะเห็นสัญญาในจิตเกิดขึ้นทันที จะต้องละในสัญญานี้ให้ได้ก่อน การที่สัญญาติดในลม ทำให้จิตยึดมั่นในลม จิตจึงเป็นอัตตา เรียกว่า ลมเป็นของเรา สัญญาในลมเป็นเรา จะต้องละให้ได้
ขั้นตอนที่ 3 คือ นักปฏิบัติจะต้องตามเข้าไปดูให้เห็นการสั่งงานของจิต เพื่อจะละการยึดติดของจิต โดยการกำหนดให้เห็นสภาวธรรมเกิด ดับ อยู่ภายใน ส่วนใหญ่การกำหนดดูลมหายใจนั้น ก็กำหนดแต่ที่ลมหายใจอย่างเดียว แต่เราต้องเข้าไปดูให้เห็นในลมที่แทรกเข้าไปในร่างกาย ในบาลีเรียกว่า กายสังขารัง หมายถึง ลมที่เข้าไปปรุงให้ร่างกายมีการขยายตัวได้ หดตัวได้ ทำให้ร่างกายยืดหยุ่นได้ ล้วนเกิดจากธาตุลม คือ ระบบความดันในร่างกาย จึงเกิดเป็นชีพจร มีการเต้นตามจังหวะของหัวใจ ทำหน้าที่สูบฉีดเลือดให้ไหลเวียนทั่วร่างกาย
ขั้นตอนที่ 4 คือ การแยกสภาวธรรมภายใน (อชฺฌตฺตํ วา) กับภายนอก (พหิทธา วา) โดยการกำหนดดูการเกิด ดับของลมที่หายใจ (สมุทยวยธมฺมา) และลมที่อยู่ในร่างกายซึ่งไม่ใช่ลมหายใจ หรือชีพจรที่อยู่ในร่างกาย หมายถึง กำหนดเห็นพระไตรลักษณ์ เกิดดับอยู่ในกาย ขณะที่ลมหายใจเข้า ออกอยู่
ขั้นตอนที่ 5 คือ การกำหนดละตัวรู้ กำหนดละสติที่เข้าไปกำหนดรู้ โดยไม่ยึดติดใดๆ ให้เห็นเป็นเพียงสภาวะความเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตนของเรา แม้สิ่งที่เห็น (ญาณ) ก็ไม่ใช่ของเรา สิ่งที่รู้ (ปัญญา) ก็ไม่ใช่ของเรา สติที่เฝ้าระวังอยู่ หรือกำหนดระลึกอยู่ก็ไม่ใช่ของเรา ต้องไม่ยึดติดใดๆ ในโลกด้วย ตามในบาลีกล่าวไว้ว่า น จ กิญฺจิ โลเก อุปาทิยติ นี่คือ การปฏิบัติในอานาปานสติ ตามที่พระพุทธเจ้าแสดงไว้
ท่านทรงกลด : ยาวหน่อย แต่ละเอียดดี แถมบอกวิธีการปฏิบัติไว้ด้วย ก็สมบูรณ์ในตัวเอง ไม่รู้จะพูดอะไรต่อเหมือนกัน สาธุๆ
ผู้ปฏิบัติ 5 : ลมจะเข้าจะออกก็เป็นเรื่องของลม ลมจะอยู่ หรือจะไป ก็เรื่องของลม เมื่อ “กาย” ไม่ใช่เรา “ลม” ก็ไม่ใช่เรา เมื่อสิ่งที่เข้าไปรู้ในสิ่งที่ไม่ใช่เรา สิ่งนั้นย่อมไม่ใช่เรา
ลมหายใจ เข้าออก บอกให้รู้
ว่ายังอยู่ หายใจ คล้ายอาหาร
ล้วนเป็นธาตุ จากภายนอก บอกอาการ
หล่อเลี้ยงสาร สำราญ ใน ธาตุลม
ขอแจกแจง ในลม สภาวะ
