กบเฒ่าเฝ้ากอบัว

แสดงธรรม กลุ่ม Natural Mind เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2559
ท่านทรงกลด : นึกถึงคำสอนหลวงปู่ชา เรื่อง กบเฒ่าเฝ้ากอบัว หมายถึง อยู่กับผู้รู้แล้วแต่ไม่เห็นค่า ห้วงน้ำใหญ่เสมอตัณหาไม่มี ตัณหาคือเหตุแห่งทุกข์ ปลาอยู่ในน้ำก็คิดว่านี้คือสุขสุดยอดแล้ว ติดน้ำ เลยเกิดตายอยู่ในน้ำนั่นแหละ เหมือนคนติดสุข ติดความสบาย โดยเฉพาะสมัยนี้มีความสะดวกสบายมากมายมาปิดบังคนไม่ให้เห็นทุกข์ กว่าจะเห็น ก็โน่น ป่วยใกล้ตายแล้ว เหมือน ดร. อภิวัฒน์ เขียนไว้ก่อนตายว่า ใช้ชีวิตที่ผ่านมาไร้สาระ มีความสุขกับทรัพย์สมบัติ อาหารอร่อยๆ เที่ยวสนุกไปวันๆ วันหนึ่งนอนอยู่บนเตียงเป็นโรคร้ายใกล้ตาย มีสติขึ้นมา รู้สึกเสียดายชีวิตที่ผ่านมา แต่ไม่ทันแล้ว เลยเขียนอนุสรณ์ฝากคนรุ่นหลังไว้ ถึงตอนนั้นแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว มีคนเป็นอันมากเป็นแบบ ดร. อภิวัฒน์ นี่แหละ เกิดมาทั้งทีขอใช้ชีวิตให้มีความสุขก่อนเถิด เรื่องธรรมะไปคุยกันในวัดหรือเอาไว้แก่ก่อน ค่อยว่ากัน แล้วก็ตายไปโดยไม่รู้เลยว่า เกิดมาทำไม เสียดายที่เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ฝรั่งที่มีปัญญาถึงว่าคนไทยว่า มีของดี (คือคำสอนพระพุทธเจ้า) แต่ไม่รู้จักค่า เหมือนกบเฒ่าเฝ้ากอบัวนั่นแหละ
บางคนตายตอนเกิดก็มี ตายตอนเรียนอนุบาลก็มี ตายตอนเรียนมหาวิทยาลัยก็มี ตายตอนกำลังเริ่มทำงานก็มี อย่าคิดว่า เป็นมะม่วงอ่อนแล้วมัจจุราชจะมองข้าม ให้พากันเจริญสติระหว่างวัน โดยเฉพาะสติรู้เท่าทันอารมณ์ที่แสดงไปมากมาย เวลาตายจะได้มีสติอย่างน้อยก็ปิดอบายได้หรือใครมีหนังสือกว่าจะถึงกระแสธรรมก็ลองอ่านดู ผมเขียนไว้ละเอียด พอที่จะเอาตัวรอดได้
ธรรมที่เอามาลงทุกๆ เช้านี้ไม่ได้มาจากไหน มาจากการภาวนาในตอนเช้า แล้วมันออกมา ก็เอามาฝากกันเท่านั้นเอง ถ้าคนมีปัญญา อ่านแล้วก็จะเก็ท เข้าใจ บางคนอ่านแล้ว มีสติปัญญา เคยปฏิบัติมาก็เข้าใจ ศรัทธา ไลน์มาบอกส่วนตัว แต่ส่วนใหญ่จะหูหนวก ตาบอดเสียมาก อ่านแล้วก็เขี่ยผ่าน ทิ้งๆ ไป พระพุทธเจ้าจึงจัดคนเหมือนดอกบัวสี่เหล่าก็เพราะเหตุนี้
