ถาม-ตอบ

การดูหนัง ดูละครเป็นการภาวนาที่ดีมาก

สดงธรรมกลุ่ม Natural Mind เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2558 

 

ท่านทรงกลด : การดูหนังเป็นการภาวนาที่ดีมากอย่างหนึ่งถ้าเข้าใจหลักการภาวนา มีอยู่คืนหนึ่ง ผมดูละครเรื่อง คุณชายรัชชานนท์ ขณะนั้นจิตมันมีอาการอย่างนี้… ในขณะที่มีนางร้ายออกมาวี้ดว้ายในละคร อารมณ์ไม่พอใจก็เกิด แต่จิตมันไม่เข้าไปยุ่ง ช่างหัวมัน พอพระเอกเจอนางเอก อารมณ์ยินดีก็เกิด จิตมันก็วางเฉยอีก ไม่เข้าไปยุ่ง ช่างหัวมัน ขณะนั้นเหมือนโลกสงัด ได้ยินเสียงตัวละครพูดเหมือนไม่ได้ยิน (แต่ได้ยิน) อารมณ์มาไม่ว่าดีหรือไม่ดี ที่เกิดในขณะดูละคร มันอยู่ต่างหากจากจิต อันนี้ถ้าเราผ่านสภาวะการแยกจิตออกจากอารมณ์มาได้สักครั้ง จิตมันจะรู้ของมัน มันจะภาวนาของมันเอง  แต่ถ้ายังไปไม่ถึงตรงนั้น เราต้องคอยกำหนดสติ ให้รู้เท่าทันอารมณ์ทั้งปวงก่อน เมื่อถึงตรงนั้น ต่อไปไม่ยากแล้ว แม้การทำสมาธิก็ไม่ยาก อตัมยตา ช่างหัวมัน ตถตา มันเกิดแล้วไม่ดับวันนี้ก็พรุ่งนี้ ไม่ไปยุ่งกับอาการของมัน (อารมณ์) นี่แหละคือสัมมาทิฐิ  เมื่อเราเห็นชอบ เห็นชัดแล้ว อารมณ์ทั้งปวงไม่เที่ยง (รวมทั้งรูปกายนี้) ไม่ควรเข้าไปยึดมั่น ถือมั่นว่านั่นคือเรา ของเรา มันก็ช่างหัวมันเท่านั้นแหละ นี่แหละคือ การภาวนา ไม่ต้องไปเข้าคอร์สหลับตาที่ไหนหรอก สมัยพุทธกาล เวลาพระพุทธเจ้าสอน เคยเห็นไหม ท่านบอก หลับตาๆ เข้าฌานก่อน มีไหม ไม่มีหรอก 

สมัยหนึ่ง พระอาจารย์ของผม (ท่านพระอาจารย์อนันต์ วัดมาบจันทร์) เดินจงกรมอยู่ในป่า ตอนบ่ายท่านก็นึกในใจว่า ทำอย่างไรหนอ จึงจะรู้เห็นธรรมเร็ว ค่ำคืนนั้น หลวงปู่ชาขึ้นเทศน์เลยว่า การจะรู้เห็นธรรมแล้ว อยู่ที่ตรงนี้ ตรงอารมณ์ยินดี ยินร้ายนี้ ทุกวันนี้ พอเราเจออารมณ์ยินดี ก็ซุกอยู่กับมัน พอใครด่า ยินร้าย ก็ซุกอยู่กับมันข้ามวันข้ามคืน ไม่เคยช่างหัวมันจริงๆ เมื่อท่านช่างหัวมัน ไม่เอามัน ท่านจะพบเผือกคือ จิตที่ขาวบริสุทธ์ จะเห็นว่า มันก็มัน เผือกก็เผือก ต่อไปใครเอามันมาให้ดูแล้วบอกว่าเผือก ท่านก็เถียงเด็ดขาดว่าไม่ใช่ มันนั้นคืออารมณ์ คือขันธ์ห้า เมื่อท่านสลัดขันธ์ห้า อารมณ์ออกจากใจได้ ท่านจะพบจิตพบใจที่สะอาด สว่างบริสุทธิ์ 