มีโอชะ ร่วมธาตุ สาดสาสม
ทั้งรูป เสียง กลิ่น รส ให้ได้ยล
ให้ชื่นชม อารมณ์ สมฤดี
พิจารณา..ต่อ ตอนลม หายใจเข้า
พอ..ลมเป่า เอาออก บอกสดศรี
ล้วน..ของเหม็น ร่างกาย ที่เคยมี
สุด..จะที่ ชื่นชม ขมฤทัย
พิจารณา..ต่อไป คล้าย “อสุภะ”
อวัยวะ ล้วนมีลม ชมสุดสาย
ถ้ามีลม หมุนเปลี่ยน เวียนสบาย
ถ้าขาดลม คงต้องตาย ให้แน่นอน
พิจารณา..ต่อ ข้อ..ลม ให้สมมาตร
ระหว่างธาตุ สภาวะ พระท่านสอน
ล้วนแยกธาตุ กลับสู่ธาตุ ปาดม้วยมร
สุดอาวรณ์ ย้อนลับ กลับสู่คืน
ดินสู่ดิน น้ำสู่น้ำ ตามอากาศ
ไฟสู่ไฟ ล้วนเป็นธาตุ อาจสุดฝืน
ล้วนเกิดดับ ลาลับ สุดกล้ำกลืน
ล้วนกลับคืน ธรรมชาติ ที่เขามา
ท่านทรงกลด : สาธุ ก็หมดคำอธิบายต่อเหมือนกัน จบในตัว ลมจะเข้าจะออก เป็นเรื่องของลม ขอให้ทุกท่านจำคำๆ นี้ไว้ก่อนนะ เอาเป็นสัญญาไว้ก่อน
ผู้ปฏิบัติ 6 : ลมก็คือกาย เมื่อกายยังอยู่ในกฎไตรลักษณ์ ลมจะใช่ของเราได้อย่างไรกัน เมื่อหายใจลมเข้าและออก หากลมเป็นของเรา เราก็บังคับให้ลมเข้าแล้วไม่ออก หรือออกแล้วไม่เข้า แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ เพราะลมก็เป็นธรรมชาติของเขา เขาไม่ได้รู้อะไรเลย เมื่อลมเฉกเช่นกาย เมื่อลมและกายล้วนไม่เที่ยง เพราะความหลงผิดไปฉวยคว้ามายึดมาเป็นของตนจึงเป็นทุกข์จึงไม่ต่างกับกายหรือรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่งแปรเปลี่ยนไปทุกขณะจิต เมื่อลมก็คือกายเป็นรูปอย่างหนึ่งก็ตกอยู่ในธาตุทั้งสี่ หากจะให้น้อมเข้ามาพิจารณาถึงขันธ์ 5 ก็ย่อมตกอยู่ในความไม่เที่ยงเช่นกัน
ท่านทรงกลด : คำตอบสมบูรณ์ที่สุด สาธุๆๆ
ที่ตอบๆ มานั้น อ่านแล้วปิติมากเลยนะ ทุกๆ ท่านที่ตอบมา ผมขอบอกว่า เมื่อท่านเห็นแบบนี้ จนสุดท้ายว่างเปล่า สังสารวัฏย่อเข้ามาเยอะแล้ว สุดท้าย “ว่างเปล่า” ไม่มีอะไรเลย อนัตตา ธรรมทั้งปวงเดินไปจุดสุดท้ายก็คือไม่มีอะไรเลย “อนัตตา” หาแก่นสารไม่ได้ จะถือเป็นเราไม่ได้ ของเราก็ไม่ได้ คำตอบความรู้ที่ออกมาจากจิตขณะจิตสงบนี่แหละ มันยิ่งกว่าท่องพระไตรปิฎกได้ทั้งเล่มเสียอีกเพราะเป็นความรู้ที่จะถอดถอนกิเลส ถอดถอนสังโยชน์ที่เป็นเครื่องผูกมัดเราไว้ หลวงพ่ออนันต์เคยบอกผมว่า มันก็เหมือนตาข่ายมัดเราไว้ พอมีความรู้ผุดขึ้นมา หรือเห็นร่างกายผุพังในสมาธิ ไม่ใช่เราของเรา เห็นว่า ลมไม่ใช่เรา ของเรา มันก็เหมือนเราค่อยๆ ตัดตาข่ายที่ละช่องๆ ๆ พอตัดได้ที่ เราก็หลุดออกมา เป็นอย่างนี้จริงๆ จริงๆ ลมก็เป็นเรื่องของลม มันจะเข้าจะออก จะเกิดจะดับก็เป็นเรื่องของลม คนบ้าที่ไหนไปยึดลมว่าเป็นเราของเรา ตัวตนเป็นๆ ของมัน มีใครเคยเห็นบ้าง แต่ทำไมเราจึงรู้ว่า มีลม ก็หายใจทีก็รู้สึกที
ลมคืออะไร คือ อากาศที่เคลื่อนไหว เพราะอากาศเคลื่อนไหว จึงมีลม ลมมาจากอากาศที่เคลื่อนไหวอากาศคือความว่างเปล่า ทำไมความว่างเปล่าจึงกลายเป็นลมได้ เพราะอุณหภูมิของอากาศที่ไม่เท่ากัน เพราะมีเหตุปัจจัย จึงเกิดลม ลมมาจากอากาศที่ว่างเปล่า เมื่อดับก็กลับไปสู่สภาวะที่ว่างเปล่า
อารมณ์ก็เหมือนกัน ไม่ต่างจากลม อารมณ์มาจากการปรุงแต่งของจิต จิตเดิมนี้ว่างอยู่ (สุญญตา) แต่เพราะมีเหตุคือ อวิชชา จึงปรุงแต่งรูปนาม ขันธ์ห้า อารมณ์ขึ้นมา ปรุงแต่งขึ้นมาเป็นอารมณ์ยินดีบ้าง ยินร้ายบ้าง โกรธบ้าง รักบ้าง ชังบ้าง เฉยๆ บ้าง ปรุงแต่งคราวหนึ่งก็ดับไปคราวหนึ่ง ดับไปไหน ก็อารมณ์มาจากไหนเล่า ลมมาจากอากาศที่ว่างเปล่า อารมณ์ก็มาจากจิตที่ว่างเปล่า ปรุงแต่งมาจากความว่างเปล่า แล้วก็ดับไปสู่ความว่างเปล่าปรุงแต่งอีก เกิดขึ้นอีก เสื่อมอีก ดับไปอีก ดับไปสู่ความว่างเปล่า ปรุงแต่งที ภพชาติก็เกิดขึ้นที (ภพชาติฝ่ายนามขันธ์) เรานี้โง่หรือฉลาดที่ไปยึดความว่างเปล่าเป็นตัวเป็นตน เป็นเรา ของเรา เป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา ถ้าเราเห็นว่า ลมไม่ใช่เรา มันก็ไม่ยากที่จะเห็นอารมณ์ไม่ใช่เรา มันเกิดดับในชั่วไม่ถึงนาที
ส่วนกายเนื้อ มีผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ก็เกิดดับอยู่เรื่อยๆ ผมหงอกแล้วร่วง หนังก็ผลัดเปลี่ยนเซลล์ทุกวัน เราไม่เห็นมันเองต่างหาก จนวันหนึ่งแก่ชรา หรือไม่ถึงวัยแก่ก็ตาย ดับสลายเหลือเถ้าถ่าน เถ้าถ่านของกายเรานี้ ลองนั่งเฝ้าดูมันสิ บางทีลมก็หอบพัดพาไป สลายตามมันไป บางทีก็สลายเป็นดินไป ไหนล่ะตัวตนของเรา อย่างที่ท่าน… โยนิโสนี้ มันสมบูรณ์ที่สุดแล้ว