อยากบอกอีกเรื่องหนึ่ง ใครจะเชื่อไม่เชื่อแล้วแต่นะครับ การทำบุญนี้มีหลายอย่าง ได้แก่ การให้ทาน รักษาศีล การอนุโมทนาก็เป็นบุญอย่างหนึ่ง อย่างเช้าๆ มีท่านเอาธรรมะของครูบาอาจารย์ หรือพุทธพจน์ของพระพุทธเจ้ามาลง (ในบางไลน์กลุ่มเท่านั้น) เพียงแค่เอ่ย สาธุๆ นี่ก็ได้บุญแล้ว แต่ของผม ไม่ต้องสาธุก็ได้ บางคนก็คิดว่า แค่สาธุในใจก็พอแล้ว อันนี้ยังไม่เข้าใจ หากท่านคิดฆ่าคนคนหนึ่ง กับลงมือฆ่า ผลต่างกันไหม พูดง่ายๆ แค่นี้ ถ้าคนมีสติปัญญาก็จะเก็ทแล้ว ไม่เช่นนั้นพระพุทธเจ้าคงไม่แยกกรรมเป็นมโนกรรม วจีกรรมและกายกรรม ผลก็ต่างกันไป หรือหากท่านคิดจะใส่บาตร กับใส่บาตรจริงๆ มันต่างกันไหม ถ้าคิดว่าผลเหมือนกัน ชาตินี้ก็ไม่ต้องใส่บาตร ทำบุญอะไรเลย แค่นั่งคิดเอาก็พอ ภาษาหลวงปู่ชา ถึงบอกว่า นี่ มันโง่เสียขนาดนี้ เช้าๆ มีคนเอาบุญมาฝากทุกวัน เราก็ละเลยกันไปอย่างน่าเสียดาย ส่วนใหญ่จะไปเน้นทำบุญสร้างพระใหญ่ๆ หรือบางคนก็แย่หนักเข้าไปอีก ไม่เคยทำบุญเลย เอาแต่เที่ยววิ่งให้อาหารหมาจรจัด สงสารพระพุทธเจ้าเนาะ อุตส่าห์บำเพ็ญบารมีมาตั้งสี่อสงไขยกับอีกแสนมหากัปป์ทำได้แค่นี้เอง แต่อย่างที่เคยบอกบ่อยๆ นั่นแหละ ของอย่างนี้ขึ้นอยู่กับการสั่งสมวาสนาบารมีกันมาของแต่ละคนด้วย
ผมก็เป็นสมาชิกอยู่หลายกลุ่ม มีกลุ่มโลกๆ ด้วย เข้าไปเห็นแต่ความมืดมน รุ่มร้อนด้วยเพลิงกิเลส เห็นแล้วก็สงสาร ใช้ชีวิตไม่ต่างไปจากไก่ หากินไปวันๆ แล้วเข้านอน ตื่นมาก็คุ้ยเขี่ยหาอาหารเลี้ยงลูกๆ มีแค่นั้น ยิ่งมีฐานะ มีตำแหน่งหน้าที่การงานนี่ ก็ยิ่งประมาท หลงในสุข หลงในลาภ ในตำแหน่ง หลวงปู่ชาจึงสอนว่า รวยกับซวยนี้มันอันเดียวกัน แต่ก็มีคนมีปัญญาเหมือนกันที่รวยแล้วไม่ประมาท แต่ส่วนใหญ่พอรวย มีฐานะ อยากได้อะไรใช้เงินซื้อได้หมด เลยไม่ค่อยเห็นทุกข์
มีผู้พิพากษาท่านหนึ่งเป็นนักปฏิบัติบอกว่า ไม่ค่อยเห็นทุกข์ เพราะท่านรวยมากเลยติดแต่ฝั่งสุข พระพุทธเจ้าบอกให้ออกมาเสียทั้งสองฝั่ง คือฝั่งสุขและฝั่งทุกข์ (ทำใจกลางๆ ด้วยสติ) อย่างคนมีวาสนาทางธรรมนี่แค่ไปโรงพยาบาลเห็นคนป่วยเต็มโรงพยาบาลก็ไม่อยากเกิดแล้ว หรือไปงานศพเห็นคนตายก็เบื่อที่จะเกิดแล้วเพราะที่ตายก็เพราะเกิด ไม่อยากตายก็อย่าเกิดแค่นั้นเอง หลวงปู่ชาจึงสอนว่า เราต้องปฏิบัติให้มันไปนอกเกิดเหนือตายคือ พระนิพพานนั่นเอง จริงๆ ถ้ามีปัญญาจะเห็นทุกข์ไปทุกอย่าง ยิ่งปฏิบัติลึกๆ เข้าไป สติมั่นคงจะเห็นแต่ทุกข์เท่านั้นเกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นตั้งอยู่และทุกข์เท่านั้นที่ดับไป จนใจมันออกจากทุกข์ไปเอง