ขันธ์ห้าไม่ใช่จิต จิตไม่ใช่ขันธ์ห้า อารมณ์ยินดีก็สุขเวทนา อารมณ์ยินร้ายก็ทุกขเวทนา เวทนาในขันธ์ห้า หลวงตาบอกว่า เรานี้คือจิต คนที่พูดได้เต็มปากว่าเรานี้คือจิต แสดงว่า ท่านเห็นจิตมาแล้ว ผ่านดวงตาเห็นธรรมมาแล้ว วันใดเห็นจิต คนนั้นก็ตอบคำถาม ฮู แอม ไอ ได้ ผู้ใดเห็นเผือก ผู้นั้นเห็นจิต ผู้ใดเห็นจิต ผู้นั้นเห็นธรรม 

แต่ก่อนผมรู้สึกงงกับหลวงปู่ชามากๆ ท่านสอนอะไร เห็นเป็ดเป็นไก่ เห็นไก่เป็นเป็ด พอรู้เห็นอะไร อ้อ ! มันเป็นอย่างนี้นี่เอง แต่ก่อนเห็นเป็ดก็นึกว่าไก่ พอวันหนึ่งไปเห็นไก่จริงๆ จึงรู้ว่า เป็ดไม่ใช่ไก่ เห็นขันธ์ห้า อารมณ์ว่านั่นคือ เรา คือ จิต พอเห็นจิต จึงรู้ว่า นั่นไม่ใช่นี่นา ต่อไปใครเอาเป็ดมาบอกว่า นี่คือไก่ คือเผือก เอาไปตัดคอที่ไหน จิตก็ไม่ยอมรับ 

ความเห็นนี่ เมื่อเห็นแล้วไม่กลับกลอกเหมือนฌานที่เสื่อมได้ มันจะเห็นไปอนันตกาล ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เป็นอสังขตธรรมคือ ธรรมที่ไม่มีการปรุงแต่ง จึงไม่เสื่อม ความเห็นน้อยๆ นี่แหละ คือ วิชชา  วิชชาก็คลอดออกมาจากอวิชชา เมื่อเห็นวิชชาเต็มที่ วิชชาเต็มภูมิ อวิชชาก็หายไป เหมือนความสว่างมันคลอดออกมาจากความมืด ที่เราปฏิบัติอยู่ก็เพื่อให้พบจิตเห็นจิต แต่จะไปนั่งหาให้เป็นเรื่องเป็นราวไม่ได้หรอก

หลวงปู่ดูลย์เคยดุหลวงตารูปหนึ่ง นั่งภาวนาหาจิต ท่านรู้วาระจิต เดินไปดุ บอกหลวงตา จะมานั่งหาให้มันเป็นตัวเป็นตนไม่ได้ มันไม่มีตัวตนอะไรให้ใครเห็นหรอกนะ ผมบอกหลายครั้งแล้ว จิตนี่เหมือนอากาศ มีอยู่ แต่บอกไม่ได้ว่ารูปร่างหน้าตาที่แท้มันเป็นอย่างไร  แต่ขอบอกตรงๆ ว่า คิดไม่ใช่จิต จิตก็จิต คิดก็คิด คนละอย่างกัน คิดเป็นขันธ์ (สังขารขันธ์) จิตไม่ใช่ขันธ์ แต่จิตใช้คิดทำหน้าที่ของมัน  แต่ปุถุชนเมื่อคิดแล้วไม่จบ แบก ฉวยคว้าความคิดนั้นไว้ไม่ยอมวาง ทุกข์เกิดตรงนี้เอง ตรงอุปาทาน ซึ่งเคยแสดงเรื่อง สังขา รูปาทา นักขันโธ ไปแล้ว