ถ้าเราเห็นลมไม่ใช่เราจริงๆ ยอมรับจริงๆ ส่วนที่เหลือของกายที่เป็นธาตุดิน น้ำ ไฟ มันจะต่างกันตรงไหน เราสูดลมหายใจเข้าครั้งหนึ่ง ก็ปรุงแต่งลมขึ้นมาครั้งหนึ่ง พอหายใจออก มันก็ดับไปสู่อากาศธาตุ คือความว่างเปล่าแล้ว กายนี้ แต่ก่อนมันมีไหม ไม่มีหรอก เกิดจากสเปิร์มกับไข่ผสมกัน แล้วป้อนข้าวน้ำเข้าไป กินตามสายก่อน เป็นตัวอ่อน เติบโตจนคลอดเป็นทารก เป็นเด็กน้อย เด็กใหญ่ หนุ่มสาว กลางคน แล้วก็แก่ชรา สุดท้ายก็ต้องตายดับไป
อะไรที่ขึ้นชื่อว่าปรุงแต่งๆ ย่อมไม่เที่ยง ทนอยู่ไม่ได้ ดับไปไม่มีเหลือ อนัตตา หลวงปู่ชาจึงสอนเรื่องแก้วบ่อยๆ ว่า แก้วนี้ มันต้องแตก ไม่แตกวันนี้ก็ต้องแตกในวันหน้า ไม่เกินร้อยปีหรอก ให้เห็นความแตกก่อนที่มันจะแตก เมื่อมันแตกก็ไม่เสียใจ ไม่ทุกข์ กายนี้ก็เหมือนกัน ถ้าเราเห็นมันแตกก่อนแตก พอมันแตกดับ มันก็ไม่ทุกข์มากหรอก เพราะเห็นตามจริงเสียแล้วว่า กายนี้เป็นการปรุงแต่งขึ้นมา จากธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม แล้วมีจิตวิญญาณผสมเข้าไป
ถามว่า จิตมาจากไหน ไม่มีใครจะหยั่งรู้ได้ แม้พระพุทธเจ้าก็ไม่ตอบปัญหานี้ ในมิลินทปัญหา พระเจ้านาคเสนบอกว่า แม้พระพุทธเจ้าก็เหลือวิสัยที่จะไปกำหนดการตั้งต้นของจิตได้ว่ามาจากไหน และพระพุทธเจ้าก็สอนว่า ลูกศรปักอกจะตายอยู่แล้ว อย่ามัวไปค้นหาอยู่เลยว่า ลูกศรมาจากไหน ทางที่ดีหาทางรักษาบาดแผลที่เกิดจากพิษลูกศรก่อนเถิด พระพุทธเจ้าไม่คอยสอนเลยว่าจิตมาจากไหน ท่านสอนแต่ว่าจะทำอย่างไรให้จิตเราพ้นทุกข์ต่างหาก ที่ทุกข์เพราะอะไร เพราะจิตเรามันโง่ ไปหลงสิ่งที่ตนปรุงแต่งว่าเป็นมัน ของมัน
ปรุงแต่งลมหายใจ ก็ไปยึดว่าลมหายใจนี้เป็นเรา ของเรา
ปรุงแต่งกายเนื้อ มีผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ขึ้นมา ก็หลงยึดว่ามันคือเรา ของเรา
ปรุงแต่งอารมณ์ มีเวทนาคือ ความรู้สึกยินดียินร้าย สุขบ้าง ทุกข์บ้าง
ปรุงแต่งสัญญาคือความจำ เช่น จำได้ว่าเคยตีหนูตายบ้าง แล้วไปหลงยึดว่าเป็นเราของเรา
ปรุงแต่งความคิด คิดโน่นนี่นั่น แล้วหลงยึดว่าความคิดคือเราของเรา