ธรรมดาชีวิตมันก็ทุกข์อยู่ในตัวแต่เราไม่เห็นเอง พอคลอดออกมาก็ทุกข์แล้ว มีใครหัวเราะยิ้มอย่างมีความสุขบ้างตอนคลอด มันทุกข์ทั้งคนที่คลอดและคนถูกคลอด ปกติกายนี้มันหิวตลอด ความหิวก็คือความทุกข์ (ความไม่สบายกาย) พอเรากินเข้าไปก็บรรเทาความหิวไปชั่วขณะ (ทางโลกเรียกว่าสุข) สักพักหิวอีกแล้ว (สุขดับ) ก็ต้องกินอีกแล้ว ถ้ามีปัญญาจะเห็นเลยว่า ปกติกายนี้มันก็ทุกข์อยู่เป็นธรรมดาปกติของมัน ตื่นเช้ามาปากนี้เหม็น ทุกข์ไหม ทุกข์ ต้องแปรงฟันให้มันอีก ร่างกายตื่นมาก็เหม็น ลองไม่อาบน้ำสักสามวันสิจะรู้สึกว่าไม่สบายกายเอาเสียเลย นั่นแหละทุกข์ ต้องอาบน้ำวันละสองเวลา ผมล่ะ ทิ้งไว้สักสามวันเหม็นไหม ต้องคอยสระอยู่ตลอด ที่พูดมาทั้งหมดเรื่องกายนี้ ไม่ต้องใช้ภาษาธรรมะหรอก นี่แหละวิปัสสนาแล้ว
วิปัสสนาคืออะไร คือ การพิจารณา สังเกตให้เห็นความเป็นจริงของกาย ของอารมณ์ ของใจ ถ้าเห็นแล้วจะเป็นอย่างไร ถ้าเห็นกายตามความเป็นจริง จิตมันก็จะถอยออกมา คลายออกมา คลายออกจากความยึดมั่นถือมั่นในกายออกมา ถ้าภาษาธรรมะเรียกว่า กายานุปัสสนาสติปัฏฐานหรือกายคตาสติ ไม่ต้องสนใจว่าจะเรียกอะไร ไม่สำคัญอะไรเลย แค่พิจารณาให้เห็นความเป็นจริงก็พอ จะเรียกอะไรก็แล้วแต่ เช่น พบหญิงสวย ชายหล่อ ถ้าเห็นเป็นเพียงหนังหุ้มโครงกระดูก ราคะจะเกิดไหม ถ้าเห็นอย่างนั้น เรียกว่า เห็นตามจริง จิตมันจะระงับ ไม่เข้าไปยึดมั่น เวลาใครด่าหรือมาพูดอะไรให้ไม่พอใจก็เห็นแค่หนังปากที่หุ้มฟัน (กระดูก) มันขยับเท่านั้นเอง เราไปเที่ยวโกรธหนังหุ้มโครงกระดูกนี่เราบ้าหรือดี ส่วนคำพูดมันก็สักแต่ภาษาสมมติให้พูดกันรู้เรื่องเท่านั้นเอง คำที่ว่า มันเป็นคำด่า คำเยาะเย้ย ถากถาง เป็นเรื่องเราเข้าใจ (ปรุงแต่ง) ไปเองทั้งนั้น เวลามีใครมาด่าเราว่า อีเดียท ถ้าเราไม่รู้ภาษาอังกฤษ จะโกรธไหม ไม่โกรธหรอก แต่ถ้ามีใครมาด่าว่า อีโง่ ไอ้โง่ แหม ! ความโกรธนี่มันไม่รู้มาจากไหน ลองด่าฝรั่งว่า อีโง่ ไอ้โง่ สิ จะโกรธไหม ก็ลองพิจารณาดู
หลวงปู่ชาเล่าว่า วันหนึ่งนกกับปลามาเจอกัน ปลาก็ถามนกว่า บนฟ้าเป็นไงบ้าง นกก็ถามปลาว่า แล้วในน้ำเป็นไงบ้าง นกบอกปลาให้ตายอย่างไรปลาก็ไม่เชื่อหรอก หรือปลาบอกนกอย่างไรนกก็ไม่เชื่อหรอก จนกว่าปลาจะมาเป็นนก หรือนกจะมาเป็นปลานั่นแหละ มันจะเชื่อ เชื่อเพราะอะไร เพราะมันรู้จริงเห็นแจ้งด้วยตัวมันเองแล้วนั่นเอง