ปรุงแต่งวิญญาณ (ตัวรู้ ซึ่งอยู่ชั้นในสุด) หลงยึดวิญญาณว่าเป็นเราของเรา
ทั้งๆ ที่ (ถ้าเห็นธรรม จะเห็นชัด) จิตก็จิต วิญญาณก็วิญญาณ คนละตัวกัน รวมความแล้ว ขันธ์ห้ามาจากการปรุงแต่งของจิตเรานี่แหละ ไม่ได้มาจากใครอื่น พอปรุงแต่ง จิตเราก็ยึดขันธ์ห้า คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณว่าเป็นตัวเป็นตน เป็นเรา ของเรา ขันธ์ห้าก็ไม่ต่างจากลมหายใจหรอก เกิดครั้งหนึ่งก็ดับไปครั้งหนึ่ง คำว่าครั้งหนึ่ง ถ้าพูดถึงกายหยาบนี้ก็หมายถึงเกิดขึ้นครั้งหนึ่งก็ตายครั้งหนึ่ง พระพุทธเจ้าจึงบอกว่า ความเห็นผิดว่ากายนี้เป็นเรา ของเรา ยังไม่ร้ายแรง เพราะบางทีเกิดมาแล้ว ก็เห็นเป็นตัวเป็นตนอยู่ห้าปีบ้าง สิบปีบ้าง ยี่สิบปีบ้าง สามสิบปีบ้าง สี่สิบปีบ้าง ห้าสิบปีบ้าง เจ็ดสิบปีบ้าง แปดสิบปีบ้าง เก้าสิบปีบ้าง เลยช่วยไม่ได้ที่จิตจะเห็นเป็นเรา ของเรา
แต่ที่ร้ายแรงและน่าหัวเราะเยาะที่สุดก็คือไปเห็นผิดว่า อารมณ์เป็นเรา ของเรา เห็นสุขเป็นเรา เห็นทุกข์เป็นเรา เห็นความจำสัญญาต่างๆ เป็นเราของเรา เห็นความคิดเป็นเรา ของเรา เห็นความรู้ทางตา หู จมูก กาย ใจเป็นเรา ของเรา (วิญญาณ) เพราะสี่อย่างหลังนี้ เมื่อเกิดขึ้นก็ดับไปทันที ไม่อาจจะเห็นเป็นเรา ของเราได้เลย อย่างรูปกายก็มีลักษณะเป็นก้อนๆ (หรือฆนะ) ก็เลยโง่ง่ายหน่อยเพราะมันเห็นเป็นก้อนๆ แต่นามขันธ์ คือ เวทนา สัญญา สังขารวิญญาณนี้ เกิดปุ๊บดับทันที แต่ที่ไม่ดับ เพราะความโง่ของเรานี่แหละ แส่เข้าไปงับอารมณ์ ไปงับเวทนา สัญญา สังขาร ไว้ อาการที่งับๆ ๆ นี้ เขาเรียกว่า อุปาทาน งับไม่พอ ยังปรุงแต่งต่อเป็นโน่น นี่ นั่น
อย่างมีคนด่าเรา เสียงก็วิ่งมากระทบหู เกิดผัสสะคือ การกระทบ ย่อมเกิดอารมณ์ไม่น่ายินดี (ทุกขเวทนา) เป็นธรรมดา (เพราะยังไม่ดับขันธ์) ถ้าเราปล่อยให้อารมณ์ไม่น่ายินดีนั้นดับไป เหมือนปล่อยให้ลมหายใจออกดับไป ก็ไม่เกิดอะไรขึ้นเลย สักแต่เห็นเท่านั้นเอง ไม่ต้องทำอะไร อย่างที่หลวงปู่ชาสอน แต่เปล่าเลย จิตเราแส่เข้าไปงับอารมณ์ทันทีด้วยความเร็วยิ่งกว่าแสง งับปุ๊บ ปรุงแต่งต่อเป็นความโกรธ หรือโทสะทันทีในชั่วแทบจะขณะจิตเดียวกัน วันๆ หนึ่ง ขณะจิตทำนองนี้เกิดกับเราเป็นหมื่นแสนครั้งเลยทีเดียว นี่เพราะเราไม่เชื่อหลวงปู่ชา ไม่ต้องทำอะไร
หรืออย่างบางคน พออ่านไปเจอข้อความไม่ถูกใจ หรือใครมาว่าอะไรหน่อย แป๊บเดียว กดออกไปเลย เรียกว่าหนีอารมณ์ ถ้าหนีอยู่อย่างนี้ ไม่มีวันชนะ อารมณ์ยินร้าย เพราะจิตไม่รู้เท่าจึงปรุงแต่งเป็นโทสะ อารมณ์ยินดี เพราะจิตไม่รู้เท่า จึงปรุงแต่งเป็นราคะ คือความอยาก (ไม่ได้หมายถึงเรื่องกามเพศอย่างเดียว)
ถ้าเรารู้เท่าทันลมหายใจ มันก็ไม่ยากที่จะรู้เท่าทันอารมณ์ เราทุกคนก็รู้ว่า ลมหายใจมาจากไหน ลมมาจากอากาศธาตุที่ว่างเปล่าอารมณ์ยินร้าย ยินดี ก็มาจากจิตที่ว่างเปล่า หาตัวตนไม่ได้ แต่มีอยู่ จิตกับอากาศมีสภาวะที่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง คือหาตัวตนไม่ได้ บอกไม่ได้ว่าหน้าตา รูปร่าง เป็นอย่างไร แต่มีอยู่
ทุกวันนี้เราหลงผิดคิดไปว่าอารมณ์ต่างๆ คือจิต หลงไปว่าความคิด ความสุข ความทุกข์ ความจำโน่นนี่นั่นได้ คือจิต ผู้ใดเห็นจิตผู้นั้นเห็นธรรม ผู้เห็นธรรมคือ ได้ดวงตาเห็นธรรม มาถึงกระแสธรรมคือพระโสดาบัน แค่เห็นธรรม ก็เพียงพอ คุ้มค่าแล้วที่เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ที่เหลือ มันก็เดินต่อของมันเอง ไม่เกินเจ็ดชาติ หรือถ้าเร่งความเพียรก็ไม่เกินชาตินี้
ทำอย่างไรจึงจะเห็นธรรม จำได้ไหมที่บอกว่าให้จำประโยคนี้ไว้ ลมจะเข้าจะออก เป็นเรื่องของลม การที่เราจะพบจิตเห็นธรรม เริ่มต้นตรงนี้ ลมจะเข้าจะออก เป็นเรื่องของลม นี่คือความเห็นชอบ สัมมาทิฐิ มันเป็นเรื่องของลม ไม่ใช่เรื่องของเรา ทุกวันนี้ที่มันยุ่งไปหมด มืดไปหมด ไม่เห็นจิต ไม่เห็นธรรม เพราะมีแต่เรื่องของเรา กายเราเจ็บ ศักดิ์ศรีของเราถูกย่ำยี เงินเราหาย ทุกข์ที่ถาโถมเข้ามาแต่ละลูก ทุกข์ของเรา และทุกข์ของเราหนักกว่าใครอื่นหมดความทรงจำของเรากับเธอไม่ดีเลย ความทรงจำของเราทำไมมีแต่เรื่องแย่ๆ ขมขื่นเหลือเกิน ลูกของเราจะน้อยหน้ากว่าใครไม่ได้ ลูกของเรา เราจะไม่ยอมให้ลำบากเลย สามีของเราไปแอบมีกิ๊ก ภรรยาของเราไปแอบมีชู้ เสื้อของเราสีหมอง ใส่แล้วไม่มั่นใจเอาเสียเลย วันนี้ความมั่นใจของเราไม่มีเลย “รถของเรา” ถูกชน มันชนแล้วหนีเลย อยากลากมาตบสั่งสอนเสียหน่อย แหมวันนี้ หุ้นของเราตกได้ตกดี โอย สารพัดอย่าง อะไรๆ ก็ของเราๆ ๆ ๆ ๆ ภาวนาไป โอย ! การภาวนาของเราวันนี้ไม่ดีเลย จิตของเราไม่สงบเอาเสียเลย
อะไรๆ ก็ของเราๆ ๆ ๆ ๆ นี่แหละ มันบังธรรม จิตเรามันมืดบอด เพราะคำว่า “ของเรา” นี่แหละ ลมจะเข้าจะออก เป็นเรื่องของลม ลมเข้าลมออกเป็นเรื่องของลม ไม่ใช่เรื่องของเราแล้ว เห็นไหม ถ้าลมดับ แล้วไม่หายใจเข้า ไม่มีลมหายใจเข้า มันจะทุกข์ไหม ทุกข์สิ เพราะมันไปติดอยู่ที่ว่ากายที่เหลือ คือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ยังเป็นของเราอยู่
แต่ถ้าเราเห็นว่าลมเป็นกาย กายเป็นลม ลมไม่ใช่ของเรา ลมจะเกิดจะดับก็เป็นเรื่องของลม ไม่เกี่ยวกับเรา กายจะเกิดจะดับก็เป็นเรื่องของกาย ไม่เกี่ยวกับเรา นี่ ถ้าเห็นชอบอย่างนี้ เวลาตาย มันก็ไม่ทุกข์แล้ว เพราะกายที่ตายมันไม่ใช่ของเราเลย กายจะป่วย มันก็ไม่ใช่ของเรา ปล่อยให้เป็นเรื่องของกาย ป่วยได้มันก็หายได้ ไม่หายก็ปล่อยให้มันตายไป ก็เท่านั้น
ตรงนี้เอง พระพุทธเจ้าจึงมาสอนเรื่องกายคตาสติ การพิจารณากายให้เห็นประจักษ์ขึ้นในใจ (ญาณทัสสนะ) ว่า กายนี้ไม่ใช่เรา ของเรา ใจก็จะหายยึด ลำพังการเห็นด้วยตาเนื้อ มันก็ยังยึดอยู่ แต่ถ้าเห็นบ่อยๆ พิจารณาบ่อยๆ จนวันหนึ่งใจสงบขึ้นมา จะเกิดความรู้แจ้งขึ้นมา (ผมยืนยัน) แล้วจิตจะหายสงสัย ไม่สงสัยอีกต่อไปว่า กายนี้ใช่เรา ของเรา หรือไม่ มีสติระลึกรู้อยู่ในกาย เรียกว่า กายคตาสติ (อ่านในหนังสือเอาเองนะ)
ต่อไปเวลาใครด่า ใครทำอะไรเรา ถ้าเราเห็นแจ้งอย่างนี้ มันก็จะอุเบกขา เพราะอะไร ก็มันเห็นแจ้งแล้วว่าขนาดกายเรายังไม่เป็นของเราเลย แล้วกายคนอื่นที่มันทำเรา อ้าปากด่าเรา มันก็จะเป็นของใครเล่า สักแต่ปรุงแต่งขึ้นมาจากธาตุ แล้วกลับคืนสู่ธาตุ ดินก็คืนสู่ดิน ลมก็คืนสู่ลม ก็เท่านั้นเอง จิตเรานี้ พอเห็นกายไม่ใช่เรา ของเราอย่างนี้ (เหมือนเห็นลมนั่นแหละ) มันจะคลายออกมาแล้ว ถอนออกมาแล้ว แต่ยังไม่เพียงพอ
อารมณ์เล่า ความรู้สึกนึกคิดทั้งปวงที่กล่าวมาข้างต้นเล่า ความคิดที่ว่า “อะไรๆ ก็เป็นของเรา” อารมณ์รัก อารมณ์ชังต่างๆ ที่เห็นว่าเป็นของเรา มันใช่ของเราจริงหรือ บอกให้มันรักอยู่สักร้อยปีได้ไหม อารมณ์ทั้งปวงปรุงแต่งมาจากจิต ปรุงแต่งแล้วก็เสื่อมดับไปเป็นธรรมดาของมัน ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ความคิดใดก็ตามเถิด มาแล้วก็ไป สุดท้ายกลับไปสู่ความว่างเปล่าทั้งนั้น ไหนล่ะ อะไรที่เป็นของเราอย่างแท้จริง ความรักหรือ ความชังหรือ ความภูมิใจต่างๆ หรือ ลูกของเรา มันจะอยู่ได้เกินร้อยปีไหม บอกมันว่าอย่าเจ็บอย่าป่วยได้ไหม บอกมันว่าอย่าสูบบุหรี่ มันฟังไหม บอกมันว่าอย่าเล่นเกมส์ อย่าไปคบคนนั้นนะ อย่าทำอย่างนี้นะ มันไม่ดี มันฟังไหม ถ้าเป็นของเรา เราต้องบังคับบัญชาได้สิ ขนาดกายเรายังบังคับไม่ให้ป่วย ยังไม่ได้เลย แล้วเราจะไปบังคับหรือหวงแหน ทำเป็นเจ้าเข้าเจ้าของใครเขาได้ เราทึกทักไปเองทั้งนั้นแหละ อารมณ์ก็เหมือนกัน เราทึกทักไปเองอยู่ฝ่ายเดียวว่ามันเป็นของเราอารมณ์รัก อารมณ์ชัง มันไม่หือไม่อือกับเราด้วยดอก จรมาแล้วจรไป ปรุงแต่งขึ้นมาทีหนึ่งก็ดับไป ลมจะเข้าจะออก เป็นเรื่องของลม อารมณ์จะมาจะไป ปล่อยให้เป็นเรื่องของอารมณ์เถิด อย่าแถเข้าไปยุ่งกับมันด้วยเลย พอได้แล้ว วางได้แล้ว ให้มีสติรู้เท่าทันมันได้แล้ว มันเกิดก็ต้องเสื่อม ไม่แน่ ไม่เที่ยงเสียทั้งหมดนั่นแหละ ไปยึดในสิ่งที่ไม่เที่ยง ไม่อาจจะยึดเป็นของเราได้อย่างแท้จริง นี่แหละมันจึงทุกข์ล่ะ
ดังนี้แล้ว….. เมื่อพิจารณาอยู่เนืองๆ ว่า แม้ลมจะเข้าจะออก เป็นเรื่องของลม อารมณ์จะมาจะไป จะเกิดจะดับ ก็เป็นเรื่องของอารมณ์ ไม่ใช่เรื่องของเรา มีสติรู้เท่าทันอยู่เนืองๆ อย่างนี้ๆ แล้ว จิตก็จะคลายออกมาๆ ๆ ๆ ๆ ๆ เพราะเห็นชัดแล้วว่า ไม่มีอะไรสักอย่าง (ขันธ์ห้า) ที่จะถือเป็นของเราได้ ต่างตกอยู่ภายใต้ความเป็นอนิจจัง (ไตรลักษณ์) ทั้งสิ้น
เมื่อเห็นชอบเช่นนี้ (สัมมาทิฐิ) จิตก็จะถอน จะถอนออกมา คลายตัวออกมา ตั้งมั่นให้เราเห็นอย่างชัดแจ้ง เสมือนตาเห็นรูป ผู้ใดเห็นจิตผู้นั้นเห็นธรรม บรรลุโสดาปัตติผลอยู่ตรงขณะจิตนั่นเอง ทั้งหลายทั้งปวงก็สืบเนื่องมาจากความเห็นที่ว่า ลมไม่ใช่ของเรา ปล่อยให้เป็นเรื่องของลม